อะไรคือหลักเกณฑ์และความสำคัญของการเชือดพลี(อุฎฮียะฮฺ)

:: คำถาม ::

ช่วงเวลาใดเป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการเชือดพลี? เราะจะต้องแบ่งให้แต่ละคนในครอบครัวของเราทำการเชือดพลีทุกคนหรือเพียงแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับทั้งครอบครัว การเชือดพลีดีกว่าหรือไม่หรือเราสามารถที่จะให้เงินเป็นการบริจาคแทน? 

อ่านเพิ่มเติม “อะไรคือหลักเกณฑ์และความสำคัญของการเชือดพลี(อุฎฮียะฮฺ)”

อุฎฮียะฮฺหรือการบริจาคกับมุสลิมที่ประสบภัยพิบัติ?

:: [คำถาม] ::

อัสลามุอะลัยกุม ย่อมจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ที่จะมอบเนื้อกุรบ่านหรือบริจาคเงินให้กับพื้นที่ที่เกิดในภัยพิบัติในดินแดนของมุสลิม? .

อ่านเพิ่มเติม “อุฎฮียะฮฺหรือการบริจาคกับมุสลิมที่ประสบภัยพิบัติ?”

เนื้อสัตว์ที่ได้รับการเชือดโดยอะฮฺลุล กิตาบ (ชาวคัมภีร์)

มีการพูดคุยกันมากมายในหมู่ผู้บริโภคมุสลิมไปจนถึงนักวิชาการอิสลามในประเด็นว่าด้วยข้ออนุมัติสำหรับการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ได้รับการเชือดโดยอะฮฺลุล กิตาบ (ชาวคัมภีร์) ซึ่งหมายถึงชาวยิวและชาวคริสต์ โดยทั่วไปแล้วเนื้อสัตว์ที่ผ่านการเชือดโดยชาวยิวหรือชาวคริสต์เหล่านี้จะเรียกว่า เนื้อสัตว์ที่ผ่านการเชือดโดยอะฮฺลุล กิตาบ อย่างไรก็ตาม เนื้อสัตว์ประเภทนี้กลับไม่ได้รับการปฏิบัติตามกระบวนการเชือดตามหลักบทบัญญัติอิสลามที่กำหนดว่าเนื้อสัตว์ที่ฮาลาลจะต้องได้รับการกล่าววิงวอนหรือกล่าวนามของผู้เป็นเจ้าในระหว่างการเชือด

อ่านเพิ่มเติม “เนื้อสัตว์ที่ได้รับการเชือดโดยอะฮฺลุล กิตาบ (ชาวคัมภีร์)”

องค์ประกอบของสบู่ดินกับการชำระล้าง เพื่อป้องกันเชื้อ COVID-19

สบู่ดิน ประกอบด้วย ดินขาวหรือคาโลอลิน (มีหน้าที่ช่วยในการขัดถู ในสบู่ทั่วไปไม่มี) น้ำปราศจากอิออน กลุ่มเลือ 4 ชนิดจากดิน กลุ่มสารอนุพันธุ์ 3 ชนิดจากพืช ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่ใช้ไขมันเช่นสบู่ดินทั่วไป
.
ซึ่งดินขาวในสบู่ดิน จะช่วยเสริมประสิทธิภาพร่วมกันกับสารลดแรงตึงผิวในการทำลายผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
.
สารลดแรงตึงผิวในสบู่ดินประกอบด้วย
1.สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุลบ (Sodium laureate sulfate) ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกจำพวกไขมันและทำลายโปรตีนที่ผนังเซลล์
2. สารลดแรงตึงผิวทั้งประจุลบและบวก (Cocamidopropyl betaine) ช่วยทำลายโปรตีนที่ผนังเซลล์
3. สารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ (Cocamide DEA) ช่วยทำลายโปรตีนที่ผนังเซล

ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สามารถอุปโภคหรือบริโภคได้หรือไม่ ?

การใช้แอลกอฮอลล์เพื่อผลิตอาหารและยา แบ่งเป็น 3 กรณี

1. หากนำแอลกอฮอที่มาจากการหมักดบียร์ ไวน์ หรือเหล้า มาใช้ในในกรผลิตอาหารถึงแอลกอฮอล์จะระเหยหมด ก็ถือว่าต้องห้าม

2. แอลกอฮอล์ที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น น้ำผลไม้ เครื่องปรุงต่างๆ ผลิตภัณฑ์สุดท้ายต้องมีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1%

3. แอลกอฮอล์ที่ใช้เป็นตัวทำละลายทั้งอาหารและยา เช่น ตัวทำละลายสี กลิ่น รส เมื่อเติมในผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ดังนั้นผลิตภัณฑ์สุดท้ายต้องไม่เกิน 0.5%

“จากคำวินิจฉัย (ฟัตวา) จุฬาราชมนตรี ที่ 03/2554 ได้กล่าวในที่ประชุมนิติศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 8 ขององค์กรอิสลามเพื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่จัดขึ้น ณ ประเทศคูเวต ระหว่างวันที่ 22-24/5/ค.ศ.1995 มีแถลงการณ์ว่า “แอลกอฮอล์มิใช่นะญิสตามหลักศาสนบัญญัติ บนหลักการที่ว่า แท้จริงหลักเดิมของสิ่งต่างๆ นั้นถือว่าสะอาดไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือถูกเจือจางด้วยน้ำก็ตาม เป็นการให้น้ำหนักแก่ทัศนะที่ว่า ความเป็นนะญิสของสุราและวัตถุออกฤทธิ์ที่ทำให้มึนเมาอื่นๆนั้นเป็นนะญิสในเชิงนามธรรม มิใช่เป็นนะญิสในเชิงรูปธรรม เพราะถือว่าสุราเป็นความสกปรกโสมมจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นจึงไม่ถือเป็นข้อห้ามที่เป็นบาปตามหลักศาสนบัญญัติในการใช้แอลกอฮอล์ทางการแพทย์ เช่น ทำความสะอาดผิวหนัง บาดแผล อุปกรณ์ เวชภัณฑ์และฆ่าเชื้อโรค หรือใช้เป็นเครื่องหอม ซึ่งแอลกอฮอล์จะถูกนำไปใช้เป็นตัวทำละลายวัตถุจำพวกน้ำหอมที่มีสารแขวนลอย”

การพัฒนาผู้ประกอบการ Smart SMEs / Halal Startup E-Commerce

? โอกาสขยายตลาดมาถึงแล้ว!!
ขายสินค้าฮาลาลออนไลน์สะดวก ง่าย และมั่นใจ

✅ ถ้าคุณคือผู้ประกอบการที่กำลังมองหาช่องทางการขาย สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทยส่งเสริมการเปิดตลาดฮาลาลสากล ผลักดันสินค้าไปสู่ตลาด e-Commerce ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้วยหลักสูตร : การพัฒนาผู้ประกอบการ Smart SMEs / Halal Startup E-Commerce

✅ ขอเชิญชวนผู้ประกอบการ SMEs OTOP วิสาหกิจชุมชน หรือผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการฮาลาลที่สนใจ เข้าร่วมโครงการฯ

? สิ่งที่จะได้รับจากโครงการฯ
1️⃣ ช่องทางการขายสู่ตลาด E-Commerce ในประเทศ
2️⃣ ช่องทางการขายสู่ตลาด E-Commerce ในต่างประเทศ
3️⃣ เครือข่ายผู้ประกอบการ E-Commerce ไทย
4️⃣ เรียนรู้เทคนิคการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
5️⃣ โอกาสในการร่วมจับคู่ธุรกิจสินค้าและบริการทั้งในและต่างประเทศ

✅ เปิดรับสมัครแล้ว #ฟรี ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2563

✅ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
สมัครเพื่อเข้าร่วมโครงการ คลิก https://forms.gle/fKTp3FxHkDCvoWJV8
สอบถามข้อมูลได้ทาง Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/HSC.CU.Pattani

หรือ โทรสอบถามได้ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทั้ง 3 สำนักงาน
สำนักงานกรุงเทพฯ 02-214-4401
สำนักงานเชียงใหม่ 053-280-815-6
สำนักงานปัตตานี 073-333-604

โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

DHE#DigitalHalalEconomyEcommerce

? การพัฒนาผู้ประกอบการ Smart SMEs / Halal Startup E-Commerce (เชิงลึก)✅ บ่มเพาะเชิงลึก 12 ชั่วโมง…

Posted by ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สำนักงานปัตตานี) on Monday, 14 September 2020

Halal Life & Health News: ด้วยสถานการณ์ข่าวสารการติดตามผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนโดยทั่วไป หากมีการติดตามข่าวสารมากจนเกินไป อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการทางกายและจิตใจได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หายใจไม่อิ่ม อึดอัดในช่องท้อง ปวดท้อง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติทั้งที่อยู่ในสภาพปกติ นอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ อาการวิตกกังวล ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หงุดหงิดง่าย โกรธ ฉุนเฉียว ก้าวร้าว สมาธิไม่ดี เป็นต้น

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้คำแนะนำหลัก 5 วิธีในการติดตามข่าวสารบ้านเมืองให้ห่างไกลจากความเครียดไว้ ดังนี้

1.แบ่งเวลาติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างพอดี โดยการติดตามข่าวสารไม่ควรติดตามต่อเนื่องนานเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพราะจะทำให้เครียดมากขึ้น

2. ทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติ หันเหความสนใจจากข่าวสารไปเรื่องอื่น ละเว้นการรับรู้ข่าวสารการเมืองบ้าง โดยหันไปทำหน้าที่ของตนเอง เรียนหนังสือ การทำงาน และการให้เวลากับครอบครัว

3. เคารพความคิดเห็นแบบประชาธิปไตยที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ โดยไม่ดูข่าวหรือรับข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว จะทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง ควรเปิดกว้างและรับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่าง

4. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย วันละ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งการพักผ่อนจะทำให้ความเครียดลดลง

5. การผ่อนคลายความเครียด เช่น การออกกำลังกาย ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกหายใจคลายเครียด การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นต้น

ในศาสนาอิสลาม การกล่าวดุอาอฺ การอ่านอัลกุรอาน การละหมาดและการมอบหมายไปยังอัลลอฮฺ ก็เป็นหนึ่งในอีกหลายวิธีในการขจัดความเครียด

วัลลอฮูอาลัม

…………………………..
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานปัตตานี
ที่มา : https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=28502

เราจะรับประทานเนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธีการทำให้สัตว์สลบหรือหมดสติก่อนการเชือดด้วยกระแสไฟฟ้าได้หรือไม่?

:: คำถาม ::
แด่นักวิชาการที่เคารพนับถือ ขอความศานติและความจำเริญของอัลลอฮ์จงประสบแด่ท่าน ข้าพเจ้ามีคำถามว่า หากกระแสไฟฟ้าถูกนำไปใช้กับสัตว์สักสองสามวินาทีเพื่อทำให้สัตว์นั้นสลบหรือหมดสติ จากนั้นค่อยนำสัตว์ไปเชือดตามหลักศาสนบัญญัติในอิสลาม ด้วยวิธีการนี้จะถือว่าเนื้อสัตว์ฮาลาลหรือไม่ ? จากกระบวนการนี้ การสังหารสัตว์จะต้องถูกทำให้แน่ใจตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ว่าสัตว์นั้นยังคงหายใจและยังมีชีวิตอยู่ การทำให้สัตว์หมดสติด้วยการใช้กระแสไฟฟ้าหรือช็อตด้วยกระแสไฟฟ้านั้นมีเป้าหมายเพียงเพื่อให้สัตว์ไม่ต้องเคลื่อนไหวใด ๆ ซึ่งจะช่วยให้ง่ายทั้งต่อตัวสัตว์เองและต่อผู้ดำเนินการเชือด อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดหลักสองประการของการเชือดสัตว์ฮาลาลคือสัตว์จะต้องมีชีวิตอยู่ ณ ช่วงเวลาของการเชือด และเลือดทั้งหมดของสัตว์จะต้องถูกปล่อยให้ไหลออกมาจากร่างกาย หากเราปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งสองประการนี้ แม้ว่าจะใช้กรรมวิธีการทำให้สัตว์หมดสติด้วยการช็อกไฟฟ้า เนื้อสัตว์จะได้รับการพิจารณาว่าฮาลาลหรือไม่ ? ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนความดีงามของท่าน.

ตอบคำถามโดยมุฟตี: ชัยค์ อะห์มัด คุตตี

ขอความศานติและความจำเริญของอัลลอฮ์จงประสบแด่ท่าน ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ การขอบคุณและการสรรเสริญทั้งหมดเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ขอความศานติและความศิริมงคลจงประสบแด่ท่านศาสนทูตของพระองค์

พี่น้องที่รักในอิสลาม ขอบคุณมากสำหรับคำถามของท่านซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของท่านที่มีต่อมุมมองอันชัดเจนของคำสอนในศาสนาอิสลาม อัลลอฮ์ทรงบัญญัติให้ชาวมุสลิมที่มีความรู้ต้องสร้างความคุ้นเคยกับคำสอนของศาสนาอิสลามในทุกมิติของชีวิต

อย่างไรก็ตาม การทำให้สัตว์หมดสติหรือการใช้ไฟฟ้ากับสัตว์ก่อนดำเนินการเชือดจะไม่ทำให้สัตว์นั้นมีสถานะหะรอม (ต้องห้าม) แก่การบริโภคสำหรับชาวมุสลิม หากสัตว์นั้นยังมีชีวิตอยู่หลังจากถูกไฟฟ้าช็อก จากนั้นค่อยนำไปเชือดตามหลักการอิสลามให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรผิดปกติในการบริโภคมัน ถึงกระนั้น หากสัตว์นั้นตายด้วยกระบวนการช็อกด้วยไฟฟ้าก่อนที่จะถูกเชือดตามหลักการ เนื้อสัตว์นั้นจะถือว่าเป็นที่ต้องห้ามสำหรับชาวมุสลิมสำหรับการบริโภค

เนื่องจากคำถามของท่าน ชัยค์ อะห์มัด คุตตี นักวิชาการอิสลามอาวุโสประจำสถาบันอิสลามแห่งโตรอนโต ออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ได้กล่าวว่า:

สัตว์ที่ถูกเชือดด้วยกรรมวิธีนี้จะถือว่าฮาลาล ดังนั้น จึงเป็นที่อนุมัติสำหรับเราที่จะบริโภคเนื้อสัตว์ประเภทนี้ ตราบเท่าที่สัตว์เหล่านั้นไม่ได้เสียชีวิตก่อนกระบวนการเชือด นี่เป็นคำวินิจฉัยของสภานิติศาสตร์อิสลามโลก (World Fiqh Council) หลังจากที่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สภาได้ข้อสรุปว่าการช็อตสัตว์ด้วยกระแสไฟฟ้าก่อนกระบวนการเชือดไม่ทำให้สัตว์เป็นที่ต้องห้ามสำหรับการบริโภคของชาวมุสลิมแต่อย่างใด แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าสัตว์ที่เชือดนั้นต้องมีชีวิตอยู่ขณะกระบวนการเชือด แน่นอนว่าการเชือดนั้นจะต้องถูกต้องตามเงื่อนไขมาตรฐานฮาลาล เช่น เส้นเลือดใหญ่จะต้องถูกตัดด้วยมีดหรืออุปกรณ์ที่แหลมคม โดยที่เลือดในร่างกายทั้งหมดจะต้องถูกปล่อยให้ระบายออกมา และพระนามของอัลลอฮ์จะต้องได้รับการกล่าวในขณะที่เชือด

วัลลอฮุอะอฺลัม (แท้จริงแล้วอัลลอฮ์ทรงรู้ดีที่สุด)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: aboutislam.net

บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดปัญหาสุขภาพน้อยกว่าจริงหรือ?

บุหรี่ไฟฟ้า :
ของเหลวในบุหรี่ไฟฟ้ามักทำจากนิโคติน โพรพิลีนไกลคอล กลีเซอรีนและสารปรุงแต่งกลิ่นรส

แน่นอนว่ามันปลอดภัยกว่าหากจะกระโดดออกจากหน้าต่างที่สูงห้าชั้นหากเทียบกับการกระโดดออกจากหน้าต่างที่สูงยี่สิบชั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การกระโดดออกจากหน้าต่างนั้นมีความปลอดภัยแต่อย่างใด

หลักชะรีอะฮ์ในอิสลามได้บัญญัติห้ามไม่ให้มนุษย์ใช้สิ่งต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นอันตรายทันทีทันใดหรือค่อย ๆ เป็นอันตรายจนนำไปสู่ความตายภายหลัง สร้างความเสียหายต่อร่างกาย หรือส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยและเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจ

ท่านศาสนทูตมุฮัมมัดได้กล่าวว่า: “เท้าของลูกหลานอาดัมจะไม่ขยับไปไหนจาก ณ ที่อัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์จนกว่าจะถูกถามถึง 5 ประการด้วยกัน จะถูกถามถึงชีวิตของเขาว่าเขาใช้หมดไปกับอะไร และวัยหนุ่มของเขาว่าใช้กับอะไร และทรัพย์สินของเขาว่าได้มาจากที่ไหนและใช้จ่ายไปอย่างไร และจะถูกถามถึงสิ่งใดบ้างที่เขาได้ปฏิบัติไปในสิ่งที่รู้มา” (บันทึกการรายงานโดยติรมิซีย์)

ด้วยเหตุนี้ ตามหลักศาสนาอิสลามสุขภาพของเรานับว่าเป็นประหนึ่งของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานมาให้มนุษย์ ชะรีอะฮ์จึงบัญญัติห้ามไม่ให้เราทำของขวัญชิ้นนี้เสียหายด้วยการกระทำที่ขาดการยั้งคิด เช่น การสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งศาสนาอิสลามและวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีงานวิจัยเล็ก ๆ ที่พบว่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจเสี่ยงต่อโรคปอดและโรคหลอดเลือดต่าง ๆ จากรายงานของ แอนดรูว์ มาสเตอร์สัน (Andrew Masterson) ในนิตยสารคอสมอส (Cosmos Magazine)

ข้อโต้แย้งที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นตัวแทนของการบริโภคนิโคตินในรูปแบบที่ปลอดภัย จากการศึกษาพบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ปกติ อีกทั้งยังสร้างผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายต่อปอดเช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป

การศึกษาขนาดเล็กชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อเมริกันสำหรับการศึกษาโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต (American Journal of Respiratory and Critical Care Medicine) ซึ่งผู้เขียนก็ยอมรับว่างานชิ้นนี้ยังมีข้อจำกัดอย่างมีนัยสำคัญ

คณะนักวิจัยซึ่งนำโดยนักพยาธิวิทยา เมห์เมด เคสิเมอร์ (Mehmet Kesimer) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ (University of North Carolina at Chapel Hill) ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการเก็บตัวอย่างเสมหะของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 15 คน ผู้สูบบุหรี่ทั่วไปจำนวน 14 คน และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่จำนวน 15 คน

ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ทั่วไปแสดงผลลัพธ์ให้เห็นถึงระดับที่เพิ่มขึ้นของสารบ่งชี้ทางชีวภาพอย่างน้อยสองตัว คือ ไทโอรีดอกซิน (Thioredoxin: TXN) และเมตริกซ์เมทัลโลโปรตีนเนส-9 (Matrix Metalloproteinase-9: MMP9) ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะเครียดจากการออกซิเดชัน (oxidative stress) และกลไกการป้องกันที่เชื่อมโยงกับโรคปอด
.
กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มนี้ยังแสดงผลลัพธ์ของค่าวัดระดับการหลั่งเยื่อเมือกที่สำคัญของมิวซินคัดหลั่งชนิด Mucin 5AC ซึ่งเป็นเยื่อเมือกระดับเดียวกับที่โรคหอบหืดและโรคหลอดลมอักเสบสามารถหลั่งออกมาในระดับที่สูงได้ขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ายังพบระดับของโปรตีนที่สูงขึ้นอีกสองชนิดจากเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล ซึ่งชนิดของเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค แต่ในกรณีที่มีการผลิตมากเกินไป ผู้ป่วยอาจประสบโรคปอด เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส หรือโรคหลอดลมพอง

นอกจากนี้ยังพบโปรตีนจากนิวโตรฟิลชนิดกับดักที่ทำจากเส้นใยดีเอ็นเอที่มีโปรตีนต่อต้านจุลินทรีย์ซึ่งผูกติดอยู่กับมัน (Neutrophil Extracellular Traps: NETs) พบอยู่บริเวณนอกปอดของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ยังพบเนื้อเยื่อที่เสียหายรอบ ๆ เส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ณ บริเวณดังกล่าว ซึ่งจากกรณีนี้มันสามารถพัฒนาอาการให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดอักเสบและโรคสะเก็ดเงิน

:: งานวิจัยเพิ่มเติม ::

“ความสับสนที่เกิดขึ้นกับบุหรี่ไฟฟ้าว่าแท้จริงแล้วมันมีความปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปหรือไม่นั้นเป็นเนื่องมาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นยังอยู่ในกระบวนการศึกษาในระดับเริ่มต้นเท่านั้น” เคสิเมอร์ กล่าว

“จากผลลัพธ์ในงานศึกษาของเรามีข้อบ่งชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจเลวร้ายเทียบเท่าบุหรี่ทั่วไป” คณะวิจัยของเคสิเมอร์ ระบุว่ามูลค่าของการศึกษาวิจัยนี้มีขนาดเล็กและจำกัด เนื่องจากสมาชิกของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 12 คนของผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ากล่าวว่า พวกเขาเคยสูบบุหรี่ทั่วไปมาก่อนในอดีต

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาที่มีก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความตระหนักและเล็งเป้าไปยังจุดที่ต้องมีการสืบสวนและศึกษาต่อไป “การเปรียบเทียบความอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้ากับบุหรี่ทั่วไปก็เหมือนกับการเปรียบเทียบผลแอปเปิ้ลกับผลส้ม” เคสิเมอร์ กล่าว

“ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีสัญญาณที่แสดงถึงความอันตรายที่บรรจุในปอด เป็นความอันตรายที่มีทั้งความคล้ายคลึงและมีลักษณะเฉพาะ ผลลัพธ์นี้ได้ท้าทายแนวคิดที่จะเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่ทั่วไปเป็นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าด้วยความเข้าใจว่ามันเป็นทางเลือกที่มีความอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่า”

การสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากสมมติฐานที่ว่ามันมีความปลอดภัยกว่า ในปี 2016 เจ้ากรมการแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมาอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นกว่า 900% ในหมู่นักเรียนมัธยมปลาย

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: aboutislam.net

ฉันสามารถกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการเชือดตามบมบัญญัติศาสนาอิสลามได้หรือไม่?

:: [คำถาม] ::
ฉันเป็นคนงานชาวอินโดนีเซียที่ทำงานในนครบราซีเลีย ประเทศบราซิลเกือบสามเดือน ขณะที่ฉันทำงานที่นั่น ฉันไม่ได้ทานเนื้อสัตว์ใด ๆ เพราะเกรงว่ามันจะไม่ฮาลาลตามหลักการศาสนา ตอนนี้ฉันกินเพียงผัก ปลา และอาหารทะเลเท่านั้น บางครั้งฉันก็รู้สึกอยากกินเนื้อสัตว์บ้าง คำถามของฉันคือ ฉันสามารถกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้รับการเชือดด้วยนามของอัลลอฮฺได้หรือไม่ ? หรือฉันสามารถกินมันได้เพียงแค่กล่าวนามของอัลลอฮฺขณะรับประทาน ? เงื่อนไขนี้เพียงพอสำหรับฉันให้รับประทานมันได้หรือไม่ ?

:: [คำตอบ] ::
ขอความสันติ ความเมตตา และความจำเริญจากผู้เป็นเจ้าจงประสบแด่ท่าน ด้วยพระนามของผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงไพศาลในความเมตตา ผู้ทรงถ้วนทั่วในความกรุณา มวลการสรรเสริญทั้งหมดเป็นสิทธิแห่งผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ความจำเริญและความศานติจงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของเรา รวมถึงวงศ์วานของท่านและเหล่าสาวกของท่านทั้งมวล

จากฟัตวาชิ้นนี้สรุปได้ว่า:
1 – ทรรศนะที่เป็นมติเอกฉันท์โดยบรรดาปวงปราชญ์และนักวิชาการต่างอนุญาตให้ทานเนื้อสัตว์ของกลุ่มชนชาวคัมภีร์ (อะฮฺลุล กิตาบ) ทั้งชาวยิวและชาวคริสเตียนได้ หากนามของอัลลอฮฺนั้นได้รับการกล่าวขณะเชือด

2 – หากว่าผู้เชือดได้กล่าวนามอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺขณะที่เชือด เช่น ชื่อพระเยซู นักวิชาการบางท่านก็ไม่ถือว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นเป็นที่อนุญาตสำหรับมุสลิมให้รับประทานได้

ดร. มุฮัมมัด เศาะลาห์ ศาสตราจารย์ประจำวิชาอูศุล อัล ฟิกฮฺ แห่งสถาบันการศึกษาชะรีอะฮฺ อะคาเดมี่ ซึ่งเป็นผู้ตอบคำถามนี้ ท่านได้ให้คำตอบว่า กฎเกณฑ์ทั่วไปคืออนุญาตให้ทานเนื้อสัตว์ที่เชือดโดยกลุ่มชนชาวคัมภีร์ได้ (อะฮฺลุล กิตาบ) ได้แก่ ชาวยิวและชาวคริสเตียน หากชื่อของอัลลอฮฺได้รับการกล่าวขณะที่ทำการเชือด

อัลลอฮฺตรัสว่า “ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวบนมันเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์” (อัล อันอาม 6:118)

อัลลอฮฺตรัสว่า “และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺมิได้ถูกกล่าวบนมัน และแท้จริงมันเป็นการละเมิดแท้” (อัล อันอาม 6:121)

หากว่าผู้เชือดได้กล่าวนามอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺขณะที่เชือด เช่น ชื่อพระเยซู ถือว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับมุสลิมให้รับประทานได้

อัลลอฮฺตรัสว่า “ที่จริงที่พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้านั้นเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ” (อัล บะเกาะเราะฮฺ 2:173)

นอกจากนี้ หากทราบว่าเนื้อสัตว์ในประเทศที่ท่านอาศัยนั้นได้จากกรรมวิธีการฆ่าสัตว์ด้วยวิธีการใช้ปืนยิง การทำให้หมดลมหายใจ หรือการรัดคอ โดยที่ไม่ได้มาด้วยกรรมวิธีการเชือดที่ถูกต้อง เนื้อสัตว์เหล่านั้นถือว่าเป็นที่ต้องห้ามสำหรับมุสลิมมิให้รับประทาน

แต่ถ้าผู้เชือดเป็นหนึ่งในกลุ่มชนชาวคัมภีร์และพวกเขาก็เชือดสัตว์ของพวกเขาด้วยการกล่าวนามของผู้เป็นเจ้า ถือว่าเป็นที่อนุญาตสำหรับชาวมุสลิมที่จะรับประทานเนื้อสัตว์เหล่านั้นได้

แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้ดีที่สุด

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง

จุดยืนในอิสลามเรื่องโมโนและไดกลีเซอไรด์

:: คำถาม ::
ขอความศานติและความจำเริญจงประสบแด่ท่าน ในขณะที่โมโนและไดกลีเซอไรด์ส่วนใหญ่ (อิมัลซิไฟเออร์ที่อยู่ในพุดดิ้ง ไอศกรีม เนยถั่ว น้ำสลัด ขนมปังและอื่น ๆ) ที่พบในตลาดนั้นมีแหล่งที่มาจากพืช (น้ำมันข้าวโพด ถั่วลิสงและถั่วเหลือง) ขณะที่บางส่วนก็มีแหล่งที่มาจากสัตว์ (วัวและสุกร) การจะทราบว่าอาหารใดบ้างที่มีแหล่งที่มาจากสัตว์นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉลากอาหารจะบอกเพียงว่าอาหารชนิดนั้นมีโมโนและไดกลีเซอไรด์เป็นส่วนประกอบ ไม่ได้บอกแหล่งที่มา ดังนั้นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถือว่าฮาลาลหรือไม่ ?

:: คำตอบ ::
ขอความศานติและความจำเริญของอัลลอฮ์จงประสบแด่ท่าน ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ การขอบคุณและการสรรเสริญทั้งหมดเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ขอความศานติและความศิริมงคลจงประสบแด่ท่านศาสนทูตของพระองค์

เรียนผู้ที่ส่งคำถามมา เราขอขอบคุณความเชื่อมั่นที่ดีที่ท่านมีในตัวเราและเราขอวิงวอนให้อัลลอฮ์ทรงช่วยให้เรามีความสามารถในการรับใช้อิสลามและอุทิศงานนี้ในหนทางของพระองค์

ก่อนอื่นเราต้องขอเกริ่นก่อนว่าอัลลอฮ์ทรงประทานพรแก่บ่าวของพระองค์ด้วยการสร้างสรรค์และประทานปัจจัยยังชีพทุกชนิดบนโลกใบนี้แก่พวกเขา และพระองค์ก็อนุญาตให้พวกเขาบริโภคทุกอย่างที่ฮาลาล (อนุญาต) และมีประโยชน์

อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า “มนุษย์เอ๋ย! จงบริโภคสิ่งอนุมัติที่ดี ๆ จากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า” (อัล บะเกาะเราะฮ์ 2: 168)

อย่างไรก็ตาม อัลลอฮ์ทรงห้ามอาหารบางชนิดที่ไม่ดีและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมทุกคนที่จะแสวงหาสิ่งที่ฮาลาลและหลีกเลี่ยงสิ่งที่หะรอม (ต้องห้าม) ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตของเราอีกด้วย

กลับมาที่คำถามของท่าน เราจะอ้างอิงฟัตวา (ข้อวินิจฉัยทางศาสนา) ดังต่อไปนี้ :

โมโนและไดกลีเซอไรด์เป็นอิมัลซิไฟเออร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร อิมัลซิไฟเออร์เป็นสารที่มีสมบัติละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน ช่วยลดแรงตึงผิวระหว่างของเหลว 2 ชนิด ที่ไม่ผสมน้ำมันเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำ และไม่ผสมน้ำให้เป็นเนื้อเดียวกันกับไขมัน ซึ่งสารเหล่านี้จะฮาลาลหรือหะรอมก็ได้ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของมัน อิมัลซิไฟเออร์มีทั้งแบบที่สกัดมาทั้งจากพืชและจากสัตว์

ตัวอย่างเช่น: หมากฝรั่งอารบิก ไข่แดง (เลซิทิน) โมโนและไดกลีเซอไรด์ เกลือน้ำดี ถั่วเหลือง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้มีแหล่งที่มาของอิมัลซิไฟเออร์ อิมัลซิไฟเออร์ที่ได้จากเลซิทินนั้นอนุญาตสำหรับชาวมุสลิมที่จะบริโภค ส่วนอิมัลซิไฟเออร์ที่ได้จากโมโนหรือไดกลีเซอไรด์ ท่านจำเป็นต้องค้นหาแหล่งที่มาของมันเสียก่อน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ผลิตอาหารเริ่มติดฉลากที่แสดงแหล่งที่มาของโมโนและไดกลีเซอไรด์ แต่ถ้าผลิตภัณฑ์ชิ้นใดที่ไม่ได้บอกแหล่งที่มา วิธีเดียวที่จะค้นหาคือการสอบถามทางร้านเบเกอรี่หรือผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ที่ท่านต้องการบริโภค

นอกจากนี้ ยังมีหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับส่วนผสมของอาหาร วัตถุเจือปนในอาหาร และวัตถุกันเสียในประเทศตะวันตก และสถานะของส่วนประกอบเหล่านี้ตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม คุณสามารถศึกษาเรื่องราวเหล่านี้จากหนังสือดังกล่าวซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเด็นเหล่านี้

และแท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ทรงรู้ดีที่สุด

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: aboutislam.net

กฏเกณฑ์ว่าด้วยการรับประทานหอยทาก: การปรุงหอยทากสด ๆ เป็นที่อนุมัติหรือไม่

หลักการอิสลามกล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับการรับประทานหอยทาก เท่าที่ทราบมาการปรุงหอยทากนั้นจะปรุงกันสด ๆ โดยมิได้เชือด และในยุคของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มีการนำเอาหอยทากมาเป็นอาหารหรือไม่

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

หอยทากมีสองชนิด หอยทากบกและหอยทากทะเล หอยทากบกถูกจัดอยู่ในกลุ่มของแมลงและสัตว์น่ารังเกียจ ซึ่งไม่มีเลือดไหลเวียน ส่วนหอยทากทะเลถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์ที่มีเปลือกเช่นหอย กุ้ง ปูซึ่งเป็นสัตว์ทะเล

ใน เมาซูอะฮฺ อัลอะเราะบิยฺยะฮฺ อัลอะลามิยฺยะฮฺ กล่าวไว้ว่า
หอยทาก (snail) เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และจัดเป็นหอยชนิดหนึ่ง (shellfish) หอยทากส่วนใหญ่จะมีเปลือกข้างนอกลำตัว บางชนิดมีเปลือกขนาดเล็กอาจอยู่นอกหรืออาจอยู่ใต้ผิวหนัง แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีเปลือกคลุมทั้งตัว

หอยทากน้ำจืดจะมีหนวดหนึ่งคู่ ซึ่งจะมีดวงตาอยู่ที่ปลายหนวดที่ยาวทั้งสอง หอยทากรูปกรวย (large sand snail) ถือว่าเป็นศัตรูพืชชนิดหนึ่ง เนื่องจากมันชอบกัดกินพืช บางตัวอาจมีความยาวถึง 10 เซนติเมตร

เกี่ยวกับกฎเกณฑ์การรับประทานหอยทาก
1. หอยทากน้ำจืดจะถูกจัดในกฏว่าด้วยการรับประทานแมลง นักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่ามันเป็นสัตว์ต้องห้ามที่จะรับประทาน (หะรอม) อิมานะวาวีย์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวไว้ในอัลมัจญมูอ์ (9/16) ว่า มุมมองของเราถือว่ามันต้องห้าม ส่วนทรรศนะของ อบูหะนีฟะฮฺ อิมามอะหมัด และอิมามดาวุด และอิมามมาลิกถือว่ามันหะลาล (อนุญาตให้รับประทาน)

อิบนุอัซม์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้รับประทานหอยทากน้ำจืดหรือสัตว์อื่นที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ “แมลงหรือปรสิต” เช่น ตุ๊กแก, แมลงสาบ, มด, ผึ้ง, แมลงวัน, ตัวต่อ, หนอน, เหา, หมัด, ตัวเรือด, ไร, ยุง หรืออื่น ๆ ที่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกัน เนื่องอัลลอฮฺทรงกล่าวว่า “ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเองและเลือดและเนื้อสุกรและสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ ขณะเชือดมัน และสัตว์ที่ถูกรัดคอตายและสัตว์ที่ถูกตีตายและสัตว์ที่ตกเหวตายและสัตว์ที่ถูกขวิดตายและสัตว์ที่สัตว์ร้ายกัดกิน นอกจากที่พวกเจ้าเชือดกัน” (อัลมาอิดะฮฺ 5:3) และมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าการเชือดต้องทำที่คอเหนือบริเวณเหนื่อหน้าอก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเชือดพวกมัน ดังนั้นการที่จะกินพวกมันได้ต้องรอให้พวกมันตายเสียก่อน ซึ่งถือว่าไม่มีการเชือดอย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งต้องห้าม

ในอัลมุหัลลา (6/76, 77) มัซฮับมาลิกี มิได้กำหนดเงื่อนไขว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเลือดไหลเวียนจะต้องถูกเชือดเสียก่อน แต่พวกเขาได้วางไว้ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกับตั๊กแตนและการวิธีการฆ่าพวกมันก็ด้วยการต้ม ย่าง หรือเจาะด้วยไม้ หรือเข็มจนกว่าจะตายพร้อมกับกล่าวบิสมิลลาฮฺ

ในอัลมุเดาวะนะฮฺ (1/542) กล่าวว่า อิมามมาลิกถูกถามปัญหาบางอย่างในดินแดนมัฆริบ (แอฟริกาเหนือ) จากสิ่งที่เรียกว่าหอยทาก ที่พบในทะเลทรายและตามต้นไม้ ว่าจะรับประทานได้หรือไม่ ท่านตอบว่า ฉันคิดว่ามันคล้ายกับกรณีตั๊กแตน ถ้าจับขณะมันมีชีวิตแล้วนำมาต้ม หรือย่าง ฉันคิดว่าไม่ผิดอะไรที่จะกิน แต่หากพบขณะที่มันตายแล้ว ไม่สมควรที่จะรับประทาน

อบุล วาลีด อัลบาญี (ขออัลลอฮฺโปรดเมตตาท่าน) กล่าวไว้ในอัลมุนตะกอ ชัรห์ อัลมุวัฏเฏาะอฺ (3/110) ว่า หากว่ามันได้รับการพิสูจน์ ดังนั้น กฎเกณฑ์ของหอยทากจึงเป็นเช่นเดียวกับตั๊กแตน อิมามมาลิกกล่าวว่า การฆ่ามันจะกระทำโดยการต้มเดือดหรือแทงด้วยไม้แหลมหรือเข็มจนกระทั่งมันตาย และควรเอ่ยนามของอัลลอฮฺขณะที่ทำการดังกล่าว เช่นเดียวกันกับการตัดหัวของตั๊กแตน

2. หอยทากทะเลนั้นหะลาลที่จะรับประทาน ซึ่งจัดอยู่ในกฏเกณฑ์เกี่ยวกับอาหารทะเลว่าโดยทั่วไปแล้วอนุญาตให้รับประทาน ดังดำรัสของอัลลอฮฺที่กล่าวว่า
“ได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้า ซึ่งสัตว์ล่าในทะเลและอาหารจากทะเลทั้งนี้เพื่อเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์แก่พวกเจ้า และแก่บรรดาผู้เดินทาง” (อัลมาอะดะฮฺ 5:96)
อิมาม บุคอรีย์ บันทึกว่า ท่านอุมัรฺ อิบนุค็อฏฏอบ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน) กล่าวว่า
صَيْدُهُ : مَا اصْطِيدَ ، وَطَعَامُهُ : مَا رَمَى بِهِ

“การล่า (ในทะเล) หมายถึง สิ่งที่ถูกล่า และอาหารของมันคือสิ่งที่ทะเลคายออกมา (บนชายฝั่ง)”

อิมามบุคอรีย์ รายงานจากชุร็อยฮฺ ซึ่งเป็นเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีกล่าวว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า كُلُّ شَيءٍ فِي الْبَحْرِ مَذْبُوحٌ “ทุกอย่างในทะเลล้วนถูกเชือด (มัซบูฮ-นั่นคือนุมัติ)” อย่างไรก็ตามเราไม่พบหะดีษต้นใดที่รายงานว่าท่านนบีรับประทานหอยทาก

สรุป อนุญาต (หะลาล) ที่จะกินหอยทากทั้งสองชนิดทั้งบกและทะเล หากมีการปรุงสดถือว่าไม่ผิดแต่ประการใด เพราะมันไม่มีเลือดที่อาจทำให้อ้างได้ว่าจำเป็นต้องเชือดให้ถูกต้องและให้เลือดไหลออกเสียก่อน และหอยทากทะเลนั้นจัดอยู่ภายใต้กฎพื้นฐานที่กล่าวว่าสัตว์ทะเลโดยทั่วไปนั้นรับประทานได้

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islamqa

การให้อาหารไก่ด้วยเนื้อสุกรฮาลาลหรือหะรอม?

:: [คำถาม] ::
ฮาลาลหรือหะรอมที่จะรับประทานเนื้อไก่ที่ถูกเลี้ยงด้วยเนื้อสุกรและสัตว์ที่ตายแล้ว หากว่าหะรอม แล้วไข่ของมันจะรับประทานได้หรือไม่?

:: [คำตอบ] ::
ในการเชื่อมโยงกับสิ่งที่ท่านได้อ้างถึง มีความขัดแย้งในบรรดานักวิชาการในการรับประทานเนื้อและไข่ของมัน

อิหม่ามและนักนิติศาสตร์อิสลามกลุ่มหนึ่งกล่าวว่ามันเป็นมุบาห์ (อนุญาต) ที่จะรับประทานเนื้อและไข่ของมัน เนื่องจากอาหารที่ไม่บริสุทธิ์จะมีความบริสุทธิ์เมื่อมันกลายเป็นเนื้อและไข่

นักนิติศาสตร์บางท่านซึ่งมีท่านสุฟยาน อัษ-เษารียฺ อิหม่าม อัช-ชะฟีอียฺและอิหม่ามอะหฺมัด ห้ามกินเนื้อและไข่หรือดื่มนมของมันยกเว้นมันจะถูกให้อาหารด้วยกับอาหารที่บริสุทธิ์อย่างน้อย 3 วัน

มีนักวิชาการบางส่วนกล่าวว่าหากอาหารที่มันรับประทานนั้นมีความสกปรก พวกมันจะถูกพิจารณาป็น “ญัลลาละฮฺ” (สัตว์ที่เลี้ยงด้วยสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์) ดังนั้น จึงไม่ควรรับประทาน ในทางตรงกันข้าม หากอาหารของมันส่วนใหญ่มีความบริสุทธิ์ มันเป็นที่อนุญาตที่จะรับประทานเนื้อของมัน

นักนิติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งห้ามรับประทานเนื้อของมัน ซึ่งได้ใช้หลักฐานจากหะดีษที่รายงานโดย อิหม่าม อะหฺมัด อบู ดาวูด อัล นาซาอียฺและอัต-ติรมีซียฺ ในหะดีษ จากท่านอิบนุ อับบาส รดิยัลลอฮุ อันฮุ ที่รายงานว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ห้ามการดื่มนมจากสัตว์ญัลลาละฮฺ ซึ่งเป็นหะดีษศอฮี้ยฺ โดย อิหม่าม ติรมีซียฺ และอิบนุ ดะกีก อัล อิฎ รดิยัลลอฮุ อันฮุ มีรายงานจากท่านอิหม่าม อบู ดาวุด อัต-ติรมีซียฺ และ อิบนุ มาญะฮฺ จาก ท่านอิบนุ อุมัร รดิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่า ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ห้ามการรับประทาน “อัล-ญะลาละฮฺ” และดื่มนมของมัน

และความคิดเห็นที่สองย่อมเป็นความคิดเห็นที่ดีกว่า …

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง