Halal Life & Health News: ด้วยสถานการณ์ข่าวสารการติดตามผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนโดยทั่วไป หากมีการติดตามข่าวสารมากจนเกินไป อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการทางกายและจิตใจได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หายใจไม่อิ่ม อึดอัดในช่องท้อง ปวดท้อง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติทั้งที่อยู่ในสภาพปกติ นอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ อาการวิตกกังวล ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หงุดหงิดง่าย โกรธ ฉุนเฉียว ก้าวร้าว สมาธิไม่ดี เป็นต้น

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้คำแนะนำหลัก 5 วิธีในการติดตามข่าวสารบ้านเมืองให้ห่างไกลจากความเครียดไว้ ดังนี้

1.แบ่งเวลาติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างพอดี โดยการติดตามข่าวสารไม่ควรติดตามต่อเนื่องนานเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพราะจะทำให้เครียดมากขึ้น

2. ทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติ หันเหความสนใจจากข่าวสารไปเรื่องอื่น ละเว้นการรับรู้ข่าวสารการเมืองบ้าง โดยหันไปทำหน้าที่ของตนเอง เรียนหนังสือ การทำงาน และการให้เวลากับครอบครัว

3. เคารพความคิดเห็นแบบประชาธิปไตยที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ โดยไม่ดูข่าวหรือรับข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว จะทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง ควรเปิดกว้างและรับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่าง

4. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย วันละ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งการพักผ่อนจะทำให้ความเครียดลดลง

5. การผ่อนคลายความเครียด เช่น การออกกำลังกาย ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกหายใจคลายเครียด การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นต้น

ในศาสนาอิสลาม การกล่าวดุอาอฺ การอ่านอัลกุรอาน การละหมาดและการมอบหมายไปยังอัลลอฮฺ ก็เป็นหนึ่งในอีกหลายวิธีในการขจัดความเครียด

วัลลอฮูอาลัม

…………………………..
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานปัตตานี
ที่มา : https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=28502

บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดปัญหาสุขภาพน้อยกว่าจริงหรือ?

บุหรี่ไฟฟ้า :
ของเหลวในบุหรี่ไฟฟ้ามักทำจากนิโคติน โพรพิลีนไกลคอล กลีเซอรีนและสารปรุงแต่งกลิ่นรส

แน่นอนว่ามันปลอดภัยกว่าหากจะกระโดดออกจากหน้าต่างที่สูงห้าชั้นหากเทียบกับการกระโดดออกจากหน้าต่างที่สูงยี่สิบชั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การกระโดดออกจากหน้าต่างนั้นมีความปลอดภัยแต่อย่างใด

หลักชะรีอะฮ์ในอิสลามได้บัญญัติห้ามไม่ให้มนุษย์ใช้สิ่งต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นอันตรายทันทีทันใดหรือค่อย ๆ เป็นอันตรายจนนำไปสู่ความตายภายหลัง สร้างความเสียหายต่อร่างกาย หรือส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยและเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจ

ท่านศาสนทูตมุฮัมมัดได้กล่าวว่า: “เท้าของลูกหลานอาดัมจะไม่ขยับไปไหนจาก ณ ที่อัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์จนกว่าจะถูกถามถึง 5 ประการด้วยกัน จะถูกถามถึงชีวิตของเขาว่าเขาใช้หมดไปกับอะไร และวัยหนุ่มของเขาว่าใช้กับอะไร และทรัพย์สินของเขาว่าได้มาจากที่ไหนและใช้จ่ายไปอย่างไร และจะถูกถามถึงสิ่งใดบ้างที่เขาได้ปฏิบัติไปในสิ่งที่รู้มา” (บันทึกการรายงานโดยติรมิซีย์)

ด้วยเหตุนี้ ตามหลักศาสนาอิสลามสุขภาพของเรานับว่าเป็นประหนึ่งของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานมาให้มนุษย์ ชะรีอะฮ์จึงบัญญัติห้ามไม่ให้เราทำของขวัญชิ้นนี้เสียหายด้วยการกระทำที่ขาดการยั้งคิด เช่น การสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งศาสนาอิสลามและวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีงานวิจัยเล็ก ๆ ที่พบว่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจเสี่ยงต่อโรคปอดและโรคหลอดเลือดต่าง ๆ จากรายงานของ แอนดรูว์ มาสเตอร์สัน (Andrew Masterson) ในนิตยสารคอสมอส (Cosmos Magazine)

ข้อโต้แย้งที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นตัวแทนของการบริโภคนิโคตินในรูปแบบที่ปลอดภัย จากการศึกษาพบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ปกติ อีกทั้งยังสร้างผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายต่อปอดเช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป

การศึกษาขนาดเล็กชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อเมริกันสำหรับการศึกษาโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต (American Journal of Respiratory and Critical Care Medicine) ซึ่งผู้เขียนก็ยอมรับว่างานชิ้นนี้ยังมีข้อจำกัดอย่างมีนัยสำคัญ

คณะนักวิจัยซึ่งนำโดยนักพยาธิวิทยา เมห์เมด เคสิเมอร์ (Mehmet Kesimer) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ (University of North Carolina at Chapel Hill) ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการเก็บตัวอย่างเสมหะของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 15 คน ผู้สูบบุหรี่ทั่วไปจำนวน 14 คน และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่จำนวน 15 คน

ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ทั่วไปแสดงผลลัพธ์ให้เห็นถึงระดับที่เพิ่มขึ้นของสารบ่งชี้ทางชีวภาพอย่างน้อยสองตัว คือ ไทโอรีดอกซิน (Thioredoxin: TXN) และเมตริกซ์เมทัลโลโปรตีนเนส-9 (Matrix Metalloproteinase-9: MMP9) ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะเครียดจากการออกซิเดชัน (oxidative stress) และกลไกการป้องกันที่เชื่อมโยงกับโรคปอด
.
กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มนี้ยังแสดงผลลัพธ์ของค่าวัดระดับการหลั่งเยื่อเมือกที่สำคัญของมิวซินคัดหลั่งชนิด Mucin 5AC ซึ่งเป็นเยื่อเมือกระดับเดียวกับที่โรคหอบหืดและโรคหลอดลมอักเสบสามารถหลั่งออกมาในระดับที่สูงได้ขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ายังพบระดับของโปรตีนที่สูงขึ้นอีกสองชนิดจากเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล ซึ่งชนิดของเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค แต่ในกรณีที่มีการผลิตมากเกินไป ผู้ป่วยอาจประสบโรคปอด เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส หรือโรคหลอดลมพอง

นอกจากนี้ยังพบโปรตีนจากนิวโตรฟิลชนิดกับดักที่ทำจากเส้นใยดีเอ็นเอที่มีโปรตีนต่อต้านจุลินทรีย์ซึ่งผูกติดอยู่กับมัน (Neutrophil Extracellular Traps: NETs) พบอยู่บริเวณนอกปอดของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ยังพบเนื้อเยื่อที่เสียหายรอบ ๆ เส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ณ บริเวณดังกล่าว ซึ่งจากกรณีนี้มันสามารถพัฒนาอาการให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดอักเสบและโรคสะเก็ดเงิน

:: งานวิจัยเพิ่มเติม ::

“ความสับสนที่เกิดขึ้นกับบุหรี่ไฟฟ้าว่าแท้จริงแล้วมันมีความปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปหรือไม่นั้นเป็นเนื่องมาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นยังอยู่ในกระบวนการศึกษาในระดับเริ่มต้นเท่านั้น” เคสิเมอร์ กล่าว

“จากผลลัพธ์ในงานศึกษาของเรามีข้อบ่งชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจเลวร้ายเทียบเท่าบุหรี่ทั่วไป” คณะวิจัยของเคสิเมอร์ ระบุว่ามูลค่าของการศึกษาวิจัยนี้มีขนาดเล็กและจำกัด เนื่องจากสมาชิกของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 12 คนของผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ากล่าวว่า พวกเขาเคยสูบบุหรี่ทั่วไปมาก่อนในอดีต

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาที่มีก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความตระหนักและเล็งเป้าไปยังจุดที่ต้องมีการสืบสวนและศึกษาต่อไป “การเปรียบเทียบความอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้ากับบุหรี่ทั่วไปก็เหมือนกับการเปรียบเทียบผลแอปเปิ้ลกับผลส้ม” เคสิเมอร์ กล่าว

“ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีสัญญาณที่แสดงถึงความอันตรายที่บรรจุในปอด เป็นความอันตรายที่มีทั้งความคล้ายคลึงและมีลักษณะเฉพาะ ผลลัพธ์นี้ได้ท้าทายแนวคิดที่จะเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่ทั่วไปเป็นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าด้วยความเข้าใจว่ามันเป็นทางเลือกที่มีความอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่า”

การสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากสมมติฐานที่ว่ามันมีความปลอดภัยกว่า ในปี 2016 เจ้ากรมการแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมาอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นกว่า 900% ในหมู่นักเรียนมัธยมปลาย

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: aboutislam.net

กฏเกณฑ์การบริโภคโปรตีนสกัดจากกัญชง (hemp)

ข้าพเจ้าขอถามเกี่ยวกับโปรตีนที่ผลิตจากต้นกัญชง (hemp) ซึ่งหาซื้อได้ในร้านขายเครื่องกีฬาในประเทศอังกฤษ จุดประสงค์ของการบริโภคโปรตีนชนิดก็เพื่อเป็นแหล่งพลังงานตามธรรมชาติจะเป็นที่อนุมัติหรือไม่โดยที่สารนี้ไม่มี THC (สารที่ทำให้มึนเมา)

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ
ในสารานุกรม อัลเมาสูอะฮฺ อัลอะเราะบิยะฮ์ อัลอะลามิย์ยะฮฺ กล่าวไว้ว่า กัญชง (Hemp) (บางครั้งเรียกกันในชื้อแคนนาบิส-cannabis) เป็นพืชที่ปลูกเพื่อนำเส้นใยที่แข็งแรงของมัน เพื่อนำมาแ.ปรรูปทำเป็นเส้นด้ายและเชือกหลากหลายชนิด การปลูกกัญชงเป็นสิ่งผิดกฏหมายในหลายประเทศ ซึ่งอาจมีสารอาจมีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ที่รู้จักกันในชื่อกัญชา

กัญชงมีผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นนักนิติศาสตร์ในอดีตและปัจจุบันจึงห้ามมิให้บริโภคมัน รวมทั้งกฏหมายของหลายประเทศทั่วโลก

สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในแคนนาบิสที่มีผลต่อสมองและระบบประสาทตามที่ผู้ถามได้อ้างถึงนั้นมีอักษรย่อ คือ THC ซึ่งหมายถึง tetrahydrocannabinol เป็นที่ทราบกันดีว่าสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทนี้ไม่ได้มีที่อื่น ๆ แต่จะมีมากในใบเพศผู้หรือช่อดอกและไม่มีอยู่ในเมล็ด
.
มุฮัมมัด ฟัตฮิอีดซึ่งเป็นแพทย์ทหารกล่าวว่า ต้นกัญชงเป็นพืชที่ถูกห้ามมิให้ปลูกตามกฏหมายระหว่างประเทศของอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 (the Single Convention on Narcotic Drugs of 1961) ซึ่งอนุสัญญานี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพิธีสารฯค.ศ.1972 แต่ได้รับการยกเว้นในจำนวนที่เล็กน้อยแก่ประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาทั้งนี้เพื่อใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษกล่าวว่า “แคนนาบิส” หมายถึงช่อดอกหรือผลของกัญชง (ไม่รวมเมล็ดและใบเมื่อไม่ได้ติดกับยอด) ซึ่งยังไม่ได้สกัดเรซิ่นออกมาไม่ว่าจะเรียกด้วยชื่อใดก็ตาม อนุสัญญาระบุว่านิยามนี้ไม่รวมใบที่อยู่ใต้ช่อดอกและเมล็ด

จากที่กล่าวมา หากโปรตีนได้มาจากกัญชงสกัดมาจากหนึ่งในสองสิ่งคือใบและเมล็ด ซึ่งไม่มี THC แล้วไม่มีความผิดอะไรหากจะบริโภค (หะลาล) ตราบเท่าที่มันไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายและไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นี่คือกฏทั่วไปที่สามารถนำไปใช้กับทุกสิ่งที่มีอยู่ในท้องตลาดไม่ว่าจะเป็นสารตามธรรมชาติหรือผลิตสังเคราะห์ออกมาที่อ้างว่าเป็นประโยชน์กับร่างกายและให้พลังงานแก่นักกีฬา

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.info

สิ่งสปรก(นะญิส) คืออะไร ?

การมีเสื้อผ้าและร่างกายที่สะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องสุขอนามัย แม้แต่สัตว์บางตัวก็ทำความสะอาดตัวมันเองหรือทำความสะอาดตัวอื่น ๆ ในกลุ่มของมัน
เรื่องของความสะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญมากขในอิสลามและมุสลิมดำเนินตามหลักการที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับเงื่อนไขส่วนบุคคลในชีวิตของเขาโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เขารับประทาน …

ดังนั้น ถ้ามุสลิมจะสัมผัสสัตว์หรือเนื้อสัตว์ใดก็ตาม พวกเขาจะต้องปฏิบัติตามหลักการที่คอยควบคุมนะญิส (สิ่งสปรกตามบทบัญญัติ) และฏอฮิร (ความสะอาด) โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่พวกเขาจะเตรียมตัวทำการละหมาดในแต่ละวัน

ตามความเชื่อของมุสลิมสิ่งสกปรกต่าง ๆ นั้นถูกแบ่งออกเป็น 10 ประเภท
1. ปัสสาวะ
2. อุจจาระ
3. อสุจิ
4. ซากศพ
5. เลือด
6. สุนัข
7. สุกร
8. สุรา
9. เหล้าไวน์
10. เหงื่อที่ไหลออกมาของผู้ที่กินสิ่งที่เป็นนะญิส

– เลือด ปัสสาวะ อุจจาระของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดที่กินเนื้อนั้นนะญิส –
บางทีอาจพูดได้ว่ามันมีความชัดเจนในตัวมันเองว่าทำไมปัสสาวะ อุจจาระ อสุจิ ร่างกายที่ตายแล้วและเลือดนั้นเป็นนะญิส(สิ่งสกปรกตามบทบัญญัติ) เหล่านี้มีธรรมชาติอันไม่พึงประสงค์เป็นการเฉพาะที่ยังไม่พูดถึงการมีอยู่ของแบคทีเรีย … ตัวอย่างเช่น เมื่อสัตว์เช่น วัว ซึ่งเนื้อของมันสามารถรับประทานได้ถูกยิงด้วยกับปืนยาสลบเพื่อนำเนื้อนมาวางขายนั้นถือว่าเป็นที่ต้องห้ามเนื่องจากเลือดของมันยังคงค้างอยู่ในตัวสัตว์

สัตว์ต่าง ๆ เช่น แกะ วัว อูฐ แพะ ไก่ ไก่งวง เป็นต้น นั้นอิสลามได้จัดเตรียมและวางแนวทางการเชือดให้กับผู้บริโภค โดยมุสลิมจะต้องให้น้ำกับสัตว์เพื่อความสดชื่นเป็นประการแรกและหันหัวของมันไปทางบัยตุลลอฮฺ(ทิศแห่งการละหมด) จากนั้นต้องเอ่ย “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ” (บิสมิลลาฮฺ อัร-เราะหฺมาน อัร-เราะหฺฮีม) และทำการเชือดที่ลำคอด้วยมีดอันแหลมคมถึงเส้นประสาทไขสันหลัง เมื่อเลือดไหลออกมาจนหมดจากลำคอ (บริสุทธิ์ที่จะรับประทานตามหลักการ) เนื้อของมันจึงบริสุทธิ์และฮาลาล

– สุนัข สุกร สุรา ไวน์ และเหงื่อที่ไหลออกมาของสัตว์ที่กินสิ่งสกปรก –
ตอนนี้เราขอลงไปในรายละเอียดของเหตุผลว่าทำไม สุนัข สุกร สุรา ไวน์ และเหงื่อที่ไหลออกมาของสัตว์ที่กินสิ่งสกปรกนั้นเป็นนะญิส

สุนัขตามธรรมชาติแล้วเป็นนักล่ากินซากศพและเลือด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์เลี้ยงก็ตาม เมื่อปล่อยให้วิ่งอย่างอิสระ มันก็จะกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วหากว่ามันพบเจอสุนัขจะประสบกับโรคภัยต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคหัดสุนัข โรคพิษสุนัขบ้า โรคตับอักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรียและปรสิต เช่น หนอน หมัด ไร และเหา (แมลงเล็ก ๆ ที่อยู่บนสัตว์) มันได้รับการฝึกฝนให้เป็นเหมือนยามเฝ้ารักษาความปลอดภัยหรือเป็นเพื่อนทื่ซื่อสัตย์และไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามันแสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความรู้สึกบางอย่างแต่คุณลักษณะเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติเดิมของมันที่ทำให้มันยังคงอยู่ในสัตว์ประเภทที่มีนะญิส

แมวจะติดเชื้อด้วยกับหมัดแมว ตัวไร หนอน การติดเชื้อทางเดินหายใจระดับสูง ลำไส้เล็กอักเสบที่ติดเชื้อในแมวและเชื้อไวรัสลิวคีเมีย (เกิดเป็นเนื้องอกขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ไต ม้าม เป็นต้น) ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีที่จะเอาสัตว์มาเลี้ยงไว้ในบ้าน

พวกเราส่วนใหญ่ไม่มีอุปนิสัยชอบกินสุนัข แต่ประเด็นที่เราต้องการ คือสุนัขนั้นเป็นสัตว์ที่มีนะญิสและจะต้องไม่เลี้ยงมันไว้ในบ้านของคน ถ้ามันกินอาหารจากจานของคน จานทั้งหมดที่มันสัมผัสนั้นจะต้องทิ้งไป (หรือไม่นำมาใช้จนกว่าจะทำความสะอาดได้อย่างถูกต้อง)

ตอนนี้ เรามาพิจารณาในเรื่องของหมู ไม่มีเพียงแค่ตัวหมูเท่านั้น บางครั้งต้องเผชิญกับอหิวาตกโรค โรคไข้หวัดหมู การเป็นไข้ อันดูแลนท์ ฟีเวอร์ (Undulant fever) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ “บรูเซลล่า” โรคแบล็กเลก (Blackleg) ที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ

ข้อมูลดังต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นถึงเหตุผลบางประการว่าทำไมหมูไม่เพียงแต่เป็นนะญิส(สิ่งสกปรก) เท่านั้นแต่ยังเป็นที่ต้องห้ามในการรับประทานเช่นกันทั้ง 3 ศาสนา ยิว คริสเตียน และอิสลาม

อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า
“ที่จริงที่พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้านั้นเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่ออื่นจากอัลลอฮ์” (สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 173)

“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเอง หรือเลือดที่ไหลออก หรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิด” (สูเราะฮฺ อัล-อันอาม อายะฮฺที่ 145)

และอีกอายะฮฺอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า
“แท้จริง พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้าเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่ออื่นจากอัลลอฮ์ ดังนั้นผู้ใดที่อยู่ในสภาพคับขัน โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่เป็นผู้ละเมิดแล้ว แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (สูเราะฮฺ อัน-นะหฺลฺ อายะฮฺที่ 115)

นักชีวเคมีมุสลิมได้ทำการศึกษาหมูและค้นพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางอย่าง
อย่างแรก คือไขมันที่รวมอยู่ในเนื้อสัตว์และมันไม่ได้แยกออกจากส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ ซึ่งพบว่าไขมันของสัตว์ที่กินได้นั้นมาจากรูปแบบหนึ่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ในขณะที่เนื้อหมูเป็นแบบของกรดไขมันอิ่มตัว นั่นหมายความว่าหากคนกินเนื้อสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร ไขมันของส่วนหลังจะถูกย่อยสลายในลำไล้เล็กหลังจากที่มีการผสมเข้ากับเกลือน้ำดี มันจะถูกดูดซึมเป็นไขมันของมนุษย์และเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อไขมันของมนุษย์

เอ็นไซม์ไลเปส (pancreatic lipase) ย่อยไขมันโดยอาศัยเกลือน้ำดี สัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหารไม่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ๆ ดังนั้นโมเลกุลของสัตว์เหล่านี้จะถูกผสมให้เข้ากันและดูดซึมเป็นไขมันจากสัตว์ มันจะถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมันของร่างกายมนุษย์เหมือนไขมันสัตว์ ซึ่งไม่ใช่ไขมันของมนุษย์ ไขมันหมู(น้ำมันหมู)มีลักษณะเช่นเดียวกับไขมันของสัตว์ที่เรากินเนื้อของมันเป็นอาหาร

ดังนั้น จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมันหมูถือว่าเป็นนะญิสและเป็นที่ต้องห้าม ซึ่งคนที่ตระหนักในเรื่องนี้จะไม่ใส่มันไว้ในรายการของพวกเขา เช่น คุกกี้สำเร็จรูปที่มีน้ำมันหมู

ปรสิตที่มีผลต่อหนู ได้แก่ พยาธิปากขอ พยาธิตัวกลม และแบคทีเรีย เช่นเดียวกับ พยาธิตัวแบนพาราโกนิมัส พยาธิใบไม้ตับชนิดคลอนอร์คิสซิเนนซิสและโรคอีริซิเพโลทริกซ์ (erysipelothrix rhnsiphathiae) (มีอาการรุนแรงมากในสุกร ทำให้เกิดข้ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผิวหนังมีการอักเสบ บวมมีสีแดงคล้ำคล้าย ๆ ไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก บางที่จะคัน) สามารถฝังตัวเข้าไปอยู่ในอวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น สมอง ตา หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ รวมไปถึงตับ

Dr. El-Fangary รายงานว่าคนจำนวนมากกินสัตว์ที่กินเนื้อมักจะมีทรรศคติที่ไม่ได้ ขาดมนุษยธรรมต่อคนอื่น ๆ ที่พร้อมจะฆ่าคนอื่นโดยปราศจากเหตุผลใด ๆ และบางคนถึงกับกินเนื้อของมนุษย์ด้วยกัน

– เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ –
ต่อมาเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด ตามหลักการทั่วไปทุกสิ่งที่มึนเมาหรือสารเสพติดนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างแน่นอน มันจะคอยทำลายสมรรถภาพทางร่างกายและสภาพจิตใจเช่นกัน

ธรรมชาติดั้งเดิมของมัน เช่น องุ่นถูกทำไม่ให้บริสุทธิ์เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงและผสมกับสารอื่น ๆ และสามารถสร้างผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายมากในมนุษย์ ส่วนผสมพิเศษได้ทำให้ธรรมชาติดั้งเดิมถูกทำลายคุณค่าเดิมของมัน

สุราประกอบด้วยเอทานอล ซึ่งเป็นของเหลวไวไฟไม่มีสี (C2H5OH) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มึนเมาในสุราและยังใช้เป็นตัวทำละลายในน้ำยาทำความสะอาดอีกด้วย
.
– ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา –

มนุษย์จะมีความบริสุทธิ์ด้วยการดำเนินตามหลักการที่บริสุทธิ์และศรัทธาในผู้สร้าง นั่นคือ อัลลอฮฺอิสลามมีคำแนะนำหลากหลายวิธีให้กับผู้คนในเรื่องของการรักษาความสะอาด เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า ร่างกาย ผม ฟัน การดื่มน้ำ น้ำที่ใช้ชำระล้างและการอาบน้ำ ที่อยู่อาศัย ถนน สถานที่สาธารณะ อาหาร ตลอดจนทุกสิ่งที่มนุษย์ใช้ประโยชน์

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islam Q&A

Halal Tech News: Manasikana แอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ประกอบพิธิฮัจญ์และอุมเราะห์

ข่าว 3 มิติ ซึ่งเป็นสื่อกระแสหลักในไทย ได้รายงานข่าวและเกาะติดสถานการณ์ประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนี้ โดยมีพิธีกรอย่างคุณไอลดา สุโง๊ะ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้รายงานข่าว โดยพิธีฮัจญ์ปีนี้มีผู้แสวงบุญจากทั่วโลกประมาณ 2 ล้านกว่าคน จากรายงานข่าว 3 มิติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้นำเสนอเรื่องราวการใช้แอปพลิเคชันตัวหนึ่งที่ชื่อว่า MANASIKANA เพื่อเป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญในการประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ มาทำความรู้จักกับแอปพลิเคชันนี้กันครับ…

Manasikana คืออะไร?

Manasikana เป็นแอปพลิเคชันที่ทางกระทรวงฮัจญ์และอุมเราะห์ของประเทศซาอุดิอารเบียได้พัฒนาขึ้น เพื่อเป็น platform อำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญในพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ โดยคุณสมบัติพิเศษของแอปพลิเคชัน manasikana มีด้วยกัน 10 ข้อดังนี้

1. ค้นหาเส้นทางและสถานที่: ค้นหาเพื่อนๆที่ร่วมแสวงบุญและค้นหาเส้นทางเพื่อไปยังพวกเขา
2. บริการแจ้งเตือนเมื่อคุณอยู่นอกขอบเขต: ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณยังอยู่ในขอบเขตของมีนา อารอฟะห์ มุซดาลีฟะห์ หรือ ฮะรอม
3. บริการแผนที่ออฟไลน์: ค้นหาสถานที่สาธารณะที่น่าสนใจ เช่น มัสยิดที่ใกล้ที่สุดร้านอาหาร ห้องน้ำ ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ
4. บริการฉุกเฉิน: โทรบริการฉุกเฉินโดยเพียงแค่สัมผัสปุ่มสีแดงที่มองเห็นได้เสมอบนหน้าจอ
5. การแลกเปลี่ยนเงินตราและการแปลงสกุลเงิน: ค้นหาเส้นทางไปยังศูนย์แลกเปลี่ยนเงินตราที่ใกล้ที่สุด และรับอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นปัจจุบัน
6. บทดุอาอฺและทิศกิบลัต : เวลาละหมาดและทิศกิบลัตตามตำแหน่งของคุณ
7. การอัปเดตสภาพอากาศ: รับการแจ้งเตือนสภาพอากาศในมักกะฮ์ มาดีนะห์ และเจดดะห์
8. บริการข่าวสาร: รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับฮัจย์และอุมเราะห์จากทางกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
9. ทวีตเตอร์ฮัจย์และอุมเราะห์: เพื่อรับทวีตล่าสุดจากกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
10. บริการแปลและข้อความเป็นคำพูด: แปลคำหรือวลีใด ๆ จากภาษาต่างๆเป็นภาษาอาหรับ (ต้องใช้อินเทอร์เน็ต)

แอปพลิเคชันนี้รองรับการใช้งาน 9 ภาษา ได้แก่ ภาษาอาหรับ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อูรดู ตุรกี มาเลย์ อินโดนีเซีย และเบ็งกอล แต่ยังไม่มีภาษาไทย โดยรองรับผู้ใช้ทั้ง iOS และ Android ซึ่งสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแอปพลิเคชันได้ที่ https://manasikana.haj.gov.sa/

……………………………………………………………………………………………………………
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=-zg9V33LCVM

http://www.arabnews.com/node/1346671/saudi-arabia

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.hajj.manasikana

มังสวิรัติแบบฮาลาล

ส่วนนี้ของบทความจะแสดงให้เห็นว่าการรับประทานมังสวิรัติและจริยศาสตร์ในการรับประทานตามหลักศาสนาอิสลามนั้นมีความสอดคล้องกันอย่างไร และพฤติกรรมการรับประทานแบบมังสวิรัติจะสามารถช่วยสัตว์ ช่วยโลก และช่วยสุขภาพของคุณอย่างไร

:: ส่วนประกอบจากสุกรอยู่ในผลิตภัณฑ์น้ำนมของคุณหรือไม่? ::
คุณรับประทานเนื้อ “ฮาลาล” หรือไม่ ? คุณรู้ไหมว่าแกะของคุณอาจกินไก่เป็นอาหาร ? หรือโคนมของคุณอาจมีกระดูกสุกรเป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหารของมัน ? บทความนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ขยายไปไกลกว่าเนื้อสัตว์ในอเมริกามาก แม้แต่สัตว์ในโลกอิสลามก็อาจได้รับอาหารที่มีส่วนประกอบที่ไม่ฮาลาลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

:: เมตตาธรรมในอิสลาม ::
อัลกุรอานได้กล่าวชัดเจนถึงชีวิตที่พิเศษของสัตว์

“เจ้าไม่รู้หรือว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺนั้นทรงได้รับการสรรเสริญสดุดีจากผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และมวลสกุณาที่ร่อนอยู่กลางอากาศ ทุก ๆ สิ่งนั้นต่างก็รู้การนมัสการแด่พระองค์และกล่าวสรรเสริญสดุดีแด่พระองค์ของตนเอง และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเขากระทำ” (อัน นูร 24:41)

“และไม่ว่าจะเป็นสัตว์ในแผ่นดิน และไม่ว่าจะเป็นนกที่บินได้ด้วยปีกทั้งสองข้างของมันก็ตาม นอกจากว่า (พวกมันเหล่านั้นก็) เป็นบรรดาประชาชาติที่เหมือนกับพวกเจ้าทั้งหลายนั่นเอง เรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์ หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกรวบรวมไปยังองค์อภิบาลของพวกเขา (เพื่อรอรับการพิพากษา)” (อัล อันอาม 6:38)

อัลกุรอานกล่าวว่าสัตว์เป็นดั่งเผ่าพันธุ์และประชาชาติในลักษณะของพวกเขาเอง และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคุณค่ามากกว่าการนำมาใช้เป็นทรัพยากรสำหรับการบริโภคเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สัตว์เหล่านี้ปัจจุบันได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากเครื่องจักรที่ไม่มีชีวิต อย่าง “ฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหาร” (factory farming) ไม่ใช่แค่ฟาร์มโรงงานที่พบในตะวันตกเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นกระบวนการสำคัญในการผลิตเนื้อสัตว์ ไข่ และนมทั่วโลก ในแต่ละปีมีการฆ่าสัตว์เพื่อใช้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหารมากกว่า 20 พันล้านตัวทั่วโลก สัตว์หลายพันล้านตัวถูกคุมขังในพื้นที่จำกัดขนาดเล็กเพื่อให้ผู้ผลิตสามารถเลี้ยงสัตว์ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไข่ 90% ของสหรัฐอเมริกามาจากไก่ที่ถูกยัดในกรงที่ขนาดเท่าหน้าปกแผ่นเสียงด้วยกัน 5 ตัว และกระบวนการผลิตไข่แบบนี้ได้แพร่หลายไปทั่วโลก

ไก่จะถูกตัดจะงอยปากของมันด้วยเหล็กร้อน ปศุสัตว์ทั้งหลายจะถูกสูญเขา ถูกตอน และถูกประทับตราหรือเลขกำกับไว้ ส่วนหางของมันก็จะถูกตัดโดยปราศจากการใช้ยาชา โคนมจะถูกจำกัดอยู่ในคอกเล็ก ๆ และถูกกักไว้ตลอดด้วยการผสมเทียม สัตว์ทุกตัวที่อยู่ในฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน

ความแออัดยัดเยียดของฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารนี้เองทำให้สัตว์หลายชนิดเกิดภาวะจิตป่วยและก่อความเสียหายให้กับตัวเองเนื่องจากความเบื่อหน่ายหรือความเครียด เพื่อต่อสู้กับโรคภัยที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมที่แออัดเหล่านี้ เกษตรกรประจำโรงงานมักฉีดพ่นสัตว์ด้วยสารกำจัดศัตรูพืชและฉีดยาปฏิชีวนะ เพื่อให้ปศุสัตว์ที่เลี้ยงนั้นอ้วนอย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนที่ราคาไม่แพง สัตว์เหล่านั้นจะได้รับการฉีดฮอร์โมนการเจริญเติบโต ซึ่งฮอร์โมนและสารเคมีที่ตกค้างเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคที่รับประทานเนื้อของมัน
การปฏิบัติต่อสัตว์เยี่ยงนี้นั้นละเมิดคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งท่านได้สั่งห้ามมิให้สร้างความเจ็บปวดทรมานต่อสัตว์ก่อนที่จะถูกเชือด นอกจากนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ยังห้ามมิให้ตัดหางและตัดชิ้นส่วนอื่น ๆ ของสัตว์ให้พิกลพิการ รวมถึงการประทับตราสินค้าบนใบหน้า (ซึ่งยังคงปฏิบัติโดยเจ้าของฟาร์มหลายแห่ง)

ในระหว่างกระบวนการลำเลียงและขนส่งสัตว์ สัตว์ที่ถูกนำไปผลิตเป็นอาหารโดยทั่วไปมักไม่ได้รับอาหารและน้ำ สภาพแวดล้อมในระหว่างการลำเลียงก็จะแออัดยัดเยียด สัตว์ที่อยู่ในยานพาหนะจะไม่ได้รับการปกป้องจากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อาจสร้างความอันตราย และสัตว์ที่อ่อนแรงก็จะถูกละเลยไม่ได้รับการดูแลรักษาเป็นเวลาหลายวันจนกระทั่งต้องรอจนถึงวันเชือด ไก่หลายตัวต้องปีกหักในระหว่างการขนส่ง สัตว์หลายตัวต้องขาดอากาศหายใจในพาหนะขนส่ง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่าอย่าให้สัตว์ต้องรอการเชือด และท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เคยทำโทษชายที่ปฏิเสธที่จะให้น้ำแก่แกะก่อนที่มันจะถูกนำไปเชือด

บ่อยครั้งที่เกิดการทารุณกรรมที่โหดร้ายต่อสัตว์ในระหว่างการเชือด หนึ่งในเรื่องราวระหว่างตรวจสอบสัตว์ที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการเชือดแบบซะบีฮะฮฺ (ตามหลักการศาสนา) พบว่า บางแห่งก็มีวัวที่ถูกตัดชิ้นส่วนแขนขาออกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้กระทั่งชาวมุสลิมที่พยายามหาเนื้อสัตว์ฮาลาลมาบริโภคก็อาจซื้อเนื้อฮาลาลที่เหมือนกับจะผ่านกรรมวิธีการเชือดตามหลักการศาสนา แต่ด้วยกระบวนการที่โหดร้ายไม่ถูกหลักจริยศาสตร์อิสลามเช่นนี้ อาจทำให้พวกเขาไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์ฮาลาลจริงที่ถูกต้องตามหลักการก็เป็นได้ จากการตรวจสอบเนื้อสัตว์ฮาลาลที่ส่งออกจากประเทศอินเดียพบว่า ในระหว่างกระบวนการนั้น สัตว์กลับถูกถลกหนังและถูกเชือดในขณะที่สัตว์เหล่านั้นอยู่ในสภาพกระวนกระวายและพยายามหลบหนี หรือบางทีก็พบว่าสัตว์เหล่านั้นถูกเชือดในขณะที่ได้รับสัญญาณที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนถึงกระบวนการที่จะคร่าชีวิตของพวกเขา (เช่น การลับมีดให้เห็นต่อหน้าสัตว์ที่จะเชือด) แม้จะมีคำตัดสินทางศาสนาถึงกระบวนการเชือดว่า สัตว์จะต้องอยู่ในสภาพที่สิ้นชีวิตอย่างชัดเจนก่อนจะเริ่มทำการถลุงหนังหรือตัดชิ้นส่วนของสัตว์ และหลักการที่ว่าห้ามลับมีดให้เห็นต่อหน้าสัตว์ที่จะเชือด

เนื้อที่ได้จากฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเหล่านี้อาจไม่ฮาลาล (อนุญาต) เพราะปศุสัตว์ทั้งหลายที่เลี้ยงในฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเหล่านี้ เช่น วัว แกะ ไก่ และสัตว์อื่น ๆ อาจได้รับอาหารจากชิ้นส่วนหรือกระดูกบดจากสุกร ไก่ และวัว รวมทั้งมูลไก่ และของเสียอื่น ๆ ที่น่ารังเกียจมาใช้เป็นส่วนประกอบที่อยู่ในอาหารสัตว์ ซึ่งนักวิชาการมุสลิมบางท่านเชื่อว่าการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ผ่านการเลี้ยงดูด้วยอาหารชนิดนี้นั้นหะรอม (ต้องห้าม) ด้วยเหตุผลสองประการ:

1. สัตว์เหล่านี้ได้บริโภคชิ้นส่วนจากสุกร
2. สัตว์เหล่านี้อาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นสัตว์กินเนื้อ (และชิ้นส่วนจากสัตว์) ซึ่งสัตว์กินเนื้อโดยทั่วไปนั้นถือว่าต้องห้ามสำหรับการบริโภคในศาสนาอิสลาม

:: สิ่งแวดล้อม ::
ชาวมุสลิมนั้นได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบและดูแลสิ่งแวดล้อม อัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า

“แท้จริงเราได้เสนอ[คุณลักษณะแห่ง]ความซื่อสัตย์ (อะมานะฮฺ) ให้แก่ฟากฟ้า แก่แผ่นดิน และแก่ภูเขา [ให้รับผิดชอบ] แต่พวกมันปฏิเสธที่จะรับผิดชอบสิ่งนั้น และพวกมันมีความหวาดกลัว[ภาระอันหนักอึ้ง]ต่อสิ่งนั้น แต่มนุษย์กลับรับมันไว้” (อัล อะหฺซาบ 33:72)

ซึ่งการบริโภคผลิตภัณฑ์จากฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารโดยตรงจะนำไปสู่การทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ทำให้ดินเสื่อมโทรม การใช้ทรัพยากรน้ำปริมาณมหาศาล สร้างมลพิษทั้งในดินและในน้ำจากน้ำทิ้งที่เป็นสิ่งปฏิกูล ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของการทำฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มเติมได้

:: สุขภาพ ::
ชาวมุสลิมนั้นได้รับการส่งเสริมให้รับประทานอาหารที่ดี บริสุทธิ์ และมีประโยชน์ แต่ตอนนี้เราทราบแล้วว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์นั้นสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย ผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจถึง 10 เท่า เสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และเสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน ไส้ติ่งอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน และโรคอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ ในผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์พบสารกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีชนิดอื่น ๆ ที่ตกค้างมากถึง 14 เท่า หากเทียบกับที่พบในอาหารที่ได้จากพืช ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพจากการรับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์เพิ่มเติมได้


:: อิสลามไม่ได้กำหนดการรับประทานเนื้อสัตว์เป็นข้อบังคับ ::
“จงกล่าวเถิด[มุฮัมมัด]ว่า ฉันไม่พบเลยในบทบัญญัติที่ฉันได้รับการดล[จากอัลลอฮฺ]ว่ามีสิ่งที่ถูกห้ามแก่ผู้ต้องการบริโภคจะพึงบริโภคสิ่งนั้น นอกจากที่ห้ามบริโภค” (อัล อันอาม 6:145)

อัลกุรอานกล่าวว่า เฉพาะเนื้อสัตว์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถบริโภคได้หากท่านประสงค์ที่จะบริโภคมัน ในคำสอนอิสลามไม่ได้กำหนดการรับประทานเนื้อสัตว์ว่าเป็นข้อบังคับสำหรับชาวมุสลิม ซึ่งการบริโภคเนื้อสัตว์ประเภทนี้นั้นไม่ได้รับการส่งเสริมหรือได้รับการแนะนำเป็นพิเศษ

ขณะที่การเลี้ยงสัตว์ตามระบบอุตสาหกรรมอาหารสมัยใหม่ไม่สอดคล้องกับคำสอนในเรื่องเมตตาธรรมของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม และไม่สอดคล้องกับสถานะของสัตว์ที่ได้รับการอธิบายไว้ในอัลกุรอาน การปรับใช้พฤติกรรมการบริโภคแบบมังสวิรัติ (อาหารปลอดจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม และไข่) บ้างตามโอกาสเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับชาวมุสลิมในการดำรงชีพตามหลักจริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของศาสนาอิสลาม

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: animalsinislam.com

อาหารเกษตรอินทรีย์ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่?

อาหารเกษตรอินทรีย์ (Organic Food)

การทำเกษตรอินทรีย์และผลผลิตที่ปลูกในท้องถิ่น แทนที่จะใช้สารกำจัดศัตรูพืชหรือปุ๋ยสังเคราะห์ เกษตรกรอินทรีย์ต้องพึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพในการทำเกษตรกรรมเพื่อลดที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรูพืช เกษตรกรอินทรีย์ยังตั้งใจรักษาและเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ของดิน

ในการอภิปรายอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเกษตรอินทรีย์ วิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน (London School of Hygiene and Tropical Medicine) ได้ยื่นคำค้านพร้อมอธิบายว่า อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้มีประโยชน์ทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารปกติธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของการศึกษานี้ก่อให้เกิดคำถามมากมาย และลักษณะของสื่อที่รายงานประเด็นนี้กลับขาดความถูกต้อง


มาลองศึกษาร่วมกัน
จากการศึกษานี้ มีการอ้างว่าอาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้มีประโยชน์ทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารที่ไม่ได้เป็นเกษตรอินทรีย์ นักวิจัยได้ค้นหาเอกสารกว่า 50,000 ฉบับ และได้ค้นพบบทความทั้งหมดกว่า 162 เรื่องที่เกี่ยวข้อง (บทความที่เผยแพร่ในช่วงระยะเวลา 50 ปี ก่อนปีค.ศ. 2008)

นอกจากนี้ พบว่ามีเพียง 55 ฉบับเท่านั้นที่มีคุณภาพที่น่าพอใจและสามารถใช้เปรียบเทียบปริมาณสารอาหารของอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และอาหารที่ผลิตแบบปกติธรรมดาทั่วไป (London School of Hygiene and Tropical Medicine)

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ได้ตัดเอกสารและงานวิจัยจำนวนมากออก แม้องค์กรอื่น ๆ อาจมองว่าเอกสารเหล่านั้นถูกต้องใช้ได้ก็ตาม ยิ่งกว่านี้ การศึกนี้ยังตัดเอกสารงานวิจัยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณค่าสารอาหารของอาหารเกษตรอินทรีย์โดยตรงอีกด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในการคัดสรรเอกสารเพียง 55 ฉบับจากกว่า 50,000 ฉบับ เป็นที่ประจักษ์เมื่อพิจารณาว่านักวิจัยคนอื่น ๆ ได้ใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการสนับสนุนข้ออ้างว่าอาหารเกษตรอินทรีย์นั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า

ในตอนท้ายรายงานฉบับนี้ระบุว่า “การศึกษาตรวจสอบของเราชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานใด ๆ มาสนับสนุนการคัดสรรอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์จะมีคุณค่าทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารที่ผลิตแบบปกติทั่วไป” และ “แม้ว่าความต้องการของผู้บริโภคต่ออาหารเกษตรอินทรีย์จะมีเพิ่มขึ้น ถึงกระนั้น ข้อมูลจากการทบทวนคุณภาพทางโภชนาการอย่างเป็นระบบต่ออาหารเกษตรอินทรีย์ก็ยังมีไม่เพียงพอ” (American Journal of Clinical Nutrition)

อย่างไรก็ตาม การรายงานข่าวในหัวข้อนี้ได้แปลผลลัพธ์ทางโภชนาการไม่ถูกต้องด้วยการตั้งข้อสรุปเพียงว่า “อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการหรือมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากไปกว่าอาหารปกติธรรมดา” และ “ผลลัพธ์จากการศึกษาพบว่า ความแตกต่างทางด้านโภชนาการระหว่างอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และที่ผลิตแบบปกติทั่วไปมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพจากการรับประทานอาหารเกษตรอินทรีย์” (Reuters, The Daily Mail)

น่าเสียดายที่ผู้สื่อข่าวหลายท่านไม่ชำนาญในการรายงานข้อมูลเวชศาสตร์ทางการแพทย์หรือข้อมูลเชิงสุขภาพ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า “ปริมาณสารอาหารทางโภชนาการ” กับ “ประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ” แต่กลับแปลสรุปประหนึ่งว่าทั้งสองคำนี้นั้นมีความหมายเดียวกัน

ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการรายงานที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ถึงความแตกต่างในระดับพื้นฐานที่สุดและสามารถมองได้อย่างสมเหตุสมผลที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณออกกำลังกายเป็นประจำนั้น การออกกำลังกายจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพของคุณ ขณะเดียวกันการออกกำลังกายก็ไม่มีปริมาณสารอาหารทางโภชนาการใด ๆ เลย

อาหารเกษตรอินทรีย์มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าจริงหรือ?
แม้ว่าข้อเท็จจริงจากการรายงานข่าวนั้นอาจไม่ถูกต้องและแทบจะคลาดเคลื่อนอย่างมากหากมองไปยังผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษา ในอุตสาหกรรมอาหารเกษตรอินทรีย์นั้นไม่เคยอ้างว่าผู้บริโภคควรซื้ออาหารเกษตรอินทรีย์ด้วยเหตุผลทางคุณค่าโภชนาการเพียงอย่างเดียว

ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นอกเหนือจากรายการปริมาณสารอาหารที่กล่าวไว้ในการศึกษา การศึกษาเองก็ระบุชัดเจนว่า “การศึกษาวิเคราะห์นี้จำกัดเพียงกรอบการรายงานที่พบได้ทั่วไปที่สุดของปริมาณสารอาหาร” (American Journal of Clinical Nutrition)

ขณะที่สารพฤกษเคมี (Phytochemicals) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา และส่วนผสมเหล่านี้นั้นกลับอยู่ในอาหารเกษตรอินทรีย์และไม่ได้อยู่ในรายการปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้แต่ละคนได้รับในแต่ละวัน (RDI) ซึ่งมันเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดประโยชน์ต่อสุขภาพที่มีของอาหาร

แม้ว่าสารพฤกษเคมี หรือ ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) จะไม่ได้อยู่ในรายการหลักของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้แต่ละคนได้รับในแต่ละวัน (RDI) แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสารอาหารเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญต่อร่างกายน้อยไปกว่าวิตามินซี วิตามินเอ หรือวิตามินอี สารพฤกษเคมีส่วนใหญ่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของระบบการป้องกันตัวเองของพืช นอกจากนี้ คุณสามารถพบสารเหล่านี้ในปริมาณที่สูงขึ้นในผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ เพราะพืชจะพึ่งพาการป้องกันตัวเองมากกว่าในกรณีที่ไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นปกติ

นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบระดับที่สูงขึ้นของไลโคปีน (lycopene) ในมะเขือเทศอินทรีย์ โพลีฟีนอล (polyphenols) ในมันฝรั่งอินทรีย์ ฟลาโวนอล (flavonols) ในแอปเปิ้ลอินทรีย์ และเรสเวอราทรอล (resveratrol) ในองุ่นอินทรีย์ การวิเคราะห์ทบทวนเรื่องนี้สามารถพิจารณาได้ว่าผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีไฟโตนิวเทรียนท์ (phytonutrients) สูงกว่าพืชแบบปกติทั่วไปถึง 10 – 50% (Heaton)

นอกจากนี้ ผลไม้และผักที่ปลูกแบบอินทรีย์จะมีระดับสารต้านอนุมูลอิสระในการต่อสู้กับมะเร็งสูงกว่าอาหารที่ปลูกแบบปกติทั่วไป การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า สารกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีกำจัดวัชพืชได้เข้าไปขัดขวางการผลิตสารฟีนอลิก (phenolics) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่ป้องกันตัวเองตามธรรมชาติของพืช และสารนี้ก็สามารถทำหน้าที่และมีบทบาทต่อมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน

ในทางกลับกัน ปุ๋ยไม่เพียงแต่ช่วยลดสารฟีนอลิกที่สามารถช่วยป้องกันตัวเองในพืชและในร่างกายเท่านั้น แต่มันยังเพิ่มระดับของสารก่อมะเร็งที่โจมตีร่างกายอีกด้วย

ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) เป็นสารประกอบฟีนอลิกในทางพฤกษศาสตร์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมนุษย์ สารฟลาโวนอยด์เหล่านี้รวมทั้งสารประกอบฟีนอลิกอื่น ๆ จะถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเครียดจากสิ่งแวดล้อม ความเครียดนี้อาจรวมถึงการโจมตีของแมลงหรือการโจมตีของพืชชนิดต่าง ๆ ยิ่งจากนี้ ฟลาโวนอยด์ยังช่วยปกป้องพืชจากรังสียูวี เชื้อรา และแบคทีเรียอีกด้วย

ดร. อลิสัน มิทเชล นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้อธิบายกระบวนการนี้ว่า “ขณะที่เพลี้ยอ่อนกำลังแทะใบ พืชจะผลิตสารฟีนอลิกเพื่อป้องกันตัวเอง สารฟีนอลิกนี้จะช่วยปกป้องพืชจากศัตรูพืชเหล่านี้” (Byrum)

พืชผักที่ถูกแมลงกัดแทะจะผลิตฟลาโวนอยด์ได้มากกว่าพืชผักที่ผ่านการฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพราะจากสภาพแวดล้อมที่ถูกกัดแทะของแมลง ตัวพืชจะถูกบังคับให้สร้างกลไก “การควบคุมสัตว์รบกวน” ภายใน แทนที่จะอาศัยความช่วยเหลือภายนอกอย่างการใช้สารเคมี (Denoon)

อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้เป็นเรื่องของคุณค่าทางสารอาหารเพียงเท่านั้น
ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการทำเกษตรกรรมอินทรีย์สนับสนุนหลักการตามมาตรฐานของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมซึ่งมีกฎไว้ว่า:
– ห้ามใช้พันธุวิศวกรรม รังสีไอออไนซ์ และกากตะกอนน้ำทิ้ง
– สัตว์ที่เลี้ยงแบบเกษตรอินทรีย์จะต้องไม่ฉีดฮอร์โมนส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือรับยาปฏิชีวนะ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
– สัตว์ที่เลี้ยงแบบเกษตรอินทรีย์ทุกตัวจะต้องออกไปบริเวณพื้นที่กลางแจ้งได้ รวมทั้งการเข้าถึงทุ่งหญ้าสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง สัตว์เลี้ยงเหล่านี้อาจถูกจำกัดพื้นที่ชั่วคราวด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ด้านความปลอดภัย หรืออยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิตสัตว์ หรือเพื่อปกป้องคุณภาพดินหรือน้ำ
– ห้ามไม่ให้ผู้ผลิตระงับการรักษาสัตว์ที่ป่วยหรือสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม สัตว์ที่ได้รับยาต้องห้ามจะต้องไม่นำไปจำหน่าย (EPA)

*** อาหารเกษตรอินทรีย์เป็นอาหารที่ผลิตโดยวิธีการที่สอดคล้องกับมาตรฐานของการทำเกษตรกรรมอินทรีย์ มาตรฐานนั้นอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ ถึงกระนั้น การทำเกษตรอินทรีย์ในลักษณะทั่วไปจะให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน ส่งเสริมความสมดุลทางนิเวศวิทยา และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

มาตรฐานเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารของพวกเขาไม่มีสารเคมีตกค้างที่อาจนำไปสู่มะเร็ง หรือไม่มีฮอร์โมนตกค้างซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น การเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควรของผู้บริโภค หรือยาปฏิชีวนะตกค้างที่อาจทำให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะ เนื่องจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินไปในสัตว์ (National Cancer Institute, Sierra Club, Sellman)

มาตรฐานเหล่านี้ยังเน้นย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ว่า คุณสมบัติของการทำเกษตรอินทรีย์แทบจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางโภชนาการ ในความเป็นจริง เกษตรกรอินทรีย์ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลด้านโภชนาการในผลิตภัณฑ์ของตนเพื่อให้ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เกษตรกรอินทรีย์เพียงแต่ต้องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ของตนไม่มีสารกำจัดศัตรูพืชที่เป็นอันตรายและมีกระบวนการเลี้ยงดูสัตว์ของตนอย่างดี นอกจากนี้ พวกเขายังต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่นำสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือป่วยมาจำหน่าย รวมถึงข้อกำหนดอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน

ชาวมุสลิมควรเข้าใจว่ามาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้เรามั่นใจดังที่ท่านศาสนทูตของเรา (ขอความสันติจงประสบแด่ท่าน) มักพูดถึงการดูแลร่างกายตัวเอง การมีเมตตาต่อสัตว์ และอนุรักษ์โลกใบนี้ นอกจากนี้ ท่านนบียังให้คำแนะนำในเรื่องของชีวิตดังหะดีษที่กล่าวว่า “ไม่มีความเสียหายใด ๆ (คือไม่อนุญาตให้ก่อความเสียหายใด ๆ) แก่ผู้อื่น และจะไม่มีความเสียหายซึ่งกันและกัน” (Al-Hakim)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
โดย ดร. คาริมา เบิร์นส์

เทรนด์การท่องเที่ยวฮาลาลยอดนิยมในปี2019

การท่องเที่ยวฮาลาลเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก นักท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลกต่างกระหายในประสบการณ์การเดินทางและนี่คือแรงผลักดันของปรากฎการณ์การเติบโตของภาคส่วนนี้ ตามรายงานของ State of the Islamic Economy Report 2018/2019 มุสลิมที่ใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวจะเติบโตเป็น 274 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เพิ่มขึ้นจาก 177 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2017 ดังนั้นอนาคตจึงสดใสสำหรับแบรนด์และธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของตลาดนี้ ในปี 2019 จำนวนนักท่องเที่ยวมุสลิมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้มีความต้องการสินค้าและบริการใหม่ ๆ นี่คือบางส่วนของเทรนด์ชั้นนำที่จะครองตลาดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฮาลาลในปี 2019 และปีหลังจากนั้น

#เทรนด์สตรีมุสลิมคนเดียวก็เที่ยวได้
นักท่องเที่ยวหญิงเดี่ยวเป็นเทรนด์กระแสหลักที่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนักท่องเที่ยวหญิงเดี่ยวมุสลิมเพิ่มขึ้นอย่างมาก สตรีมุสลิมกำลังเสาะแสวงหาการเดินทางที่อิสระเสรีด้วยเหตุผลหลายประการ พวกเขามีการศึกษาที่ดี มีรายได้ให้จับจ่าย และมักจะแต่งงานช้า ทำให้พวกเขามีเวลาในการออกเดินทางผจญภัยที่น่าสนุกสนานทั่วโลก สตรีมุสลิมรุ่นมิลเลนเนียล (Gen-Me) เหล่านี้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ทั้งในฐานะมุสลิมและในฐานะผู้หญิงที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร ดังนั้นการเดินทางคนเดียวไม่ได้ทำให้พวกเขากลัวเช่นเดียวกับคนในรุ่นก่อน ๆ

ปัจจัยดังกล่าวนี้นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มเพิ่มมากขึ้น ด้วยกับกลุ่มแพ็คเกจสำหรับสตรีมุสลิมได้เกิดขึ้นมาใหม่ บางครั้งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกผลิตและเปิดให้บริการโดยสตรีมุสลิมที่มีความมั่นใจและต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นในแพ็คเกจดังกล่าว และด้วยกับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยและการจัดการท่องเที่ยวผจญภัยแบบคนเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้ ในปี 2019 เราได้เห็นสตรีมุสลิมจำนวนมากได้ก้าวออกมาเดินทางไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแบบกลุ่มหรือแบบเดี่ยว นอกจากนี้เทคโนโลยีกระแสหลักยังช่วยให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยบนท้องถนน พวกเขายังมีช่องทางเลือกใช้โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อติดต่อกับครอบครัว ตลอดจนบริการ app sharing services ที่สามารถให้บริการการจองพาหนะในการเดินทางและที่พักที่สะดวก ปลอดภัย และสามารถติดตามได้

#สู่ยุคดิจิทัล
เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากในการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในส่วนที่สำคัญที่สุดของการเดินทางของมุสลิม นั่นคือการแสวงบุญที่นครมักกะห์ หรือการทำฮัจย์ เพิ่งมีการประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าตัวแทนให้บริการการท่องเที่ยวออนไลน์ Agoda ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกระทรวงกิจการฮัจย์เพื่อให้บริการดิจิทัลโซลูชั่นและทางเลือกที่พักเพิ่มเติมสำหรับมุสลิมที่เดินทางไปยังซาอุดิอาระเบียเพื่อแสวงบุญ นี่คือการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นจากผู้ให้บริการหลัก Agoda ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนให้บริการการท่องเที่ยวออนไลน์ (OTAs) ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด นอกจากนี้ด้วยวีซ่าท่องเที่ยวใหม่ที่จะเปิดตัวในประเทศซาอุดิอาระเบีย ในไม่ช้านี้นักท่องเที่ยวมุสลิมจะสามารถเดินทางไปสำรวจประเทศอื่นๆ ได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

ด้วยความมุมานะแห่งโอกาสและในการเคลื่อนไหวที่หวังว่าจะส่งเสริมการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและการเปิดกว้างในตลาดฮัจย์ สายการบินราคาประหยัดของซาอุดิอาระเบีย Flynas ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับกระทรวงกิจการฮัจย์ของซาอุดิอาระเบียเพื่อจัดสรรงบประมาณแพ็คเกจฮัจย์ที่สามารถจองออนไลน์ได้ แพ็คเกจราคาถูกเหล่านี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวแสวงบุญทางศาสนาจำนวนมากจากทั่วโลก

ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพลังให้กับพื้นที่ดิจิทัลการท่องเที่ยวฮาลาลและยังมอบความยืดหยุ่นในการค้นหาและจับจองการบริการให้เหมาะสมกับตนเอง แทนที่จะซื้อแพ็คเกจที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เนื่องจากราคาเป็นสิ่งสำคัญแม้ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฮาลาลซึ่งจะนำเราไปสู่เทรนด์สำคัญในปี 2019 …

#การแข่งขันด้านราคา
ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อทริปท่องเที่ยวโดยทั่วไป แต่ยังไม่ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในตลาดการท่องเที่ยวฮาลาลที่ราคาและคุณภาพมักจะไม่สมเหตุสมผลกัน

มุสลิมรุ่นมิลเลนเนียล (Gen-Me) มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โดยมีข้อมูลและตัวเลือกมากมายให้เลือกใช้บริการออนไลน์ การแข่งขันด้านราคาจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจับจองทริปการเดินทางครั้งต่อไป ตามรายงานของ The Mastercard-Crescentrating Digital Muslim ประมาณการมูลค่าการซื้อทริปท่องเที่ยวออนไลน์จะเพิ่มขึ้นจาก 45 พันล้านดอลลาร์ในปี 2017 เป็น 180 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026

การเสนอแพ็คเกจที่มีคุณภาพ เช่น เที่ยวบิน ที่พัก และการบริการอาหารฮาลาลในราคาที่เหมาะสมซึ่งตรงตามความต้องการกับการให้บริการในกระแสหลักจะเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต

#นักท่องเที่ยวมุสลิมผลักดันความสนใจในการท่องเที่ยวฮาลาล
การพัฒนาที่น่าสนใจในสนามการท่องเที่ยวฮาลาลที่ MuslimTravelGirl.com ได้ระบุไว้คือนักท่องเที่ยวมุสลิมกำลังสำรวจความนิยมของจุดแวะชมหรือสถานที่ท่องเที่ยวในกระแส “Instagram-worthy” ซึ่งสถานที่นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นมิตรกับมุสลิม
ประเด็นนี้ได้สร้างปัจจัยที่แปลกใหม่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยมีผลให้ผู้ให้บริการตามสถานที่ท่องเที่ยวและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ความใส่ใจนักท่องเที่ยวมุสลิมอย่างจริงจังมากขึ้น และพิจารณาว่าจะตอบสนองความต้องการของพวกเขาให้ดีที่สุดได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวมุสลิมที่ไปยังเกาะกรีกจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการได้ไวน์แดงหนึ่งขวดเป็นของขวัญในการต้อนรับ สิ่งนี้ทำให้โรงแรมไม่เพียงแต่พิจารณาตัวเลือกของขวัญที่ไม่มีแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ยังเปิดให้มีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ฮาลาลและเป็นมิตรซึ่งอำนวยความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยวมุสลิมมากยิ่งขึ้น

นี่คือตัวอย่างที่ดีที่นักท่องเที่ยวมุสลิมสามารถมีส่วนในการขับเคลื่อนผลักดันอุปสงค์สำหรับการให้บริการที่ดีกว่า เพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขาในการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวกระแสหลักที่ได้รับความนิยม เมื่อเทคโนโลยี และโซเชียลมีเดียแอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ ปรากฏขึ้น นักท่องเที่ยวมุสลิมจะสามารถสื่อสารกับที่หมายปลายทางและผู้ให้บริการหลักได้ง่ายขึ้น และบทบาทสำคัญในการให้ความรู้แก่พวกเขาเกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยวฮาลาล

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก HALAL TOURISM โดย ELENA NIKOLOVA

เราะมะฎอน เดือนแห่งการฝึกฝนควบคุมตนเอง

เดือนเราะมะฎอนมิได้มีเป้าหมายเพียงแค่ควบคุมการบริโภคเท่านั้น แต่เป้าหมายของเดือนเราะมะฎอน คือการบรรลุถึง “ตักวา” หรือที่เรียกว่า (god consciousness) หมายถึง การสำนึกถึงการเฝ้ามองจากผู้ทรงสร้าง ซึ่งเป็นการเพียงพอแล้วที่เราจะกระทำในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงพอพระทัยอย่างกระตือรือร้นและนั่นคือสิ่งที่ดีงามและเราจะต้องละเว้นจากสิ่งที่ทำให้พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยและนั่นคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง …

ถ้าบางคนที่ออกจากเดือนเราะมะฏอนเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เขาเข้าเดือนนี้ ดังนั้นบางทีพวกเขาอาจพลาดเรื่องนี้ไป เราขอต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา ให้พระองค์ทรงชี้แนะแนวทางและแสดงให้พวกเขาเห็นถึงแนวทางอันบริสุทธิ์ที่สุดที่จะก่อเกิดขึ้นในชีวิตนี้ตลอดจนทำให้พวกเขารับผลตอบแทนในโลกหน้า

ฉันตั้งข้อสังเกตประการหนึ่งคือว่า ท่านอาจจะสรุปคร่าว ๆ กับเพื่อนที่เป็นมุสลิมเพียงไม่กี่คนที่ท่านรู้จัก แต่ท่านสามารถกล่าวด้วยความแน่ใจได้หรือไม่ว่ามีมุสลิมนับแสนหรือนับล้านคนไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากเดือนเราะมะฏอนไม่ว่าจะเป็นทางจิตวิญญาณ ร่างกาย สติปัญญาตลอดจนในทางสังคม? ในเรื่องนี้คือเราไม่มีข้อมูลที่แม่นยำพอที่จะสรุปออกมาได้

ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม อัลลอฮ ตะอาลา จะทรงชี้แนะและให้ความรู้กับผู้คน ซึ่งมันขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามหรือละเลยในเรื่องนี้

อันที่จริงแล้ว ฉันถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่ได้รับประโยชน์อย่างมากจากเดือนเราะมะฎอน ซึ่งมีการปรับปรุงอุปนิสัยที่ดีขึ้น ละทิ้งในสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษพร้อมทั้งถือศีลอดต่ออีก 6 วันในเดือนเชาวาล ดังที่ท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) กล่าวว่า “ใครก็ตามที่ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนจากนั้นตามด้วยอีก 6 วันในเดือนเชาวาลเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนเสมือนกับว่าเขาถือศีลอดตลอดทั้งปี (รายงานโดยอิหม่าม มุสลิม)”

ดังนั้น เรื่องนี้เราไม่สามารถกล่าวสรุปแบบคร่าว ๆ กับตัวอย่างหนึ่งที่ไม่อาจนำเอามาเป็นแบบอย่างได้ แต่เราจะต้องหาข้อมูลอย่างดีพอเพื่อหาข้อสรุปที่ดี่ที่สุดสำหรับเรื่องนี้

สำหรับคนอีกจำนวนมากทั่วโลก เราะมะฎอนจะยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งการยกระดับจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่แค่เรื่องอาหารเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น (กับมนุษย์ด้วยกัน) กับการมีสำนึกถึงการเผ้ามองจากผู้ทรงสร้าง (ตักวา)

เราะมะฎอนที่ผ่านมาตอนที่ฉันตัดสินใจที่จะใส่ผ้าคลุม (ฮิญาบ) หลังจากได้ศึกษาการอธิบายในอัลกุรอาน และฉันยังคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่แห่งการตัดสินใจนี้ในชีวิตของฉันจนถึงปัจจุบัน

มันเป็นเดือนเราะมะฎอนที่ฉันได้เฝ้าวิงวอนขอเพื่อที่จะนำพาสาส์แห่งอิสลามอย่างดีที่สุด โดยฉันขอให้เป็นผู้แสวงหาอย่างบริสุทธิ์ใจและฉันยังคงเก็บเกี่ยวภาคผลจากการวิงวอนของฉันจนถึงปัจจุบัน

เราะมะฏอน 2 ปีที่ผ่านมาเมื่อเพื่อนอันเป็นที่รักยิ่งของฉันคนหนึ่งเข้ารับอิสลามและผลลัพธ์ของการตัดสินใจครั้งนี้กับชีวิตของเธอมันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากมาก ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเธอมีความผ่อนคลาย และมีความสุขในการใช้ชีวิต

ดังนั้นเดือนเราะมะฎอนคือการเปลี่ยนแปลงชีวิต มันเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราได้รับจากผู้ทรงสร้างอย่างแท้จริงและนี่เป็นเรื่องราวที่ฉันกล่าวออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เมื่อชีวิตดำเนินตามไปคำบัญชาของผู้ทรงสร้าง มันจึงเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อนในชีวิต

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net โดย Dina Mohamed Basiony

ผู้ชายกับเครื่องสำอาง

อะไรคือกฏเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางของผู้ชาย เช่น การทาครีมเพื่อให้ผิวสวย (ทำให้ผิวขาวขึ้น) เรื่องนี้อนุมัติให้ทำได้หรือไม่ เพราะการใช้เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายเป็นที่แพร่หลายกันมากในภูมิภาคของเรา

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ กฏเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอาง เช่น ครีมต่าง ๆ หรือเครื่องสำอางหลาย ๆ รูปแบบสามารถอธิบายได้ดังนี้

ประการแรก ในกรณีที่ใช้โดยมีจุดประสงค์เพื่อความงามหรือเป็นการตบแต่งนั้นไม่เหมาะสมสำหรับผู้ชายที่จะทำเช่นนั้น เพราะการเสริมสวยเป็นเรื่องของผู้หญิงต่างหาก สิ่งที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายคือเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความเป็นชาย เช่น การมีผิวที่กระด้าง การมีลักษณะของความเป็นหญิงเป็นสิ่งไม่เหมาะสมสำหรับเขา

ประการที่สอง สิ่งใดก็ตามที่เป็นการประดับประดาหรือเสริมสวยสำหรับผู้หญิงเป็นการเฉพาะ เช่น ลิปสติก ยาทาเล็บ ไม่อนุญาตที่จะให้ผู้ชายนำมาใช้กับตัวเอง เพราะการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการลอกเลียนแบบผู้หญิง ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นบาปใหญ่

ประการที่สาม หากมีการใช้บางอย่างที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสิผิว จากดำให้ขาวขึ้นเป็นต้น หากเป็นการเปลี่ยนเพียงชั่วคราวก็ถือว่าไม่ผิดแต่ประการใด แต่หากเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถาวร การกระทำนี้ไม่เป็นที่อนุญาต เพราะมันจะอยู่ภายใต้หัวข้อการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ

จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าการใช้เครื่องสำอางนั้นไม่เหมาะสมสำหรับผู้ชายตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น

ประการที่สี่ ไม่เป็นความผิดแต่ประการใดในการที่จะใช้เครื่องสำอางเพื่อกำจัดตำหนิ เช่น การใช้ครีมเพื่อลบจุดออกจากใบหน้าเนื่องจากสิ่งนี้อยู่ภายใต้หัวข้อของการรักษาพยาบาล

มีผู้ถามชัยค์ อัลอุษัยมีน (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) ว่า อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับการใช้ครีมเพื่อให้ผิวขาวหรือครีมกำจัดสิวหรือริ้วรอยต่าง ๆ
ท่านตอบว่า ในส่วนของคำถามแรกนั้นถือว่าไม่อนุญาต ท่านไม่ควรใช้สิ่งใด ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสีผิว เพราะถือว่าเสียหายกว่าการสักผิวซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นถูกสาปแช่ง

ในส่วนของการกำจัดสิวนั้น ไม่มีความผิดแต่ประการใดเพราะเป็นการรักษาโรค และไม่ผิดแต่ประการใดในการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างอยู่ระหว่างความตั้งใจที่จะเสริมสวยกับความมุ่งมั่นที่จะกำจัดรอยตำหนิ ส่วนแรกนั้นไม่อนุญาต หากกระทำไปเป็นการถาวร แต่ส่วนที่สองนั้นเป็นที่อนุมัติ (จากฟัตวา นูร อะลา อัดดัรบ์ 22/2)

อีกทั้งต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางที่ทำจากสารไม่บริสุทธิ์ (นญิส) หรือสารเคมีที่เป็นอันตรายซึ่งไม่อนุญาต (หะรอม) ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

.………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.Info