พัฒนาชุดเมนูอาหารหมุนเวียนต้นแบบด้านโภชนการฮาลาลสำหรับโรงเรียน | Cycle of the Halal Menu |

อาหารเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชน การที่เด็กและเยาวชนใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนมากที่สุดรองจากที่บ้านนั้น อาหารในโรงเรียนจึงมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กและการเจริญเติบโต อาหารกลางวันเป็นมื้อที่สำคัญสำหรับเด็กในวัยเรียน เด็กวัยเรียนเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต มีการเรียนรู้ ทำกิจกรรมต่าง ๆ จึงควรได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างเพียงพอ สุขภาพที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อรับประทานอาหารให้ถูกต้องและครบถ้วนทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณที่พอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย [1]

จากผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าตกใจในอีกหลายด้านที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น เด็ก ๆ ในพื้นที่ชายแดนใต้นับเป็นกลุ่มที่มีปัญหาทุพโภชนาการมากที่สุดในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กในระยะยาว ผลสำรวจพบว่า ประมาณร้อยละ 23 ของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กำลังเผชิญกับภาวะเตี้ยแคระแกร็น (มีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์อายุ) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 13 เกือบสองเท่า [2] ส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กในวัยนี้มีโภชนาการที่ดีอย่างเหมาะสมและประกอบด้วยบริบทในพื้นทีเป็นเด็กมุสลิมจำเป็นต้องบริโภคอาหารที่เป็น ฮาลาลจึงได้ด้วยการจัดอาหารที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานฮาลาลโภชนาการ

ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับกลุ่มงานโภชนศาสตร์ โรงพยาบาลเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จึงเล็งเห็นความสำคัญของการจัดการอาหารกลางวันของโรงเรียนโดยพัฒนาชุดเมนูอาหารต้นแบบด้านโภชนการฮาลาลสำหรับโรงเรียน (Cycle of the Halal Menu) จำนวน 20 ชุด จากนั้นได้คำนวณเพื่อหาปริมาณพลังงานและสารอาหารที่จะได้รับโดยใช้โปรแกรม INMUCAL-Nutrients ให้ได้ตามหลักโภชนาการโดยจัดทำออกมาในรูปแบบของ E-book และวีดีโอวิธีการประกอบอาหารเพื่อนำผลที่ได้จากการพัฒนามาปรับใช้ในการปรุงอาหารกลางวันในโรงเรียนให้มีคุณภาพตามหลักมตารฐานฮาลาลและโภชนาการ

Food is the cornerstone to good health, especially for children and youth. Since, after home, children and youth spend most of their time in school, school food is thus important to children’s development and growth. Lunch is an important meal for school-age children. The kids of school-age are growing, learning, and doing various activities. They should get enough energy and nutrients. Good health can be achieved when eating food correctly and completely, both in terms of quality and quantity that is appropriate to the needs of the body. [1]

The survey results also indicate alarming trends in several important areas. For example, children in the southern border region are among the most malnourished in the country. This may have a negative impact on children’s learning and development in the long run. The survey found that approximately 23 percent of children under 5 years of age in Pattani, Yala, and Narathiwat are suffering from stunting (height below the average for their age), which is almost twice as high as the national average of 13 percent. [2] One of the things that helps promote children at this age to have good, appropriate nutrition, with the fact that children in this area are Muslims who consume Halal food, is to provide quality food that meets Halal nutritional standards.

The Halal Science Center, Chulalongkorn University, collaborating with the Nutrition Group, Cho Airong Hospital, Narathiwat Province, see the importance of school lunch and thus develop a set of 20 prototype Halal menus for schools (Cycle of the Halal Menu). Then, the amount of energy and nutrients intake from each menu will be calculated using INMUCAL-Nutrients program. Information about this is presented in the form of an E-book and cooking videos. The development result will be used to prepare school lunches that are good quality according to Halal and nutritional standards.

เขียนและเรียบเรียงโดย ฟัครูดดิน ตาเปาะโต๊ะ
Written and Compiled by Fakrutdin Tapohtoh
คอลัมน์ HALAL PAKTAI จากวารสารฮาลาลอินไซต์ ฉบับที่ 76
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ทาง https://www.halalinsight.org/?r3d=halal-insight-issue-76
#HALALSCIENCE#HALALINSIGHT#CHULALONGKORN_UNIVERSITY

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ในอุตสาหกรรมฮาลาล

อุตสาหกรรมฮาลาลเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าตลาดโลกคาดว่าจะสูงถึง 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 [1] ประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลมีมูลค่าประมาณ 6,114 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ร้อยละ 62 รองลงมา ได้แก่ กลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ แอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา และเอเชียใต้ ทั้งนี้ ประเทศไทยมีผู้ผลิตอาหารฮาลาลกว่า 15,000 บริษัท มีผลิตภัณฑ์และร้านอาหารที่ได้รับตราฮาลาลกว่า 166,000 ผลิตภัณฑ์ โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารฮาลาลอันดับที่ 11 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.7 [2]

อุตสาหกรรม 4.0 คือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ และโดดเด่นด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติขั้นสูงเพื่อสร้างโรงงานผลิตที่ชาญฉลาดและเชื่อมต่อกัน การบูรณาการนี้ช่วยให้สามารถสื่อสารแบบเรียลไทม์ การตรวจสอบระยะไกล และการรวบรวมข้อมูล ทำให้ผู้ผลิตได้รับความก้าวหน้าในด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความคล่องตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยการปฏิวัติครั้งนี้โดดเด่นด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) และหุ่นยนต์เข้าสู่กระบวนการทางอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม 4.0 สร้าง “โรงงานอัจฉริยะ” ที่เป็นอัตโนมัติขั้นสูง ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานอย่างสมบูรณ์ การปฏิวัติครั้งนี้ได้เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานด้านการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก [3]

#การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม4.0ในอุตสาหกรรมฮาลาล

1. การใช้งาน Internet of Things (IoT) เป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรม 4.0 ที่ช่วยให้สามารถติดตามและควบคุมกระบวนการผลิตได้แบบเรียลไทม์ ในอุตสาหกรรมฮาลาล IoT สามารถช่วยติดตามตั้งแต่การเลี้ยงสัตว์จนถึงการผลิตและจัดส่ง ช่วยให้ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างมีมาตรฐานและถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม

2. การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) AI สามารถนำมาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ความต้องการของตลาดเพื่อปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยในการทำนายแนวโน้มตลาดและการจัดการสต็อกสินค้า

3. การใช้งาน Big Data และ Data Analytics การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าใจแนวโน้มตลาด พฤติกรรมการบริโภค และการตอบสนองต่อแคมเปญต่างๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถทำการตลาดและกำหนดกลยุทธ์ที่ตรงจุดมากขึ้น

4. การใช้งานเทคโนโลยี Blockchain โดยเทคโนโลยี Blockchain สามารถนำมาใช้ในการรับรองความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบที่มาและการจัดการผลิตภัณฑ์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ส่งเสริมความไว้วางใจและความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

5. การปรับปรุงความปลอดภัยและการตรวจสอบคุณภาพ นอกจากอุตสาหกรรม 4.0 ในภาคฮาลาลไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมุสลิมทั่วโลก โดยเทคโนโลยีอย่าง AI และ IoT ไม่เพียงแต่เพิ่มความสามารถในการตรวจสอบกระบวนการผลิตในแบบเรียลไทม์เท่านั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ด้วยการนำระบบการตรวจจับและการเฝ้าระวังที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI มาใช้ ผู้ผลิตสามารถตรวจจับสิ่งผิดปกติและป้องกันการปนเปื้อนของผลิตภัณฑ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในทันที การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ยังช่วยให้แน่ใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นผ่านกระบวนการที่เข้มงวดและเป็นไปตามมาตรฐานฮาลาล

6. การเพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งเทคโนโลยี Blockchain เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความโปร่งใสในอุตสาหกรรมฮาลาล ด้วยการใช้เทคโนโลยี Blockchain กับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแต่ละขั้นตอนของการผลิต สามารถถูกบันทึกและตรวจสอบย้อนกลับได้โดยสาธารณะ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบที่มาและกระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ฮาลาลที่พวกเขาบริโภคได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเพิ่มความไว้วางใจและความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคฮาลาลอีกด้วย

7. การเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานอัตโนมัติ โดยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ช่วยให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าโดยอัตโนมัติได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการลดต้นทุนและเวลาในการผลิต และยังช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิตและความแม่นยำในการผลิตสินค้าฮาลาลที่มีคุณภาพสูงด้วย การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ซ้ำซากจำเจในโรงงานช่วยให้สามารถจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ไปทำงานที่ต้องการทักษะและการตัดสินใจที่สูงกว่า [4-8]

การบูรณาการของเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ในอุตสาหกรรมฮาลาล สร้างโอกาสในการพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด ไม่เพียงแต่เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดฮาลาลที่กำลังเติบโตเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างมาตรฐานและความน่าเชื่อถือในระดับโลกอีกด้วย ทั้งหมดนี้ช่วยให้อุตสาหกรรมฮาลาลไม่เพียงแต่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล แต่ยังสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย คุณภาพสูง และผลิตอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย
…………
พิทักษ์ อาดมะเร๊ะ

Ref.
[1] ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานเชียงใหม่, “อุตสาหกรรมฮาลาลโอกาสทางธุรกิจที่ไม่ควรพลาด”. [online]. Available: https://www.facebook.com/photo/?fbid=408018651559106&set=a.232939859066987. [Accessed: 17-April-2024]
[2] รัฐบาลไทย, “รองรัดเกล้าฯ เผย ครม. รับทราบแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล ดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค ร่างแผนปฏิบัติการฯ 5 ปี และตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาล”. [online]. Available: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/79504. [Accessed: 17-April-2024]
[3] Smart Factory, “How Industry 4.0 is Revolutionizing Manufacturing Operations?”. [online]. Available: https://www.smartfactorymom.com/…/how-industry-4-0-is…/. [Accessed: 17-April-2024]
[4] Zaidi, Mohamad Faizal Ahmad. “Propositions on the relationships between technology complexity, industry 4.0, and halal sustainability.” Journal of Engineering and Science Research 4.1 (2020): 52-58.
[5] Kurniawati, Dwi Agustina, et al. “Toward halal supply chain 4.0: MILP model for halal food distribution.” Procedia Computer Science 232 (2024): 1446-1458.
[6] bin Illyas Tan, Mohd Iskandar. “Halal Industry and the Fourth Industrial Revolution (4IR).” Technologies and Trends in the Halal Industry. Routledge 23-38.
[7] Nurshafaaida, Mohamad Rani, et al. “Industrial Revolution 4.0 Halal Supply Chain Management: A Theoretical Framework.” International Journal of Arts Humanities and Social Sciences Studies 5 (2020): 31-36.
[8] Ahyani, Hisam, et al. “THE POTENTIAL OF HALAL FOOD ON THE ECONOMY OF THE COMMUNITY IN THE ERA OF INDUSTRIAL REVOLUTION 4.0.”

อีด อัฎฮา คืออะไร ?

เมื่อสิ้นสุดจากเทศกาลฮัจญ์ (การเดินทางไปแสวงบุญประจำปี ณ นครมักกะฮฺ) ชาวมุสลิมทั่วโลกจะร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลวันหยุด อีด อัฎฮา (เทศกาลแห่งการรำลึกถึงการเสียสละ) เทศกาลรื่นเริงประจำปีของชาวมุสลิมนี้จะตรงกับวันที่ 10 เดือนซุล ฮิจญะฮฺ (ชื่อเดือนที่ 12 ตามปฏิทินจันทรคติของศาสนาอิสลาม) ซึ่งในปีนี้จะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน

:: อีด อัฎฮา เป็นเทศกาลที่รำลึกถึงอะไร ? ::

ในระหว่างประกอบพิธีฮัจญ์ มุสลิมจะต้องรำลึกถึงบททดสอบและชัยชนะของท่านนบีอิบรอฮีม

ในอัลกุรอานได้อธิบายคุณลักษณะของนบีอิบรอฮีมดังนี้

“แท้จริง อิบรอฮีมนั้นเป็นแบบอย่างอันดีเลิศ เป็นผู้ภักดีต่ออัลลอฮฺ เป็นผู้เที่ยงธรรม และเขามิได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี เป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อความโปรดปรานของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกเขา และทรงชี้แนะทางแก่เขาสู่ทางที่เที่ยงตรง” (สูเราะฮฺ อัน นะหลฺ 16:120 – 121)

หนึ่งในบททดสอบครั้งสำคัญของท่านนบีอิบรอฮีมคือการที่ท่านได้รับคำบัญชาจากอัลลอฮฺให้เชือดพลีลูกชายของท่าน (นบีอิสมาอีล) เป็นการถวายให้แก่พระองค์ เมื่อได้ยินคำสั่งเช่นนี้ท่านนบีอิบรอฮีมก็น้อมรับที่จะยอมทำตามคำบัญชาของพระองค์ แต่เมื่อท่านนบีอิบรอฮีมแสดงท่าทีถึงความพร้อมในการเผชิญกับบททดสอบแห่งการเสียสละครั้งนี้ อัลลอฮฺก็ได้ทรงประทานสัญญานแห่งการเปิดเผยแก่ท่านนบีอิบรอฮีมก่อนว่า แท้จริง “การเสียสละ” ของเขาครั้งนี้ได้ประสบผลสำเร็จแล้ว ซึ่งท่านนบีอิบรอฮีมได้แสดงให้เห็นว่าความรักของท่านที่มีต่อผู้เป็นเจ้านั้นอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แม้ว่าท่านจะต้องสละชีวิตของท่านเองหรือคนรักของท่าน ท่านก็พร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อแสดงถึงการยอมจำนนโดยสิ้นเชิงต่อพระผู้เป็นเจ้า

:: ทำไมชาวมุสลิมต้องเชือดสัตว์พลีในวันนี้ ? ::

ในช่วงเทศกาลอีด อัฎฮา ชาวมุสลิมจะทำการรำลึกถึงบททดสอบของท่านนบีอิบรอฮีมด้วยการกุรบาน หมายถึงการเชือดอูฐ วัว (ควาย) แพะ หรือ แกะในวันอีด อัฎฮา และวันตัชรีก (หลังวันอีด อัฎฮา 3 วัน) เพื่อให้ตนนั้นได้ใกล้ชิดต่อผู้เป็นเจ้า

การทำ ‘กุรบาน’ ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่คนไม่ใช่มุสลิมมีความเข้าใจผิดต่อศาสนกิจครั้งนี้อยู่เสมอ

อัลลอฮฺได้ทรงประทานอำนาจและเกียรติแก่มนุษย์เหนือสัตว์ ซึ่งพระองค์ได้อนุญาตให้เราบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อประทังชีวิตได้ แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าสัตว์ที่เรานำไปใช้บริโภคนั้นจะต้องผ่านการกล่าวนามของผู้เป็นเจ้าขณะเชือด โดยพื้นฐานแล้ว ชาวมุสลิมเชือดสัตว์ในลักษณะเดียวกันนี้ตลอดทั้งปี ด้วยการเอ่ยนามของผู้เป็นเจ้า (บิสมิลลาฮฺ อัลลอฮุอักบัร) ขณะทำการเชือด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่คอยย้ำเตือนและให้เรารำลึกถึงความหมายและความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต

เนื้อที่ได้จากกุรบานในวันอีด อัฎฮา ส่วนใหญ่จะถูกนำไปแจกจ่ายให้กับผู้อื่น โดยเนื้อที่ได้จะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนเท่ากัน ส่วนหนึ่งจะแบ่งบริโภคภายในครอบครัวและเครือญาติใกล้ชิด ส่วนที่สองจะแบ่งให้กับเพื่อนฝูงมิตรสหาย ส่วนสุดท้ายจะนำไปแจกจ่ายให้กับคนยากจน การกระทำเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกซึ่งความเต็มใจที่จะมอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่กัน ตามคำบัญชาของผู้เป็นเจ้า อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความเต็มใจที่แสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากปัจจัยที่เรามีเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมิตรภาพและช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส มันเป็นการตระหนักสำนึกถึงความโปรดปรานที่เราได้รับจากผู้เป็นเจ้า และเราควรเปิดใจและแบ่งปันความโปรดปรานที่เราได้รับให้กับคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องเข้าใจว่า ‘การเสียสละ’ ที่ปฏิบัติกันในหมู่ชาวมุสลิมจากการเชือดพลีนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการชดใช้บาปหรือใช้เลือดเพื่อชำระตัวเองจากบาป ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในความเข้าใจผิดที่คนรุ่นก่อนเคยประสบ ดังที่อัลกุรอานได้กล่าวว่า

“เนื้อของมันและเลือดของมันหาได้บรรลุสู่อัลลอฮฺไม่ แต่ที่จะบรรลุถึงพระองค์ก็เพียงความยำเกรงที่มีมาจากพวกเจ้าเท่านั้น เช่นนั้น เราได้อำนวยประโยชน์ของมันแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้สดุดีในความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ เนื่องเพราะพระองค์ได้ทรงชี้นำพวกเจ้า และเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่มวลผู้กระทำความดีเถิด” (สูเราะฮฺ อัล หัจญฺ 22:37)

ความหมายที่อยู่เบื้องหลังการปฏิบัติเหล่านี้นั้นอยู่ที่ทัศนคติ ซึ่งก็คือความประสงค์อย่างเต็มหัวใจของเราที่จะเสียสละและอุทิศชีวิตเพื่อยืนหยัดอยู่บนเส้นทางอันเที่ยงตรง เราทุกคนต่างก็ต้องเสียสละกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นความสนุกหรือความสำคัญสำหรับเรา มุสลิมที่แท้จริงซึ่งเป็นผู้ยอมจำนน ยอมตน และยอมตามอย่างสิ้นเชิงต่อผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ที่เต็มใจน้อมรับที่จะปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์โดยบริบูรณ์ ด้วยหัวใจอันมั่นคง ศรัทธาอันบริสุทธิ์ และการเชื่อฟังด้วยความเต็มใจนั่นเองที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์จากเรา

:: นอกจากนี้แล้ว ชาวมุสลิมมีการปฏิบัติอะไรอื่นในเทศกาลนี้อีกบ้าง ? ::

ในเช้าวันแรกของวันอีด อัฎฮา ชาวมุสลิมทั่วโลกจะเข้าร่วมพิธีละหมาดตอนเช้า ณ บริเวณลานกว้างหรือตามมัสยิดท้องถิ่นของตน หลังจากประกอบพิธีละหมาดเสร็จสิ้นแล้ว ชาวมุสลิมก็จะเดินทางเยี่ยมเยียนครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงเพื่อทำการแลกเปลี่ยนคำอวยพรและของขวัญ บ่อยครั้งที่สมาชิกในครอบครัวจะกลับไปยังหมู่บ้านและจัดเตรียมการเชือดกุรบาน ซึ่งเนื้อสัตว์ที่ได้จากกุรบานจะถูกแจกจ่ายไปยังผู้คนในช่วงเทศกาลหรือไม่นานหลังจากนั้น

…………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี

#อีดอัฎฮา#ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำนักงานปัตตานี

อะไรคือเงื่อนไขของเนื้อกุรบาน (อุฎฮิยะฮฺ) ในหลักการอิสลาม?

:: คำถาม ::

อัสลามุอะลัยกุม ท่านพอจะมีฟัตวา (ข้อชี้ขาดปัญหาศาสนา) ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแนวคิดและเงื่อนไขของการเชือดสัตว์พลีหรือไม่?

:: คำตอบ ::

วะอะลัยกุมมุสสะลาม

เราขอขอบคุณอย่างยิ่งและมีความซาบซึ้งเป็นอย่างมากสำหรับความไว้วางใจที่ท่านได้มอบให้กับเรา เราขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺให้เราบรรลุถึงความคาดหวังเหล่านี้และทำให้เราสามารถปฏิบัติภารกิจของเราที่มีต่อประชาชาติอิสลาม

สำหรับคำถามของท่านเกี่ยวกับการเชือดพลีในอิสลาม (หรือที่เรียกในภาษาอาหรับว่า อุฎฮิยะฮฺ) เราขอย้ำว่า อุฎฮิยะฮฺเป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่งในอิสลาม ในการที่เราจะได้รำลึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวของอัลลอฮฺ ความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อเราและการภักดีของท่านนบีอิบรอฮีม ผู้ซึ่งเป็นบิดาของเราและในการทำอุฎฮิยะฮฺนี้ มีความความดีและความจำเริญอันมากมาย ดังนั้นมุสลิมจะต้องเอาใจใส่ต่อความสำคัญอันยิ่งใหญ่นี้ ต่อไปนี้จะขอสรุปให้เห็นถึงพิธีกรรมที่สำคัญนี้

อุฎฮิยะฮฺเป็นการพาดพิงไปยังสัตว์ (อูฐ วัว ควาย หรือแกะ) ในการเชือดพลี นี่เป็นการทำการอิบาดะฮฺอุทิศเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺเท่านั้น อุฎฮิยะฮฺเกิดขึ้นในประเทศที่ผู้คนทำการเชือดสัตว์พลีอาศัยอยู่ ในช่วงเวลาหลังจากละหมาดอีดในวันนะหฺรฺหรือวันอีด อัฎฮา จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของตัชรีก (วันที่ 13 ของเดือนซุลฮิจญะฮฺ) ด้วยเจตนาของการเชือดสัตว์พลี ดังที่อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า “ดังนั้นเจ้าจงละหมาดเพื่อพระเจ้าของเจ้าและจงเชือดสัตว์พลี” สูเราะฮฺ อัล เกาษัร อายะฮฺที่ 2

พระองค์ทรงตรัสด้วยว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮฺของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น” สูเราะฮฺ อัล อันอาม อายะฮฺ 162

“และสำหรับทุ ๆ ประชาชาติเราได้กำหนดสถานที่ทำพิธีกรรม เพื่อพวกเขาจักได้กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา คือสัตว์สี่เท้า (เช่น อูฐ วัว แพะ แกะ) ฉะนั้นพระเจ้าของพวกเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้นสำหรับพระองค์เท่านั้น พวกเจ้าจงนอบน้อมและจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผุ้จงรักภักดีนอบน้อมถ่อมตนเถิด” สูเราะฮฺ อัล หัจญฺ อายะฮฺที่ 34

อุฎฮิยะฮฺ เป็นซุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺ(ที่เน้นหนัก) ตามทรรศนะของผู้รู้ส่วนใหญ่ ผู้รู้บางคนกล่าวว่ามันเป็นวาญิบ (บังคับ) เสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้จะอภิปรายในรายละเอียดดังต่อไปนี้

หลักการพื้นฐานนั้นจะต้องกระทำตามเวลาที่กำหนดจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในนามของตนเองและสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเขา และเขาอาจรวมรางวัลการตอบแทนแก่ใครก็ได้ตามที่ปรารถนาทั้งยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว

:: เงื่อนไขของอุฎฮิยะฮฺ ::

1. สัตว์จะต้องมีอายุตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งแกะจะต้องมีอายุ 6 เดือน แพะต้องมีอายุ 1 ปี วัวต้องมีอายุ 2 ปี และอูฐต้องมีอายุ 5 ปี

2. สัตว์ต้องสมบูรณ์ไม่มีข้อบกพร่องเนื่องจากท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “4 ประการที่ไม่สามารถทำการเชือดสัตว์พลี สัตว์มีตาเดียวที่มีรอยตำหนิอย่างชัดเจน สัตว์ป่วยที่มีอาการป่วยอย่างชัดเจน สัตว์พิการที่มีความพิการอย่างชัดเจนและสัตว์ที่ผอมแห้งมีแต่กระดูก (ศอฮี้ยฺ อัล ญามิอฺ หมายเลข 886)

ส่วนการมีข้อตำหนิเพียงเล็กน้อยนั้นไม่ทำให้สัตว์ขาดคุณสมบัติ แต่มันเป็นมักรูฮฺ (เป็นที่น่ารังเกียจ) ที่จะทำการเชือดพลีสัตว์ เช่น สัตว์ที่เขาหรือหูนั้นหายไป หรือสัตว์ที่มีรอยถลอกที่หูของมัน อุฎฮิยะฮฺนั้นคือการกระทำของการอิบาดะฮฺเพื่ออัลลอฮฺ และอัลลอฮฺ คือความดีงามที่จะทรงตอบแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น ใครก็ตามที่ให้เกียรติกับศาสนาของอัลลอฮฺ ดังนั้นจะต้องกระทำสิ่งดังกล่าวนี้ด้วยหัวใจที่มีศรัทธาแรงกล้า

3. ห้ามขาย หากว่าสัตว์ตัวหนึ่งถูกเลือกมาเพื่อทำการเชือดพลี ดังนั้นมันจึงไม่อนุมัติให้ขายมันหรือแจกจ่ายมันไปในทางอื่นๆ นอกจากจะมีการแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ดีกว่า หากว่าสัตว์นั้นคลอดลูกออกมา ลูกของมันควรจะถูกเชือดพลีไปพร้อมกับมันด้วย นอกจากนี้ยังอนุญาตที่จะขี่มันหากว่ามีความจำเป็น
หลักฐานสำหรับเรื่องนี้มีรายงานจากอิหม่าม บุคอรียฺและมุสลิมจากอบู ฮุรอยเราะฮฺ รอดิยัลลอฮุ อันฮุ กล่าวว่า ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม เห็นชายคนหนึ่งกำลังขี่อูฐและบอกกับเขาว่า “จงขี่มัน” ท่านกล่าวว่า “มันเป็นสัตว์เพื่อการเชือดพลี” ท่านกล่าวเป็นครั้งที่สองและสามอีกว่า “จงขี่มัน”

4. จะต้องเชือดสัตว์พลีในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งเกิดเริ่มต้นหลังจากการละหมาดและการคุฏบะฮฺของวันอีด ไม่ใช่เริ่มเมื่อตอนละหมาดและคุฏบะฮฺกำลังเริ่มขึ้น จนกระทั่งถึงตะวันตกดินของวันตัชรีกสุดท้าย ซึ่งตรงกับวันที่ 13 ของเดือนซุลฮิจญะฮฺ ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “ใครก็ตามที่ทำการเชือดสัตว์พลีก่อนละหมาด เขาจะต้องทำการเชือดสัตว์พลีอีกครั้ง (เพราะการเชือดสัตว์พลีก่อนละหมาดไม่นับว่าเป็นกุรบ่าน)” (บุคอรีย์และมุสลิม)

ท่าน อาลี บิน อบี ฏอลิบ รอดิยัลลอฮุ อันฮุ กล่าวว่า “วันแห่งนะหฺรฺหรือการเชือดสัตว์พลีนั้นเป็นวันอัฎฮาและสามวันหลังจากนั้น” นี่คือทรรศนะของหะซัน อัล บัศรียฺ อะฏออฺ บิน อบู เราะบาหฺ อัล เอาซาอียฺ อัช ชะฟาอียฺ และอิบนุ อัล มุนซิร รอหิมาฮุมุลลอฮฺ

:: จะต้องทำอะไรบ้างกับการเชือดสัตว์พลี ? ::

1.มันเป็นมุสตะฮับหรือส่งเสริมให้กระทำสำหรับคนที่ทำการเชือดสัตว์พลีที่จะไม่รับประทานสิ่งใดในวันนั้นก่อนที่เขาจะรับประทานมันหากว่าเป็นไปได้ เนื่องจากหะดีษของท่านนบี กล่าวว่า “แต่ละคนจะต้องรับประทานจากการเชือดพลีของเขา” (ศอฮี้ยฺ อัล ญามิอฺ 5349) การรับประทานสิ่งนี้จะต้องหลังจากละหมาดและคุฏบะฮฺอีดแล้ว นี่คือความเห็นของบรรดาผู้รู้ รวมไปถึง ท่านอลี บิน อบี ฏอลิบ อิบนุ อับบาส อิหม่าม มาลิก อิหม่าม อัช-ชะฟีอียฺและคนอื่น ๆ หลักฐานสำหรับเรื่องนี้คือหะดีษของบุรอยเฎาะฮฺ รดิยัลลอฮุ อันฮุ “ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม จะไม่ออกไปในวันอีดฟิตรีจนกว่าท่านจะรับประทาน และท่านจะไม่กินในวันอีดอัฎฮาจนกว่าท่านจะทำการเชือดสัตว์พลี” (อัล บานียฺ กล่าวว่า สายรางานของมันนั้นศอฮี้ยฺ อัล มิชกาต 1/452)

2. จะเป็นการดีกว่าการที่บุคคลหนึ่งทำการเชือดสัตว์พลีด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากว่าเขาไม่เชือด สมควรอย่างยิ่งที่เขาจะต้องปรากกฏตัวขณะที่มีการเชือด

3. ส่งเสริมที่จะให้แบ่งเนื้อออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกสำหรับการบริโภคเอง ส่วนที่สองสำหรับการแจกจ่ายเป็นของขวัญ และอีกส่วนเป็นการแจกจ่ายในการบริจาค นี่คือทรรศนะของอิบนุ มัสอูดและอิบนุ อุมัร รอดิยัลลอฮุ อันฮุมา บรรดาผู้รู้ต่างเห็นพ้องต้องกันว่ามันไม่เป็นที่อนุญาตที่จะขายเนื้อ ไขมันหรือหนังของมัน

ในหะดีษ ศอฮี้ยฺ ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “ใครก็ตามที่ขายหนังของเนื้อสัตว์เชือดพลี นั้นจะไม่นับว่าเป็นการเชือดพลีสำหรับเขา” ศอฮี้ยฺ อัล ญามิอฺ 6118

จะต้องไม่มอบส่วนใดเป็นค่าตอบแทนแก่คนเชือดหรือชำแหละเนื้อ เนื่องจาก ท่านอบี บิน อบี ฏอลิบ รอดิยัลลอฮุ อันฮุ กล่าวว่า “ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม สั่งให้ฉันเอาใจใส่กับการเชือดสัตว์พลีและแจกจ่ายเนื้อและหนังของมันในการบริจาค และจะต้องไม่ให้ (เนื้อกุรบ่าน) ส่วนใดก็ตามกับคนฆ่าหรือและชำแหละเนื้อเป็นค่าตอบแทน” ท่านกล่าวว่า “แต่เราจะให้อย่างอื่นจากสิ่งที่เรามี” (บันทึกโดย บุคอรียฺและมุสลิม)

แต่มีบางส่วนกล่าวว่าอนุญาตที่จะมอบเนื้อ (กุรบาน) บางส่วนให้กับคนฆ่าและชำแหละเป็นของขวัญ และเป็นที่อนุญาตที่แจกจ่ายบางส่วนให้กับคนที่ไม่ใช่มุสลิม หากว่าเขาเป็นคนจน เป็นญาติพี่น้อง หรือเป็นเพื่อนบ้าน เพื่อที่จะให้เปิดหัวใจของเขามาสู่อิสลาม

อัลลอฮฺเท่านั้นผู้ทรงรู้ดียิ่ง
………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก www.witness-pioneer.net
#อีดอัฎฮา#ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำนักงานปัตตานี

เราจะแบ่งเนื้อกุรบ่านอย่างไร ? ตอบโดย Mufti Sheikh Muhammad Saleh Al-Munajjid

:: คำถาม ::

ชัยคฺครับ เราจะแบ่งเนื้อกุรบ่านกันอย่างไรครับ ?

:: คำตอบ ::
.
มุสลิมจะทำการเชือดพลีในช่วงอีดอัฎฮาซึ่งเป็นการดำเนินตามแบบอย่างของท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลามผู้ซึ่งจะทำการเชือดลูกชายของท่านเองนั่นคือ นบีอิสมาอีล อะลัยฮิสลาม เพื่อเป็นการเชื่อฟังในคำบัญชาจากผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านนบี อิสมาอีลถูกทดแทนด้วยการนำแกะหนึ่งตัวมาให้กับท่านนบีอิบรอฮีมโดยมะลาอิกะฮฺ ญิบรีล มะลาอิกะฮฺได้นำคำบัญชาจากอัลลอฮฺมาให้กับท่านนบีอิบรอฮีมโดยการเชือดแกะหนึ่งตัวเป็นการทดแทน

ซึ่งคำถามนี้จะตอบโดย ชัยคฺ มุฮัมมัด ศอลิหฺ อัล มุนัจญิด นักบรรยายและนักเขียนที่มีชื่อเสียงจากประเทศซาอุดิอารเบีย

คำสั่งในการที่จะมอบกรุบ่าน (การเชือดพลี) เป็นการบริจาคนั้นมีรายงานอยู่ในหะดีษเป็นจำนวนมากและอนุญาตที่จะรับประทานบางส่วนและเก็บไว้บางส่วน

อิหม่ามบุคอรียฺและอิหม่ามมุสลิม รายงานว่า ท่านหญิงอาอิชะฮฺ รดิยัลลอฮุ อันฮา กล่าวว่า “ในสมัยท่านนบี (ยังมีชีวิต)ได้มีอาหรับทะลทรายที่ยากจนค่อย ๆ เดินมุ่งไปยังที่เชือดกุรบานในช่วงอีดอัฎฮา ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า “จงเก็บเนื้อเป็นเวลาสามวัน หลังจากนั้นส่วนที่เหลือจงแจกจ่ายเพื่อเป็นเศาะดาเกาะฮฺ” เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งบรรดาเศาะฮาบะฮฺได้กล่าวว่า “โอ้ท่านเราะสูล มีคนจำนวนมากได้ทำถุงน้ำใส่น้ำและชำแหละเอาไขมันของมันออกไป ท่านนบีจึงถามว่า “ทำไมกัน” พวกเขากล่าวว่า “ท่านห้ามกินเนื้อสัตว์กุรบานเกินสามวัน” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ที่ฉันห้ามพวกท่านเพราะอาหรับทะเลทรายจำเป็นต้องได้รับบริโภคมัน แต่ตอนนี้พวกท่านจงกิน จงเก็บไว้และจงแจกจ่าย (บริจาค)”

อิหม่าม นะวาวียฺให้ข้อคิดในถ้อยคำที่ว่า “ก่อนหน้านี้ที่ฉันห้ามพวกท่าน” … “แต่ตอนนี้พวกท่านจงกิน จงเก็บไว้และจงแจกจ่าย (บริจาค) ” ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การห้ามเก็บเนื้อกุรบ่านเกินสามวันจะไม่ถูกนำมาใช้อีกต่อไป ซึ่งรวมไปถึงคำสั่งให้กินและให้แจกจ่าย(บริจาค)

ส่วนเรื่องของสัดส่วนในการแบ่งอาหารเพื่อการบริจาคนั้น หากว่ามันเป็นการเชือดพลีโดยสมัครใจ ดังนั้นการแจกจ่ายเนื้อบางส่วนในการบริจาคนั้นเป็นความจำเป็น ตามทรรศนะที่มัซฮับชาฟีอียฺเห็นว่าถูกต้อง มันเป็นการดียิ่งกว่า(มุสตะฮับ)ในการแจกจ่ายเนื้อส่วนใหญ่ในการบริจาค นักวิชาการมัซฮับชาฟีอียฺกล่าวว่า อย่างน้อยต้องแบ่งหนึ่งในสามส่วนเพื่อรับประทาน หนึ่งในสามเพื่อมอบให้เป็นของขวัญ (ฮะดียะฮฺ) และอีกส่วนเป็นการบริจาคทาน มีทรรศนะอื่น ๆ ที่ให้แบ่งครึ่งหนึ่งไว้รับประทาน อีกครึ่งหนึ่งไว้บริจาคทาน ทรรศนะที่แตกต่างจากนี้คือ การจ่ายเงินย่อมดีกว่า สำหรับสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติ คือการที่คนหนึ่งอาจจะจ่ายเงินในการบริจาคซึ่งนับว่าเป็นการบริจาค แต่ยังคงมีทรรศนะอื่น ๆ ที่ไม่ได้จ่ายเงินในการบริจาคอีกเช่นกัน (ทรรศนะที่แตกต่างเหล่านี้เป็นเรื่องของจำนวนหรือสัดส่วนที่ที่ดีที่สุดที่จะแจกจ่าย สำหรับการเติมเต็มส่วนที่ต้องแจกจ่าย คนหนึ่งอาจบริจาคจำนวนเท่าใดก็ได้โดยถือว่าเป็นการบริจาค แต่ก็มีบางทรรศนะที่กล่าวว่าไม่ต้องแจกจ่ายแต่อย่างใด)
สำหรับการรับประทานเนื้อของมัน เป็นเพียงแค่มุสตะฮับ (ระดับของการส่งเสริมให้กระทำ) เท่านั้น ไม่ใช่วาญิบ (จำเป็น) ผู้รู้ส่วนมากจะตีความคำสั่งในการรับประทานมันนั้นตามอัล กุรอานที่กล่าวว่า

يَشْهَدُوا مَنَافِعَ لَهُمْ وَيَذْكُرُوا اسْمَ اللَّـهِ فِي أَيَّامٍ مَّعْلُومَاتٍ عَلَىٰ مَا رَزَقَهُم مِّن بَهِيمَةِ الْأَنْعَامِ ۖ فَكُلُوا مِنْهَا وَأَطْعِمُوا الْبَائِسَ الْفَقِيرَ ﴿٢٨﴾

“เพื่อพวกเขาจะได้มาร่วมเป็นพยานในผลประโยชน์ของพวกเขา และกล่าวพระนามอัลลอฮฺในวันที่รู้กันอยู่แล้ว คือวันเชือด ตามที่พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาจากสัตว์สี่เท้า ดังนั้นพวกเจ้าจงกินเนื้อมัน และจงให้อาหารแก่ผู้ยากจนขัดสน” สูเราะฮฺ อัล หัจญฺ อายะฮฺที่ 28

อิหม่าม มาลิก กล่าวว่า “ไม่มีการกำหนดสัดส่วนเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใดในส่วนที่จะรับประทาน แจกจ่ายในการบริจาค หรือให้อาหารแก่คนยากจนหรือคนมั่งมี โดยที่คนหนึ่งจะให้เนื้อที่ยังไม่ปรุงหรือปรุงเสร็จแล้วก็ได้”

ผู้รู้มัซฮับชะฟีอียฺกล่าวว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรให้กระทำ (มุสตะฮับ) ในการแจกจ่ายให้มากที่สุดในการบริจาคและกล่าวอีกว่าอาจรับประทานเองอย่างน้อยต้องหนึ่งในสาม หนึ่งในสามแจกจ่ายในการบริจาค และอีกหนึ่งในสามเพื่อเป็นของขวัญ (ฮาดียะฮฺ) พวกเขากล่าวว่าเป็นเรื่องที่อนุมัติที่จะเก็บไว้รับประทานครึ่งหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าที่จะแจกจ่ายมันออกไปเพื่อการบริจาค

อิหม่าม อะหฺมัด กล่าวว่า “เราได้รับสายรายงานของอับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส (รดิยัลลอฮุ อันฮุ) ว่าเขาจะต้องเก็บไว้รับประทานหนึ่งในสามส่วน ให้เป็นอาหารหนึ่งในสามส่วนกับใครก็ตามที่เขาต้องการ และแจกจ่ายอีกหนึ่งในสามเพื่อการบริจาค” นี่คือทรรศนะของอิบนุ มัสอูดและอิบนุ อุมัร เช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ปรากฏทรรศนะที่แตกต่างกันในหมู่บรรดาเศาะฮาบะฮฺในประเด็นนี้

ส่วนเหตุผลที่มีทรรศนะแตกต่างกันว่าจะแจกจ่ายเท่าไหร่นั้นเนื่องจากมีรายงานที่แตกต่างกัน บางรายงานมิได้กล่าวถึงจำนวนเงินเจาะจงลงไป เช่น การรายงานของ บุรอยเฎาะฮฺ (รฎิยัลลอฮุ อันฮุ) กล่าวว่า ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันเคยห้ามพวกท่านรับประทานเนื้อกุรบ่านเกินสามวัน จากนั้นจะต้องแจกจ่ายมันให้กับคนยากจน แต่ตอนนี้ท่านจงกินดั่งที่ท่านต้องการ จงให้อาหารแก่ผู้อื่นและจงกักเก็บไว้บางส่วน” (อัต ติรมีซียฺ) บรรดาผู้รู้จากบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม และคนอื่น ๆ ก็ดำเนินตามมาตรฐานนี้

อัลลอฮฺเท่านั้นคือผู้ทรงรู้ดียิ่ง

.………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก www.islamqa.info by Mufti Sheikh Muhammad Saleh Al-Munajjid

#อีดอัฎฮา#ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำนักงานปัตตานี

กรอบแนวคิด RIDA กับการผสาน วัฒนธรรมและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมุสลิม

การท่องเที่ยวระดับโลกกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง และความใส่ใจต่อความยั่งยืน ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ตลาดการท่องเที่ยวมุสลิมยังคงเติบโตและมีความสำคัญ ทำให้เกิดความต้องการกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อรองรับความต้องการเฉพาะเหล่านี้ ซึ่งทาง Crescent Rating จึงได้พัฒนากรอบแนวคิด RIDA ขึ้น เพื่อตอบสนองความท้าทายในการผสานแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ วัฒนธรรม กับเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวในอนาคต
.
กรอบแนวคิด RIDA ได้แรงบันดาลใจมาจากภาษาอาหรับ (رضا) ซึ่งหมายถึงความพึงพอใจและความสุข ถือเป็นคุณลักษณะสำคัญที่นักเดินทางต้องการระหว่างการเดินทาง ดังนั้น กรอบแนวคิด RIDA ย่อมาจากคำสี่คำ คือ Responsible, Immersive, Digital, และ Assured (รับผิดชอบ ดื่มด่ำ ดิจิทัล และเชื่อมั่น) ซึ่งเป็นแนวทางที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวมุสลิม ไม่เพียงตอบโจทย์ด้านศรัทธาและความเชื่อเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและบริการเฉพาะบุคคล กรอบนี้จึงเป็นเครื่องมือสำหรับจุดหมายปลายทางและผู้ให้บริการ เพื่อเพิ่มคุณภาพและเข้าถึงนักท่องเที่ยวมุสลิมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมิติหลักของกรอบ RIDA ประกอบด้วย 4 มิติ ดังนี้
.
1. #มิติของความรับผิดชอบ (Responsible Dimension)
1.1 ความรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจสังคม (Socio-Economics)
ส่งเสริมการใช้จ่ายในธุรกิจและกิจกรรมของท้องถิ่น เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการค้าที่เป็นธรรมและการบริโภคที่มีจริยธรรม การสนับสนุนบริษัทที่รักษาคุณภาพชีวิตแรงงานช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และการให้บริการท่องเที่ยวที่เข้าถึงได้ จะช่วยให้ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม
.
1.2 ความรับผิดชอบด้านสังคมวัฒนธรรม (Socio-Cultural)
มุ่งเน้นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม และการเคารพขนบธรรมเนียมและประเพณีท้องถิ่น ส่งเสริมให้เกิดปฏิสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างนักท่องเที่ยวกับชุมชน และสร้างความตระหนักในเรื่องธรรมเนียมทางศาสนา การท่องเที่ยวแบบนี้ยังส่งเสริมการครอบคลุมและตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้เดินทาง
.
1.3 ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental)
ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามหลักศรัทธา ซึ่งเน้นถึงความเมตตาต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มุ่งลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อคนรุ่นหลัง
.
2. #มิติของการดื่มด่ำ (Immersive Dimension)
2.1 การดื่มด่ำในการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม (Cultural Engagement)
ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านกิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์ เช่น การเรียนรู้ศิลปหัตถกรรมหรือการทำอาหารจากผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่น ทัวร์ที่นำโดยไกด์ท้องถิ่นช่วยให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความสำคัญของสถานที่ต่าง ๆ
.
2.2 การดื่มด่ำทางด้านอนุรักษ์มรดก (Heritage Preservation)
เน้นการอนุรักษ์และส่งเสริมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยให้การสนับสนุนด้านเงินทุนและโปรแกรมการศึกษา เพื่อให้ผู้คนเข้าใจถึงคุณค่าของสถานที่เหล่านี้ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ช่วยปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมในระยะยาว
.
2.3 การดื่มด่ำกับการปฏิสัมพันธ์กับชุมชน (Community Interaction)
พัฒนากิจกรรมที่ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกับชุมชนท้องถิ่น เช่น ทัวร์ชุมชนหรือการเข้าพักในโฮมสเตย์ ซึ่งช่วยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตท้องถิ่นอย่างแท้จริง กิจกรรมเหล่านี้ยังช่วยสร้างรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น
.
3. #มิติทางด้านดิจิทัล (Digital Dimension)
3.1 การผสานทางเทคโนโลยี (Technological Integration)
ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI และ VR เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และนำเสนอแผนการเดินทางเฉพาะแบบส่วนตัว รวมถึงทัวร์เสมือนจริงก่อนการเยี่ยมชมด้วยเทคโนโลยี VR ที่จะช่วยยกระดับการเข้าถึงและคุณภาพของบริการเให้สอดคล้องกับความต้องของนักท่องเที่ยวยุคใหม่
.
3.2 การเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Inclusivity)
มุ่งเน้นการออกแบบแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นมิตรกับทุกคน รวมถึงผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย เช่น เว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่เข้าถึงได้ง่าย
.
3.3 ประสิทธิภาพทางด้านดิจิทัล (Efficiency)
เทคโนโลยีช่วยลดขั้นตอนการเดินทาง เช่น เช็คอินผ่านมือถือและการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อความสะดวกและความคล่องตัว
.
4. #มิติความเชื่อมั่น (Assured Dimension)
4.1 ความเชื่อมั่นการประกันคุณภาพ (Quality Assurance)
เน้นการรักษามาตรฐานสูงสุดในการให้บริการ ด้วยการฝึกอบรมพนักงานและรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการตรงตามความคาดหวังของนักท่องเที่ยวมุสลิม
.
4.2 ความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงและปลอดภัย (Safety and Security)
ใช้มาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวดทั้งทางกายภาพและดิจิทัล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวว่าข้อมูลและความปลอดภัยส่วนบุคคลจะได้รับการปกป้อง
.
4.3 ความเชื่อมั่นในการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance)
ส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรฐานและการรับรองที่สอดคล้องกับหลักฮาลาล เพื่อให้มั่นใจว่าบริการต่าง ๆ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และกิจกรรมต่าง ๆ ตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวมุสลิม
.
กรอบแนวคิด RIDA จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้จุดหมายปลายทางและผู้ให้บริการเติบโตไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ควบคู่กับการเคารพในหลักการทางศาสนาและวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวมุสลิมอีกด้วย
…………………….
พิทักษ์ อาดมะเร๊ะ แปลและเรียบเรียง
……………………
บทความจาก
The Mastercard-Crescent Rating. 2024. Global Muslim Travel Index 2024. เข้าถึงเมื่อ 19 ตุลาคม 2567 จาก https://www.crescentrating.com/…/global-muslim-travel

Halal Life & Health News: ด้วยสถานการณ์ข่าวสารการติดตามผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนโดยทั่วไป หากมีการติดตามข่าวสารมากจนเกินไป อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการทางกายและจิตใจได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หายใจไม่อิ่ม อึดอัดในช่องท้อง ปวดท้อง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติทั้งที่อยู่ในสภาพปกติ นอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ อาการวิตกกังวล ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หงุดหงิดง่าย โกรธ ฉุนเฉียว ก้าวร้าว สมาธิไม่ดี เป็นต้น

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้คำแนะนำหลัก 5 วิธีในการติดตามข่าวสารบ้านเมืองให้ห่างไกลจากความเครียดไว้ ดังนี้

1.แบ่งเวลาติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างพอดี โดยการติดตามข่าวสารไม่ควรติดตามต่อเนื่องนานเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพราะจะทำให้เครียดมากขึ้น

2. ทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติ หันเหความสนใจจากข่าวสารไปเรื่องอื่น ละเว้นการรับรู้ข่าวสารการเมืองบ้าง โดยหันไปทำหน้าที่ของตนเอง เรียนหนังสือ การทำงาน และการให้เวลากับครอบครัว

3. เคารพความคิดเห็นแบบประชาธิปไตยที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ โดยไม่ดูข่าวหรือรับข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว จะทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง ควรเปิดกว้างและรับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่าง

4. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย วันละ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งการพักผ่อนจะทำให้ความเครียดลดลง

5. การผ่อนคลายความเครียด เช่น การออกกำลังกาย ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกหายใจคลายเครียด การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นต้น

ในศาสนาอิสลาม การกล่าวดุอาอฺ การอ่านอัลกุรอาน การละหมาดและการมอบหมายไปยังอัลลอฮฺ ก็เป็นหนึ่งในอีกหลายวิธีในการขจัดความเครียด

วัลลอฮูอาลัม

…………………………..
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานปัตตานี
ที่มา : https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=28502

บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดปัญหาสุขภาพน้อยกว่าจริงหรือ?

บุหรี่ไฟฟ้า :
ของเหลวในบุหรี่ไฟฟ้ามักทำจากนิโคติน โพรพิลีนไกลคอล กลีเซอรีนและสารปรุงแต่งกลิ่นรส

แน่นอนว่ามันปลอดภัยกว่าหากจะกระโดดออกจากหน้าต่างที่สูงห้าชั้นหากเทียบกับการกระโดดออกจากหน้าต่างที่สูงยี่สิบชั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การกระโดดออกจากหน้าต่างนั้นมีความปลอดภัยแต่อย่างใด

หลักชะรีอะฮ์ในอิสลามได้บัญญัติห้ามไม่ให้มนุษย์ใช้สิ่งต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นอันตรายทันทีทันใดหรือค่อย ๆ เป็นอันตรายจนนำไปสู่ความตายภายหลัง สร้างความเสียหายต่อร่างกาย หรือส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยและเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจ

ท่านศาสนทูตมุฮัมมัดได้กล่าวว่า: “เท้าของลูกหลานอาดัมจะไม่ขยับไปไหนจาก ณ ที่อัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์จนกว่าจะถูกถามถึง 5 ประการด้วยกัน จะถูกถามถึงชีวิตของเขาว่าเขาใช้หมดไปกับอะไร และวัยหนุ่มของเขาว่าใช้กับอะไร และทรัพย์สินของเขาว่าได้มาจากที่ไหนและใช้จ่ายไปอย่างไร และจะถูกถามถึงสิ่งใดบ้างที่เขาได้ปฏิบัติไปในสิ่งที่รู้มา” (บันทึกการรายงานโดยติรมิซีย์)

ด้วยเหตุนี้ ตามหลักศาสนาอิสลามสุขภาพของเรานับว่าเป็นประหนึ่งของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานมาให้มนุษย์ ชะรีอะฮ์จึงบัญญัติห้ามไม่ให้เราทำของขวัญชิ้นนี้เสียหายด้วยการกระทำที่ขาดการยั้งคิด เช่น การสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งศาสนาอิสลามและวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีงานวิจัยเล็ก ๆ ที่พบว่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจเสี่ยงต่อโรคปอดและโรคหลอดเลือดต่าง ๆ จากรายงานของ แอนดรูว์ มาสเตอร์สัน (Andrew Masterson) ในนิตยสารคอสมอส (Cosmos Magazine)

ข้อโต้แย้งที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นตัวแทนของการบริโภคนิโคตินในรูปแบบที่ปลอดภัย จากการศึกษาพบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ปกติ อีกทั้งยังสร้างผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายต่อปอดเช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป

การศึกษาขนาดเล็กชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อเมริกันสำหรับการศึกษาโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต (American Journal of Respiratory and Critical Care Medicine) ซึ่งผู้เขียนก็ยอมรับว่างานชิ้นนี้ยังมีข้อจำกัดอย่างมีนัยสำคัญ

คณะนักวิจัยซึ่งนำโดยนักพยาธิวิทยา เมห์เมด เคสิเมอร์ (Mehmet Kesimer) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ (University of North Carolina at Chapel Hill) ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการเก็บตัวอย่างเสมหะของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 15 คน ผู้สูบบุหรี่ทั่วไปจำนวน 14 คน และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่จำนวน 15 คน

ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ทั่วไปแสดงผลลัพธ์ให้เห็นถึงระดับที่เพิ่มขึ้นของสารบ่งชี้ทางชีวภาพอย่างน้อยสองตัว คือ ไทโอรีดอกซิน (Thioredoxin: TXN) และเมตริกซ์เมทัลโลโปรตีนเนส-9 (Matrix Metalloproteinase-9: MMP9) ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะเครียดจากการออกซิเดชัน (oxidative stress) และกลไกการป้องกันที่เชื่อมโยงกับโรคปอด
.
กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มนี้ยังแสดงผลลัพธ์ของค่าวัดระดับการหลั่งเยื่อเมือกที่สำคัญของมิวซินคัดหลั่งชนิด Mucin 5AC ซึ่งเป็นเยื่อเมือกระดับเดียวกับที่โรคหอบหืดและโรคหลอดลมอักเสบสามารถหลั่งออกมาในระดับที่สูงได้ขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ายังพบระดับของโปรตีนที่สูงขึ้นอีกสองชนิดจากเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล ซึ่งชนิดของเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค แต่ในกรณีที่มีการผลิตมากเกินไป ผู้ป่วยอาจประสบโรคปอด เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส หรือโรคหลอดลมพอง

นอกจากนี้ยังพบโปรตีนจากนิวโตรฟิลชนิดกับดักที่ทำจากเส้นใยดีเอ็นเอที่มีโปรตีนต่อต้านจุลินทรีย์ซึ่งผูกติดอยู่กับมัน (Neutrophil Extracellular Traps: NETs) พบอยู่บริเวณนอกปอดของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ยังพบเนื้อเยื่อที่เสียหายรอบ ๆ เส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ณ บริเวณดังกล่าว ซึ่งจากกรณีนี้มันสามารถพัฒนาอาการให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดอักเสบและโรคสะเก็ดเงิน

:: งานวิจัยเพิ่มเติม ::

“ความสับสนที่เกิดขึ้นกับบุหรี่ไฟฟ้าว่าแท้จริงแล้วมันมีความปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปหรือไม่นั้นเป็นเนื่องมาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นยังอยู่ในกระบวนการศึกษาในระดับเริ่มต้นเท่านั้น” เคสิเมอร์ กล่าว

“จากผลลัพธ์ในงานศึกษาของเรามีข้อบ่งชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจเลวร้ายเทียบเท่าบุหรี่ทั่วไป” คณะวิจัยของเคสิเมอร์ ระบุว่ามูลค่าของการศึกษาวิจัยนี้มีขนาดเล็กและจำกัด เนื่องจากสมาชิกของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 12 คนของผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ากล่าวว่า พวกเขาเคยสูบบุหรี่ทั่วไปมาก่อนในอดีต

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาที่มีก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความตระหนักและเล็งเป้าไปยังจุดที่ต้องมีการสืบสวนและศึกษาต่อไป “การเปรียบเทียบความอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้ากับบุหรี่ทั่วไปก็เหมือนกับการเปรียบเทียบผลแอปเปิ้ลกับผลส้ม” เคสิเมอร์ กล่าว

“ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีสัญญาณที่แสดงถึงความอันตรายที่บรรจุในปอด เป็นความอันตรายที่มีทั้งความคล้ายคลึงและมีลักษณะเฉพาะ ผลลัพธ์นี้ได้ท้าทายแนวคิดที่จะเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่ทั่วไปเป็นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าด้วยความเข้าใจว่ามันเป็นทางเลือกที่มีความอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่า”

การสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากสมมติฐานที่ว่ามันมีความปลอดภัยกว่า ในปี 2016 เจ้ากรมการแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมาอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นกว่า 900% ในหมู่นักเรียนมัธยมปลาย

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: aboutislam.net

กฏเกณฑ์การบริโภคโปรตีนสกัดจากกัญชง (hemp)

ข้าพเจ้าขอถามเกี่ยวกับโปรตีนที่ผลิตจากต้นกัญชง (hemp) ซึ่งหาซื้อได้ในร้านขายเครื่องกีฬาในประเทศอังกฤษ จุดประสงค์ของการบริโภคโปรตีนชนิดก็เพื่อเป็นแหล่งพลังงานตามธรรมชาติจะเป็นที่อนุมัติหรือไม่โดยที่สารนี้ไม่มี THC (สารที่ทำให้มึนเมา)

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ
ในสารานุกรม อัลเมาสูอะฮฺ อัลอะเราะบิยะฮ์ อัลอะลามิย์ยะฮฺ กล่าวไว้ว่า กัญชง (Hemp) (บางครั้งเรียกกันในชื้อแคนนาบิส-cannabis) เป็นพืชที่ปลูกเพื่อนำเส้นใยที่แข็งแรงของมัน เพื่อนำมาแ.ปรรูปทำเป็นเส้นด้ายและเชือกหลากหลายชนิด การปลูกกัญชงเป็นสิ่งผิดกฏหมายในหลายประเทศ ซึ่งอาจมีสารอาจมีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ที่รู้จักกันในชื่อกัญชา

กัญชงมีผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นนักนิติศาสตร์ในอดีตและปัจจุบันจึงห้ามมิให้บริโภคมัน รวมทั้งกฏหมายของหลายประเทศทั่วโลก

สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในแคนนาบิสที่มีผลต่อสมองและระบบประสาทตามที่ผู้ถามได้อ้างถึงนั้นมีอักษรย่อ คือ THC ซึ่งหมายถึง tetrahydrocannabinol เป็นที่ทราบกันดีว่าสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทนี้ไม่ได้มีที่อื่น ๆ แต่จะมีมากในใบเพศผู้หรือช่อดอกและไม่มีอยู่ในเมล็ด
.
มุฮัมมัด ฟัตฮิอีดซึ่งเป็นแพทย์ทหารกล่าวว่า ต้นกัญชงเป็นพืชที่ถูกห้ามมิให้ปลูกตามกฏหมายระหว่างประเทศของอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 (the Single Convention on Narcotic Drugs of 1961) ซึ่งอนุสัญญานี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพิธีสารฯค.ศ.1972 แต่ได้รับการยกเว้นในจำนวนที่เล็กน้อยแก่ประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาทั้งนี้เพื่อใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษกล่าวว่า “แคนนาบิส” หมายถึงช่อดอกหรือผลของกัญชง (ไม่รวมเมล็ดและใบเมื่อไม่ได้ติดกับยอด) ซึ่งยังไม่ได้สกัดเรซิ่นออกมาไม่ว่าจะเรียกด้วยชื่อใดก็ตาม อนุสัญญาระบุว่านิยามนี้ไม่รวมใบที่อยู่ใต้ช่อดอกและเมล็ด

จากที่กล่าวมา หากโปรตีนได้มาจากกัญชงสกัดมาจากหนึ่งในสองสิ่งคือใบและเมล็ด ซึ่งไม่มี THC แล้วไม่มีความผิดอะไรหากจะบริโภค (หะลาล) ตราบเท่าที่มันไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายและไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นี่คือกฏทั่วไปที่สามารถนำไปใช้กับทุกสิ่งที่มีอยู่ในท้องตลาดไม่ว่าจะเป็นสารตามธรรมชาติหรือผลิตสังเคราะห์ออกมาที่อ้างว่าเป็นประโยชน์กับร่างกายและให้พลังงานแก่นักกีฬา

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.info

สิ่งสปรก(นะญิส) คืออะไร ?

การมีเสื้อผ้าและร่างกายที่สะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องสุขอนามัย แม้แต่สัตว์บางตัวก็ทำความสะอาดตัวมันเองหรือทำความสะอาดตัวอื่น ๆ ในกลุ่มของมัน
เรื่องของความสะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญมากขในอิสลามและมุสลิมดำเนินตามหลักการที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับเงื่อนไขส่วนบุคคลในชีวิตของเขาโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เขารับประทาน …

ดังนั้น ถ้ามุสลิมจะสัมผัสสัตว์หรือเนื้อสัตว์ใดก็ตาม พวกเขาจะต้องปฏิบัติตามหลักการที่คอยควบคุมนะญิส (สิ่งสปรกตามบทบัญญัติ) และฏอฮิร (ความสะอาด) โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่พวกเขาจะเตรียมตัวทำการละหมาดในแต่ละวัน

ตามความเชื่อของมุสลิมสิ่งสกปรกต่าง ๆ นั้นถูกแบ่งออกเป็น 10 ประเภท
1. ปัสสาวะ
2. อุจจาระ
3. อสุจิ
4. ซากศพ
5. เลือด
6. สุนัข
7. สุกร
8. สุรา
9. เหล้าไวน์
10. เหงื่อที่ไหลออกมาของผู้ที่กินสิ่งที่เป็นนะญิส

– เลือด ปัสสาวะ อุจจาระของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดที่กินเนื้อนั้นนะญิส –
บางทีอาจพูดได้ว่ามันมีความชัดเจนในตัวมันเองว่าทำไมปัสสาวะ อุจจาระ อสุจิ ร่างกายที่ตายแล้วและเลือดนั้นเป็นนะญิส(สิ่งสกปรกตามบทบัญญัติ) เหล่านี้มีธรรมชาติอันไม่พึงประสงค์เป็นการเฉพาะที่ยังไม่พูดถึงการมีอยู่ของแบคทีเรีย … ตัวอย่างเช่น เมื่อสัตว์เช่น วัว ซึ่งเนื้อของมันสามารถรับประทานได้ถูกยิงด้วยกับปืนยาสลบเพื่อนำเนื้อนมาวางขายนั้นถือว่าเป็นที่ต้องห้ามเนื่องจากเลือดของมันยังคงค้างอยู่ในตัวสัตว์

สัตว์ต่าง ๆ เช่น แกะ วัว อูฐ แพะ ไก่ ไก่งวง เป็นต้น นั้นอิสลามได้จัดเตรียมและวางแนวทางการเชือดให้กับผู้บริโภค โดยมุสลิมจะต้องให้น้ำกับสัตว์เพื่อความสดชื่นเป็นประการแรกและหันหัวของมันไปทางบัยตุลลอฮฺ(ทิศแห่งการละหมด) จากนั้นต้องเอ่ย “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ” (บิสมิลลาฮฺ อัร-เราะหฺมาน อัร-เราะหฺฮีม) และทำการเชือดที่ลำคอด้วยมีดอันแหลมคมถึงเส้นประสาทไขสันหลัง เมื่อเลือดไหลออกมาจนหมดจากลำคอ (บริสุทธิ์ที่จะรับประทานตามหลักการ) เนื้อของมันจึงบริสุทธิ์และฮาลาล

– สุนัข สุกร สุรา ไวน์ และเหงื่อที่ไหลออกมาของสัตว์ที่กินสิ่งสกปรก –
ตอนนี้เราขอลงไปในรายละเอียดของเหตุผลว่าทำไม สุนัข สุกร สุรา ไวน์ และเหงื่อที่ไหลออกมาของสัตว์ที่กินสิ่งสกปรกนั้นเป็นนะญิส

สุนัขตามธรรมชาติแล้วเป็นนักล่ากินซากศพและเลือด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์เลี้ยงก็ตาม เมื่อปล่อยให้วิ่งอย่างอิสระ มันก็จะกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วหากว่ามันพบเจอสุนัขจะประสบกับโรคภัยต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคหัดสุนัข โรคพิษสุนัขบ้า โรคตับอักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรียและปรสิต เช่น หนอน หมัด ไร และเหา (แมลงเล็ก ๆ ที่อยู่บนสัตว์) มันได้รับการฝึกฝนให้เป็นเหมือนยามเฝ้ารักษาความปลอดภัยหรือเป็นเพื่อนทื่ซื่อสัตย์และไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามันแสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความรู้สึกบางอย่างแต่คุณลักษณะเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติเดิมของมันที่ทำให้มันยังคงอยู่ในสัตว์ประเภทที่มีนะญิส

แมวจะติดเชื้อด้วยกับหมัดแมว ตัวไร หนอน การติดเชื้อทางเดินหายใจระดับสูง ลำไส้เล็กอักเสบที่ติดเชื้อในแมวและเชื้อไวรัสลิวคีเมีย (เกิดเป็นเนื้องอกขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ไต ม้าม เป็นต้น) ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีที่จะเอาสัตว์มาเลี้ยงไว้ในบ้าน

พวกเราส่วนใหญ่ไม่มีอุปนิสัยชอบกินสุนัข แต่ประเด็นที่เราต้องการ คือสุนัขนั้นเป็นสัตว์ที่มีนะญิสและจะต้องไม่เลี้ยงมันไว้ในบ้านของคน ถ้ามันกินอาหารจากจานของคน จานทั้งหมดที่มันสัมผัสนั้นจะต้องทิ้งไป (หรือไม่นำมาใช้จนกว่าจะทำความสะอาดได้อย่างถูกต้อง)

ตอนนี้ เรามาพิจารณาในเรื่องของหมู ไม่มีเพียงแค่ตัวหมูเท่านั้น บางครั้งต้องเผชิญกับอหิวาตกโรค โรคไข้หวัดหมู การเป็นไข้ อันดูแลนท์ ฟีเวอร์ (Undulant fever) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ “บรูเซลล่า” โรคแบล็กเลก (Blackleg) ที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ

ข้อมูลดังต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นถึงเหตุผลบางประการว่าทำไมหมูไม่เพียงแต่เป็นนะญิส(สิ่งสกปรก) เท่านั้นแต่ยังเป็นที่ต้องห้ามในการรับประทานเช่นกันทั้ง 3 ศาสนา ยิว คริสเตียน และอิสลาม

อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า
“ที่จริงที่พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้านั้นเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่ออื่นจากอัลลอฮ์” (สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 173)

“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเอง หรือเลือดที่ไหลออก หรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิด” (สูเราะฮฺ อัล-อันอาม อายะฮฺที่ 145)

และอีกอายะฮฺอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า
“แท้จริง พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้าเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่ออื่นจากอัลลอฮ์ ดังนั้นผู้ใดที่อยู่ในสภาพคับขัน โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่เป็นผู้ละเมิดแล้ว แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (สูเราะฮฺ อัน-นะหฺลฺ อายะฮฺที่ 115)

นักชีวเคมีมุสลิมได้ทำการศึกษาหมูและค้นพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางอย่าง
อย่างแรก คือไขมันที่รวมอยู่ในเนื้อสัตว์และมันไม่ได้แยกออกจากส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ ซึ่งพบว่าไขมันของสัตว์ที่กินได้นั้นมาจากรูปแบบหนึ่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ในขณะที่เนื้อหมูเป็นแบบของกรดไขมันอิ่มตัว นั่นหมายความว่าหากคนกินเนื้อสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร ไขมันของส่วนหลังจะถูกย่อยสลายในลำไล้เล็กหลังจากที่มีการผสมเข้ากับเกลือน้ำดี มันจะถูกดูดซึมเป็นไขมันของมนุษย์และเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อไขมันของมนุษย์

เอ็นไซม์ไลเปส (pancreatic lipase) ย่อยไขมันโดยอาศัยเกลือน้ำดี สัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหารไม่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ๆ ดังนั้นโมเลกุลของสัตว์เหล่านี้จะถูกผสมให้เข้ากันและดูดซึมเป็นไขมันจากสัตว์ มันจะถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมันของร่างกายมนุษย์เหมือนไขมันสัตว์ ซึ่งไม่ใช่ไขมันของมนุษย์ ไขมันหมู(น้ำมันหมู)มีลักษณะเช่นเดียวกับไขมันของสัตว์ที่เรากินเนื้อของมันเป็นอาหาร

ดังนั้น จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมันหมูถือว่าเป็นนะญิสและเป็นที่ต้องห้าม ซึ่งคนที่ตระหนักในเรื่องนี้จะไม่ใส่มันไว้ในรายการของพวกเขา เช่น คุกกี้สำเร็จรูปที่มีน้ำมันหมู

ปรสิตที่มีผลต่อหนู ได้แก่ พยาธิปากขอ พยาธิตัวกลม และแบคทีเรีย เช่นเดียวกับ พยาธิตัวแบนพาราโกนิมัส พยาธิใบไม้ตับชนิดคลอนอร์คิสซิเนนซิสและโรคอีริซิเพโลทริกซ์ (erysipelothrix rhnsiphathiae) (มีอาการรุนแรงมากในสุกร ทำให้เกิดข้ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผิวหนังมีการอักเสบ บวมมีสีแดงคล้ำคล้าย ๆ ไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก บางที่จะคัน) สามารถฝังตัวเข้าไปอยู่ในอวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น สมอง ตา หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ รวมไปถึงตับ

Dr. El-Fangary รายงานว่าคนจำนวนมากกินสัตว์ที่กินเนื้อมักจะมีทรรศคติที่ไม่ได้ ขาดมนุษยธรรมต่อคนอื่น ๆ ที่พร้อมจะฆ่าคนอื่นโดยปราศจากเหตุผลใด ๆ และบางคนถึงกับกินเนื้อของมนุษย์ด้วยกัน

– เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ –
ต่อมาเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด ตามหลักการทั่วไปทุกสิ่งที่มึนเมาหรือสารเสพติดนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างแน่นอน มันจะคอยทำลายสมรรถภาพทางร่างกายและสภาพจิตใจเช่นกัน

ธรรมชาติดั้งเดิมของมัน เช่น องุ่นถูกทำไม่ให้บริสุทธิ์เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงและผสมกับสารอื่น ๆ และสามารถสร้างผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายมากในมนุษย์ ส่วนผสมพิเศษได้ทำให้ธรรมชาติดั้งเดิมถูกทำลายคุณค่าเดิมของมัน

สุราประกอบด้วยเอทานอล ซึ่งเป็นของเหลวไวไฟไม่มีสี (C2H5OH) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มึนเมาในสุราและยังใช้เป็นตัวทำละลายในน้ำยาทำความสะอาดอีกด้วย
.
– ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา –

มนุษย์จะมีความบริสุทธิ์ด้วยการดำเนินตามหลักการที่บริสุทธิ์และศรัทธาในผู้สร้าง นั่นคือ อัลลอฮฺอิสลามมีคำแนะนำหลากหลายวิธีให้กับผู้คนในเรื่องของการรักษาความสะอาด เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า ร่างกาย ผม ฟัน การดื่มน้ำ น้ำที่ใช้ชำระล้างและการอาบน้ำ ที่อยู่อาศัย ถนน สถานที่สาธารณะ อาหาร ตลอดจนทุกสิ่งที่มนุษย์ใช้ประโยชน์

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islam Q&A