ฮาลาลนั้นชัดเจนและหะรอมก็ชัดเจน: หนทางสู่หัวใจที่บริสุทธิ์

จากอบู อับดุลลอฮฺ (อัน นุอฺมาน บิน บะชีร) กล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า

“แท้จริง สิ่งที่อนุมัติ (ฮาลาล) นั้นชัดแจ้ง สิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ก็ชัดแจ้ง และในระหว่างทั้งสองสิ่งนั้น มีเรื่อง (หรือสิ่ง) ที่คลุมเครือ (ไม่ชัดแจ้ง) ซึ่งผู้คนส่วนมากไม่รู้”

“ดังนั้น ผู้ใดรักษาตัวเขาจากสิ่ง (หรือเรื่อง) ที่คลุมเครือนั้น เขาได้ชำระตัวเขาในการปกป้องศาสนาของเขาและเกียรติของเขา ส่วนผู้ใดที่ตกลงไปในการกระทำสิ่งที่คลุมเครือ เขาก็ได้ตกลงไปในเรื่องที่หะรอม (ต้องห้าม)”

“เช่นเดียวกับผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์รอบ ๆ ที่ดินที่ต้องห้าม (เช่น สวนของคนอื่น) ไม่ช้ามันก็จะเข้า (ไปกิน) ใน (สวน) นั้น จงจำไว้ว่า ผู้ปกครอง (กษัตริย์ ฯลฯ) ทุกคนมีขอบเขตที่ต้องห้าม จงจำไว้เถิดว่า ที่อัลลอฮฺทรงห้ามนั้น คือสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงอนุมัติ (หะรอม)”

“จงจำไว้ว่า ในร่างกายนั้นมีเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายนั้นก็ดีด้วย แต่เมื่อมันเสีย ร่างกายก็จะเสียไปด้วย จงจำไว้ว่า แท้จริงแล้ว ก้อนเนื้อก้อนนั้นมันคือ หัวใจ” (บันทึกโดย บุคอรีย์และมุสลิม)

หะดีษต้นนี้เน้นย้ำถึงสิ่งที่ได้รับอนุญาตและสิ่งที่ต้องห้ามในอิสลามนั้นชัดแจ้ง ถือว่าเป็นแนวคิดที่สำคัญยิ่งและเป็นพื้นฐานในความเข้าใจศาสนา อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา ได้ประทานอัลกุรอานมายังเราและระบุไว้อย่างชัดเจนในสิ่งที่เราได้รับอนุญาตและสิ่งที่ต้องห้าม การยึดมั่นในการกระทำที่พระองค์ทรงสั่งใช้และหลีกเลี่ยงสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งห้ามจะทำให้ท่านได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่มุสลิมทุกคนควรมุ่งมั่นและพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รับมัน

หะดีษต้นนี้ยังชี้ให้เห็นถึงแง่มุมหนึ่งของความเมตตาและความกรุณาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา แท้จริงด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงกำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินชีวิต ด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงส่งท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติสุขและความจำเริญจงประสบแด่ท่าน) มาเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดให้กับเรา ตามภารกิจของท่านที่ได้รับการกล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า:

“และเรามิได้ส่งเจ้า (มุฮัมมัด) มาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย” (อัล อันบิยาอฺ 21:107)

ดังนั้น อัลลอฮฺได้ทรงส่งท่านนบีมุฮัมมัดเป็น “ความเมตตา” ต่อ “มวลมนุษยชาติ” ไม่ใช่เฉพาะกับชาวเมืองมักกะห์ ไม่ใช่เฉพาะกับชาวคาบสมุทรอาหรับ และไม่ใช่เฉพาะกับชาวมุสลิมเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนทุกยุคสมัย ความเมตตาคือการรู้ว่าจะใช้ชีวิตของเราอย่างไร การรู้ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงพอพระทัยและสิ่งใดที่พระองค์ทรงไม่พอพระทัย เพื่อที่เราจะได้ห่างไกลจากสิ่งที่ต้องห้ามชัดแจ้ง และผลักดันตัวเราเองไปสู่สิ่งที่อยู่ในกรอบอนุมัติ

พิจารณาดูว่าแนวคิดนี้มีความสำคัญอย่างไร ให้ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักเรียน คุณกำลังเดินเข้าไปในห้องเรียน และคุณครูกำลังจ้องมองคุณอยู่ ขณะนั้นคุณก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะเรียนของคุณ แล้วคุณก็รอให้คุณครูเริ่มต้นกล่าวอะไรสักอย่างกับคุณ แต่คุณครูกลับไม่กล่าวอะไรนอกจากจ้องมองคุณเพียงเท่านั้น คุณก็ไม่รู้ว่าคุณต้องทำตัวอย่างไร จากนั้นคุณครูก็แสดงสีหน้าไม่พอใจและส่งสัญญาณให้คุณว่าคุณควรรู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่คุณก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าคุณต้องทำอะไร คุณควรเปิดหน้าที่ห้า หรือหน้าที่สิบ หรือควรเริ่มต้นเขียนอะไรสักอย่างลงสมุดบันทึกของคุณกันแน่?

ในทางตรงกันข้าม หากคุณครูเริ่มต้นชั้นเรียนของเธอด้วยการกล่าวว่า ‘เปิดหน้าห้าสิบสี่ แล้วเราจะเริ่มต้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์กัน’ จากนั้นคุณก็จะรู้ว่าคุณต้องทำอะไร และมันก็จะทำให้คุณมุ่งมั่นและเพ่งความสนใจในสิ่งนั้นเพื่อที่จะช่วยให้คุณบรรลุภารกิจที่คุณได้รับมอบหมาย

ดังนั้น อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ที่อัลลอฮฺทรงส่งท่านนบีมุฮัมมัดมาเป็นครู มาเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดให้กับเรา ท่านนบีได้แสดงแบบอย่างของหลักคำสอนอิสลาม ดังที่ภรรยาของท่าน ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุ อันฮา) กล่าวว่า “ท่านนบีเป็นเสมือนอัลกุรอานที่เดินได้” ดังนั้นเราจึงสามารถเจริญรอยตามแนวทางของท่านนบีได้ในทุกมิติชีวิต เพื่อให้ชีวิตของเรานั้นได้รับทางนำ

ความเมตตาคือการที่เราไม่ต้องลำบากค้นหาว่าเราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไร แต่จงพุ่งกำลังของเราสู่การมุ่งมั่นเอาชนะจุดอ่อนที่ไม่ดีของตัวเองเพื่อบรรลุวิถีชีวิตอันสูงส่งที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนโดยอัลลอฮ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา

อีกประเด็นหนึ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากหะดีษต้นนี้ได้ก็คือ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่คลุมเครือสงสัย:

“ดังนั้น ผู้ใดรักษาตัวเขาจากสิ่ง (หรือเรื่อง) ที่คลุมเครือนั้น เขาได้ชำระตัวเขาในการปกป้องศาสนาของเขาและเกียรติของเขา ส่วนผู้ใดที่ตกลงไปในการกระทำสิ่งที่คลุมเครือ เขาก็ได้ตกลงไปในเรื่องที่หะรอม (ต้องห้าม)”

การหลีกเลี่ยงเรื่องหรือสิ่งที่น่าสงสัยจะช่วยให้หัวใจของเราบริสุทธิ์ และนั่นจะนำเราไปสู่ส่วนถัดไปของหะดีษที่ว่า:

“จงจำไว้ว่า ในร่างกายนั้นมีเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายนั้นก็ดีด้วย”

คำถามคือ เราจะรักษาหัวใจของเราให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?
ลองคิดถึงการเดินเข้าไปในบ้านที่มีสิ่งของหรือของใช้ต่าง ๆ ที่เสียหายจำต้องได้รับการซ่อมแซม คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรที่ต้องเอาไปซ่อม หากคุณไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างที่เสียหาย? ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งแรกที่ต้องทำและอัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด คือการพิจารณาหัวใจของคุณก่อน: อะไรคือปัญหาที่คุณต้องเผชิญในชีวิตของคุณเอง? คุณเป็นคนขี้อิจฉาหรือเปล่า? คุณมักพลาดการละหมาดหรือไม่? หรือคุณเป็นคนที่มีอารมณ์โมโหโทสะ?

เมื่อคุณลองพิจารณาตัวเองและมองลึกเข้าไปข้างในตัวเองด้วยความสัตย์จริงแล้ว คุณก็จะสามารถเริ่มรู้วิธีการแก้ไขปัญหาตัวเองและเข้าสู่กระบวนการ “ตัซกียะฮฺ” ซึ่งก็คือการขัดเกลาหรือการชำระล้างตัวเองให้บริสุทธิ์

วิธีง่าย ๆ ในการรักษาความบริสุทธิ์ของหัวใจเรานั้นคือให้เราคำนึงถึงสามสิ่ง ได้แก่ คน สถานที่ และสิ่งต่าง ๆ เช่น คน ถ้าคุณสามารถพาตัวเองให้เข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนดี: คุณก็จะพบกับผู้คนที่จะกำชับให้คุณทำการละหมาด คุณก็จะพบกับคนที่จะพาคุณไปสู่สถานที่ที่ดี ไปฟังบรรยายธรรม ไปมัสยิด และสถานที่ที่คุณสามารถรำลึกถึงอัลลอฮฺได้เสมอ แล้วพวกเขาจะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีที่สุดของคุณ

ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ต้องลุกขึ้นมาละหมาด เป็นคนเดียวที่ไม่สบายใจกับพฤติกรรมที่ไม่ดีของคนในกลุ่ม คุณก็จะต้องเผชิญกับการต่อสู้ยืนหยัดเพื่อความถูกต้องอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อให้ตัวเองบริสุทธิ์ คุณต้องพาตัวเองไปสู่สิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกันกับสถานที่: จงไปยังสถานที่ที่บริสุทธิ์ ตัวอย่างเช่น นักวิชาการหลายท่านกล่าวว่าการสูบบุหรี่ บารากู่ ฯลฯ อย่างมากที่สุดเท่าที่จะยอมรับได้คือมันเป็นสิ่งที่ไม่ส่งเสริมและน่ารังเกียจ (มักรูฮฺ) ไปจนถึงทรรศนะที่ถือว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) ปัจจุบันนี้มีสถานที่มากมายที่ให้บริการและเอื้อต่อการกระทำหรือบริการสิ่งที่ไม่ดี และน่าเสียดายที่สถานที่ที่ไม่ดีเหล่านั้นกลายเป็นสถานที่นัดเที่ยวหรือนัดเจอกันของผู้คนยุคใหม่

สำหรับบางคนที่ไม่ต้องการสูบบุหรี่ แต่พวกเขาไปยังสถานที่เหล่านั้นเพียงเพื่อซื้อแซนวิช ก็จงอย่าไปซื้อแซนวิชจากสถานที่ที่ไม่ดีเหล่านั้น เพราะสถานที่เหล่านั้นเป็นสถานที่ที่ทำให้คุณสามารถหลงลืมอัลลอฮฺได้ (และอาจนำคุณไปสู่การกระทำที่ฝ่าฝืนพระองค์ภายหลัง)

หรือบางทีที่คุณอาจพลาดการละหมาดของคุณ หรือคุณเผลอเข้าไปในวงสนทนาที่มีหัวข้อสนทนาที่ไม่ดี จำไว้ว่า จงพาตัวเองไปยังสถานที่ที่บริสุทธิ์เสมอ

และสุดท้ายเพื่อให้หัวใจของเรานั้นสัมผัสกับสิ่งที่บริสุทธิ์ จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราบริโภคด้วยสายตาของเรา ด้วยปากของเรา ด้วยหูของเรา เช่น การบริโภคสิ่งต่าง ๆ ในทีวีและภาพยนตร์ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ปัจจุบันมีสิ่งบันเทิงที่ฮาลาลมากมายที่เป็นทางเลือกให้เราและลูก ๆ ของเราสามารถบริโภคได้

โปรดจำไว้ว่าโทรทัศน์และภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมนั้นมันไม่ดีต่อจิตวิญญาณของเราด้วยเช่นกัน เราจะค่อย ๆ ซึมซับและสร้างความคุ้นเคยของเราไปยังคำศัพท์ที่ไม่เหมาะสมและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม บ่อยครั้งที่เราคิดว่า: โอเค ฉันจะไม่ปล่อยให้ลูก ๆ ของฉันดูมัน แต่ฉันดูมันเองได้ ดังนั้นจึงควรจำไว้ว่า สิ่งที่ไม่ดีสำหรับเด็กก็ไม่ดีสำหรับผู้ใหญ่เฉกเช่นเดียวกัน

แน่นอนในบางกรณีมันก็มีขอบเขตที่พอยอมรับได้บ้าง แต่โดยรวมแล้วเราต้องการที่จะบริโภคสิ่งที่ดีที่สุดผ่านสายตาและผ่านใบหูของเรา

หวังว่าเมื่อเรายึดมั่นกับสิ่งเหล่านี้หรือเริ่มต้นด้วยกับสามสิ่งนี้ ได้แก่ คน สถานที่ และสิ่งต่าง ๆ และรักษาความบริสุทธิ์ระหว่างการปฏิสัมพันธ์ของเรากับทั้งสามปัจจัยนี้ไว้ เราก็จะสามารถเริ่มชำระล้างหัวใจของเราได้จริง ๆ และสิ่งเหล่านี้ก็จะส่งผลต่อร่างกายของเราด้วยวิธีอันบริสุทธิ์ อินชาอัลลอฮฺ

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net

ซื้ออาหารที่ไม่ฮาลาลให้แมวเป็นที่อนุญาตหรือไม่ ?

:: [คำถาม] ::
การซื้อของเล่นให้แมวที่มีดวงตาติดอยู่ เช่น ตุ๊กตาหนูให้มันเล่นเป็นที่อนุญาตหรือไม่ เช่นเดียวกัน การซื้ออาหารที่ไม่ฮาลาล (แต่ไม่ใช่เนื้อหมู) เช่น ไก่ เนื้อวัว อาหารแบบเปียก อาหารนี้จะฮาลาลหรือไม่

:: [คำตอบ] ::
โดยทั่วไปแล้ว มันเป็นที่ต้องห้ามที่จะเก็บรูปภาพหรือรูปจำลองไว้ และเราถูกสอนให้ลบลักษณะหน้าตาของมัน ดังที่หะดีษของอบุล อัล อะสะดีย์ กล่าวว่า อะลี รดิยัลลอฮุ อันฮุ กล่าวกับฉันว่า “ฉันจะไม่สั่งเสียท่านในภารกิจหนึ่งเฉกเช่นที่ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม สั่งเสียฉันกระนั้นหรือ” ท่านอย่าได้ทิ้งรูปจำลองใดก็ตามโดยที่ไม่ได้ลบลักษณะหน้าตามันทิ้งหรือจะต้องไม่ประดับประดาหลุมฝังศพ ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ปฏิเสธที่จะเข้าบ้านของท่านหญิงอาอิชะฮฺเมื่อนางได้รับหมอนที่รูปภาพ และท่านนบีฉีกม่านที่มีรูปภาพและกล่าวว่ามะลาอิกะฮฺจะไม่เข้าบ้านที่มีหมาหรือรูปภาพ รูปจำลอง มีหะดีษจำนวนมากที่กล่าวถึงหัวข้อนี้ทั้งในเศาะฮี้ยฺทั้งสองและที่อื่น ๆ
ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ จากข้อห้ามการเก็บรักษาภาพ นอกจากสิ่งที่ปรากฎในรายงานที่กล่าวว่ามันอนุญาตในกรณีของเล่นสำหรับเด็กเล็ก

ดังนั้น หากคุณลบรูปโฉมจากของเล่นเหล่านี้ ฉะนั้นข้อห้ามจะได้รับการยกเว้นและอนุญาตให้เก็บมันไว้ได้

แต่ถ้าคุณไม่ลบรูปลักษณ์บนใบหน้าก็ไม่อนุญาตให้ซื้อหรือเก็บไว้ ไม่ว่าจะสำหรับแมว สำหรับการตกแต่งหรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ยกเว้นสิ่งที่ได้รับอนุญาตในคำสอนของอิสลาม ได้แก่ของเล่นสำหรับเด็กเล็ก

อนุญาตที่ให้อาหารแมวด้วยเนื้อ (ที่ไม่ได้เชือดในวิธีการที่กำหนดไว้) เนื้อหมูและอื่น ๆ และไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขว่าเนื้อจะต้องถูกเชือดตามวิธีการที่อิสลามกำหนดเท่านั้น ดังนั้นถ้าท่านพบเนื้อเหล่านี้ถูกโยนทิ้งไปหรือให้ท่านฟรี ดังนั้นท่านอาจนำมันมาให้กับแมวได้ สำหรับการซื้อ ไม่เป็นที่อนุญาต เนื่องจากมีบันทึกที่ถูกรายงานโดย อิหม่าม บุคอรีย์ (2236) และอิหม่ามมุสลิม (1581) จากท่านญาบิร อิบนุ อับดุลลอฮฺ รดิยัลลอฮุ อันฮุ ได้ยินท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ทรงห้ามซื้อแอลกอฮอล์ สัตว์ที่ตายเอง เนื้อสุกรและรูปเจว็ด”

อิหม่าม อัน-นะวาวียฺ รหิมาฮุลลอฮฺกล่าวว่า “อนุญาตทีจะให้เนื้อสัตว์ที่ตายเองกับนกแต่ไม่อนุญาตให้ซื้อ”มัจญฺมูอฺ (9/285)

มีผู้ถาม ชัยคฺ อิบนุ อุษัยมีน รหิมาฮุลลอฮฺ อาหารแมวกระป๋องที่บรรจุเนื้อสุกร อนุญาตให้ซื้อและให้แมวกินได้หรือไม่ ?

ชัยคฺ ตอบว่า ถ้าเป็นการซื้อ ฉะนั้นไม่เป็นที่อนุมัติเพราะไม่อนุญาตให้ซื้อและจ่ายค่าเนื้อสุกร

แต่ถ้าบางคนพบว่ามันถูกทิ้งแล้วนำไปเป็นอาหารแมว ดังนั้นไม่มีความผิดอันใดในเรื่องนี้และอัลลอฮฺรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง

กฏเกณฑ์เกี่ยวกับกัญชา เห็ดขี้ควาย (psilocybin mushrooms) ยากล่อมประสาทเมสคาลีน (mescaline) และอื่นๆ

:: [คำถาม] ::
ยาที่ทำให้เกิดประสาทหลอนเช่น กัญชา เห็ดขี้ควาย (Psilocybin mushrooms) ยาแอลเอสดี (LSD) และยากล่อมประสาทเมสคาลีนเป็นสิ่งต้องห้ามหรือไม่ในหลักการอิสลาม ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าหนึ่งในตัวยาเหล่านี้ทำให้เสียชีวิตหรือทำให้เจ็บป่วย ตรงกันข้ามกลับมีผลสะท้อนในทางที่ดีสำหรับการใช้ยาเหล่านี้ เช่นเกิดความรู้แจ้งทางจิตวิญญาณ การเข้าใจชีวิตที่แตกต่างกันออกไป และบางกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาโดยหันเข้ารับอิสลาม

:: [คำตอบ] ::
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

กัญชาถือเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการมึนเมา ได้มาจากต้นกัญชา (Cannabis indica) ซึ่งเป็นพืชที่ก่อให้เกิดการมึนเมา ดังนั้นบทบัญญัติที่มีต่อมันคือหะรอม (ต้องห้าม) ตามที่เราได้เคยอธิบายรายละเอียดและแจกแจงหลักฐานมาแล้ว
สำหรับเมสคาลีน (mescaline) ที่เป็นแคบซูลนั้นเป็นสารที่ได้มาโดยการสกัดจากต้นกระบองเพชรชนิดหนึ่ง ทางตอนเหนือของแม็กซิโกจะรู้จักกันในชื่อพิโยตี้ (peyote) ถือว่าเป็นสารเสพติดมึนเมาทำให้เกิดภาพหลอนและมองเห็นภาพเป็นสีสันต่าง ๆ

ซิลโลไซบิน (Psilocybin) เป็นสารสกัดที่ได้มาจากเห็ดบางชนิด เช่น เห็ดขี้ควายแม็กซิโก (the Mexican psilocybin mushroom) นับเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งซึ่งมีโทษต่อร่างกายที่รุนแรงยิ่งกว่าเมสคาลีน

ในส่วนของยา แอลเอสดี (LSD) ที่ท่านกล่าวถึงนั้นเป็นชื่อย่อของ lysergic acid diethylamide มีการสังเคราะห์ครั้งแรกในบริษัทยาของสวิสเซอร์แลนด์เมื่อปี พ.ศ. 2481 โดยเภสัชกรที่ชือ อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ (Albert Hofmann) และนำมาแบ่งเป็นไมโครกรัมเนื่องจากมีความรุนแรงมากที่สุดในกลุ่มยาหลอนประสาท ต่อมายาชนิดนี้ถูกห้ามใช้ในปี พ.ศ. 2509 และถูกจัดเป็นยาเสพติดผิดกฏหมายอันเนื่องมาจากผลเสียที่รุนแรงเมื่อนำมาใช้ เช่นจิตตกถึงขั้นทำร้ายตนเองจนเสียชีวิต

สิ่งที่กล่าวถึงในคำถามเกี่ยวกับยาเหล่านี้ว่าไม่เป็นอันตรายนั้น คำกล่าวนี้จำเป็นจะต้องปฏิเสธ เพราะในความเป็นจริงพวกมันสร้างความเสียหายทั้งต่อจิตใจและร่างกาย เพราะทั้งซิลโลไซบิน เมสคาลีน และแอลเอสดีล้วนเป็นสารเสพติดหลอนประสาทซึ่งส่งผลอย่างรุนแรงต่อระบบความคิด อารมณ์และพฤติกรรมต่างๆ มันจะให้เกิดภาพหลอน สับสนทางความคิด ประสาทหลอนทางหูและการมองเห็น เกิดความเฉื่อยชาและโรคจิตเภท ความสามารถในการรับรู้เปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่เสพสารเสพติดเหล่านี้บางครั้งก็หัวเราะออกมาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ

อาการที่พบของผู้ที่เสพยาเหล่านี้อาจรวมไปถึงการสูญเสียความรู้สึกที่ถูกต้องต่อเวลาและสถานที่ และการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เขาอาจเข้าใจไปว่าเวลาหนึ่งนาทีนั้นยาวนานจนถึงนาทีสุดท้ายของชิวิต เขาอาจมองเห็นวัตถุที่ตั้งนิ่งราวกับว่ามันกำลังเคลื่อนเข้ามาหาเขาหรือเคลื่อนหนึห่างจากเขา

นอกจากนั้นแล้วยังเกิดอาการกับร่างกายเช่นอาการคลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออกมากผิดปกติ หน้าซีด รูม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็วและอื่นๆ

จากที่กล่าวมา สารเสพติดทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) เนื่องจากอันตรายของมันที่เกิดกับร่างกายของผู้เสพ ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “จะต้องไม่ทำอันตรายตนเอง และจะต้องไม่ทำอันตรายระหว่างกัน” บันทึกโดยอิมามอะหมัด ในอัลมุสนัด (2865) อิบนุมาญะฮ์ (2341) และชัยค์อัลบานีย์กล่าวว่าเป็นหะดีษเศาะฮีฮ์

ถ้าเราคิดว่าอันตรายของยาเหล่านี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด มันก็เพียงพอที่จะไม่อนุมัติให้มาเสพได้ เพราะเป็นที่ชัดเจนว่ามันทำให้เกิดการมึนเมาและทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งเหตุผลนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ยาเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้าม ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “ทุกสิ่งที่ทำให้มึนเมานั้นคือ ค็อมร์ และทุกสิ่งที่ทำให้มึนเมานั้นหะรอม ใครก็ตามที่ดื่มเหล้าบนโลกนี้และเสียชิวิตในสภาพที่ติดเหล้าและไม่ได้เสียใจกลับเนื้อกลับตัว เขาจะไม่ได้ดื่มมันในวันโลกหน้า” รายงานโดยอัลบุคอรีย์ (5575) และมุสลิม (2003)

ในความเป็นจริงแม้เราจะคิดว่าผู้ที่เสพมันโดยไม่ถึงขั้นที่ทำให้มึนเมา แม้ว่าจะเสพจำนวนมากก็ตาม แต่อย่างน้อยมันทำให้ผู้เสพรู้สึกเซื่องซึมหรืออ่อนเปลี้ย และสิ่งใดก็ตามที่ส่งผลทำให้เกิดลักษณะเช่นนี้ย่อมไม่สามารถที่จะอนุญาตให้บริโภคได้ เนื่องจากมีรายงานจากอุมมุสะลามะฮ์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาเธอ)กล่าวว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ได้ห้ามทุกสิ่งที่ทำให้มึนเมาหรือทำให้เกิดความเฉื่อยชา รายงานโดย อบูดาวุดในสุนันของท่าน (3686) อิมามอะหมัดในอัลมุสนัด (26634) อิมามบัยฮะกีย์ในสุนันอัลกุบรอ (17399) และอัลหาฟิซ อัลอิรอกิกล่าวว่าสายรายงานนั้นถูกต้อง อ้างจาก ฟัยฎ์ อัลเกาะดีรฺ (6/338)

อัลค็อฏเฏาะบีย์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้คนหนึ่งอ่อนเปลี้ยหรือเครื่องดื่มใด้ก็ตามที่ทำให้เกิดความอ่อนเปลี้ยและเฉื่อยชาของอวัยวะของร่างกาย ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของสิ่งมึนเมา ย่อมถูกห้ามมิให้ดื่มด้วยเกรงว่ามันจะนำไปสู่การมึนเมา (มะอาลิม อัสสุนัน 4/267)

สำหรับหะดีษนี้ศึกษาคำอธิบายเพิ่มเติมได้ใน เอานุลมะบูด และฮาชิยาต อิบนุอัลก็อยยิม (10/91)

สำหรับมุมมองของผู้ตั้งคำถามที่เห็นว่ายาเหล่านี้ “มีผลดีอยู่บ้าง” นั้น ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงกฎชะรีอะฮ์ได้แม้เพียงเล็กน้อย แม้เราจะยอมรับว่านี้เป็นความจริง เหล้าซึ่งเป็นแม่แห่งความชั่วร้ายทั้งหลายในนั้นก็มีประโยชน์อยู่บ้าง อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ตรัสไว้ในซูเราะห์อัลบะเกาะเราฮ์ อายะฮ์ที่ 219 ว่า

“พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับน้ำเมา และการพนัน จงกล่าวเถิดว่า ในทั้งสองนั้นมีโทษมากและมีคุณหลายอย่างแก่มนุษย์ แต่โทษของมันทั้งสองนั้นมากกว่าคุณของมัน”

ดังนั้นพระองค์ทรงยืนยันว่ามันมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ตามการห้ามมันเป็นสิ่งทีต้องเน้นย้ำอย่างหนักแน่น เพราะอันตรายและผลเสียของมันมีมากกว่าประโยชน์ของมันเสียอีก

อิบนุกะษีร์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่กล่าวว่า “จงกล่าวเถิดว่า ในทั้งสองนั้นมีโทษมากและมีคุณหลายอย่างแก่มนุษย์” สำหรับบาปของมันนั้นมีผลต่อการยึดมั่นในศาสนา ส่วนประโยชน์นั้นเป็นเพียงประโยชน์ทางโลก เพราะอาจมีประโยชน์กับร่างกายอยู่บ้างโดยช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับถ่ายของเสีย ช่วยให้ตื่นตัวและทำให้รื่นเริง ดังที่ฮัสซาน บินษาบิตกล่าวไว้ก่อนเข้ารับอิสลามว่า “เราดื่มมันและมันทำให้เรากลายเป็นกษัตริย์และสิงห์โตผู้ไม่กลัวการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู”

แต่ประโยชน์ของมันไม่อาจเทียบได้กับอันตรายและผลร้ายที่จะตามมา เพราะมันส่งผลทั้งต่อสติปัญญาและการยึดมั่นในศาสนา ดังนั้นอัลลอฮฺตรัสว่า “บาปของมันใหญ่กว่าประโยชน์ของมัน” อ้างจากอิบนุกาษีรฺ (1/579) และดู ตัฟสีรฺอัลกุรฏุบีย์ (3/57)

ผู้รู้จากคณะกรรมการถาวรเพื่อการวินิจฉัยปัญหากล่าวไว้เกี่ยวกับการห้าม “อัลกอต”ว่า แม้มันจะมีประโยชน์อยู่บ้างหากบริโภคมัน แต่เนื่องจากผลร้ายของมันมีมากกว่าประโยชน์ของมัน พวกเขากล่าวว่า แม้เราจะคิดว่า อัลกอต จะมีประโยชน์อยู่บ้างแต่ความเสียหายที่ได้รับกลับมีมากกว่าหลายเท่า

สรุป
สิ่งที่กล่าวไว้ในคำถามเกี่ยวกับสารเหล่านี้ว่าไม่เป็นอันตรายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แท้จริงแล้วมันสารเป็นอันตราย ท่านสามารถหาคำตอบเกี่ยวกับโทษของมันได้ด้วยการปรึกษาผู้ที่เชี่ยวชาญหรือในเว็บไซต์ที่ให้ความรู้ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

นอกจากนั้นแล้วสารเสพติดเหล่านี้ยังส่งผลที่เสียหาย ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการมึนเมาหรือและอ่อนเปลี้ย ซึ่งทำให้พวกมันกลายเป็นสิ่งต้องห้าม

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.Info

สเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด) : นิยามสเต็มเซลล์และกฏเกณฑ์ของการเก็บสเต็มเซลล์ในธนาคารเซลล์เพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์

:: [คำถาม] ::
ข้าพเจ้าต้องการทราบทรรศนะของอิสลามที่มีต่อสเต็มเซลล์และธนาคารเซลล์ โดยธนาคารเซลล์คือสถานที่เก็บรักษาสเต็มเซลล์ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมแลกกับการเก็บรักษาตามระยะเวลา ซึ่งมักยาวนานเป็นปีๆ ทั้งนี้เป็นการเผื่อว่าอาจจะต้องนำไปใช้ในอนาคตข้างหน้า

:: [คำตอบ] ::
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ
1. สเต็มเชลล์ที่อ้างถึงในคำถามนั้น ได้มาจากรกและสายสะดือทารกหลังการคลอด เซลล์ที่นำมาจากสะดือทารกเหล่านี้มีบทบาทในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยโรคเลือด (โรคที่มีความผิดปกติของเม็ดเลือดต่างๆ) เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและโรคโลหิตจางนอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้เพื่อรักษาโรคทางระบบประสาทเช่นความพิการทางสมอง โรคอัลไซเมอร์เป็นต้น เซลล์เหล่านี้จะไม่โดนโจมตีจากระบบภูมิคุ้มกันเพราะมันสามารถพัฒนาให้อยู่ในสภาพธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว สะดือจะมีลักษณะคล้ายกับเชือกซึ่งเชื่อมต่อทารกในมดลูกกับรก โดยมีหลอดเลือดแดงสองเส้นและหลอดเลือดดำหนึ่งเส้นหลอดเลือดแดงจะนำเลือดซึ่งมีของเสียจากทารกในครรภ์ไปยังรกและหลอดเลือดดำจะนำออกซิเจนและสารอาหารจากเลือดของมารดาไปยังทารกในครรภ์ (ที่มา อัลเมาสูอะฮ์ อัลอะเราะบิยฺยะฮ์ อัลอะลามิยฺยะฮ์)

2. แหล่งที่มาของสเต็มเซลล์สามแหล่ง
(ก) สเต็มเซลล์ที่นำมาจากตัวอ่อนของมนุษย์อายุ 5 วัน จนถึงสองสัปดาห์
(ข) สเต็มเซลล์ที่นำมาจากวัยผู้ใหญ่ ซึ่งดึงมาใช้สองรูปแบบ
(1) จากไขกระดูก นั่นคือจากกระดูกตนเองเช่นจากกระดูกเชิงกรานหรือหน้าอกปัญหาที่เกิดขึ้นกับวิธีนี้ก็คือความเจ็บปวดและต้องใช้ยาสลบอีกทั้งยังใช้เวลาค่อนข้างนาน นอกจากนี้แล้วจำนวนสเต็มเซลล์ที่ได้มาจากวิธีการนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย
(2) นำมาจากเลือด วิธีการนี้จำเป็นต้องใช้เลือดจำนวนมาก แล้วนำมากรองแต่ท้ายที่สุดแล้วจะได้สเต็มเซลล์ในจำนวนที่เล็กน้อยเท่านั้น
(ค) แหล่งสุดท้ายและเป็นแหล่งที่สำคัญมากคือการนำสเต็มเซลล์จากสายสะดือ ซึ่งมีสเต็มเซลล์อยู่เป็นจำนวนมากซึ่งอาจมีสเต็มเซลล์อยู่ถึง 200 ล้าน

3. ดังนั้น จึงมีการคิดค้นและการพัฒนาการเก็บรักษาเซลล์เหล่านี้โดยการเก็บไว้ใน “ธนาคาร” ในดูไบมีธนาคารสเต็มเซลล์ทั้งจากภาครัฐและเอกชนและในเจดดาห์มีบริษัทเอกชนที่จัดเก็บเซลล์ไว้สำหรับผู้ที่ต้องการ โดยมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ธนาคารเหล่านี้ได้วางมาตรการเพื่อรับประกันว่าเซลล์จะไม่ถูกดัดแปลง เจ้าของสามารถติดตามและตรวจสอบเซลล์เช่นเดียวกับที่เขาสามารถตรวจสอบเงินในบัญชีธนาคารของเขานายแพทย์บางท่านกล่าวว่าเซลล์เหล่านี้อาจเก็บไว้ได้นานถึง 25 ปี และแพทย์บางท่านกล่าวว่าเป็นไปได้ที่จะเก็บไว้ได้นานตลอดชีวิต

4. เซลล์เหล่านี้ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะกับเจ้าของเซลล์ที่ประสบกับโรคเท่านั้น แต่สามารถบริจาคให้กับผู้อื่นได้ด้วย สเต็มเซลล์ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอาการป่วยและเป็นทางเลือกที่ดีในการผ่าตัดไขสันหลังอักเสบจากมุมมองทางการแพทย์สเต็มเซลล์ถือเป็นทางเลือกในการบริจาคอวัยวะเนื่องจากสามารถสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ทดแทนเซลล์ที่เสียหายของคนไข้ได้

สำหรับเจ้าของสเต็มเซลล์นั้นย่อมเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบกับเซลล์ของเขาเพียงคนเดียว ส่วนสมาชิกในครอบครัวเดียวกันกับเขามีความเป็นไปได้ของการเข้ากันได้จะแตกต่างกันไประหว่าง 25% ถึง 40% ทั้งหมดนี้สามารถนำมาใช้ได้ตราบเท่าที่แม่ไม่มีโรคติดต่อเช่นโรคไวรัสตับอักเสบหรือโรคเอดส์ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องทำการทดสอบเลือดของมารดาก่อนที่จะเก็บสเต็มเซลล์

จากที่กล่าวมา หากแต่ละคนเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองไว้ จึงมีความเห็นตรงกันว่าอนุญาตให้ทำได้

5. จากประโยชน์ของสเต็มเซลล์ที่นำมาจากสายสะดือ จึงทำให้บางส่วนของผู้ที่ไม่เกรงกลัวอัลลอฮฺรีบเร่งที่จะได้รับสายสะดือด้วยการเจตนาทำให้เกิดการแท้ง เราเสียใจที่จะกล่าวว่าบางส่วนของพวกเขาเชื่อว่าชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับการทำเช่นนั้นดังนั้นสภานิติศาสตร์อิสลามกล่าวไว้ชัดเจนว่า เป็นสิ่งต้องห้ามในการเจตนาทำแท้งโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้สามารถใช้อวัยวะจากตัวอ่อนรวมทั้งสเต็มเซลล์ด้วยซึ่งมีใจความดังนี้

สภานิติศาสตร์อิสลามได้จัดการประชุมครั้งที่หก ที่กรุงเจ็ดดะฮ์ ประเทศสะอุดิอารเบียเมื่อวันที่ 14-20 เมษายน 2533 ซึ่งหลังจากที่ได้ทำการศึกษาวิจัยและอภิปรายในประเด็นนี้ โดยมีหัวข้อว่า การใช้ทารกในครรภ์เป็นแหล่งที่มาของการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งยังเป็นหนึ่งในหัวข้อการประชุมของสภานิติศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 6 จัดขึ้นที่ประเทศคูเวตระหว่างวันที่ 23-26 ตุลาคม 2533 อันเป็นความร่วมมือระหว่างสภาแห่งนี้กับองค์กรวิทยาศาสตร์การแพทย์อิสลามซึ่งได้กำหนดแนวทางไว้ดังนี้ :

(ก) ไม่อนุญาตให้ใช้ตัวอ่อนในครรภ์เพื่อเป็นแหล่งที่มาของอวัยวะที่ใช้ในการปลูกถ่ายให้กับปัจเจกบุคคล ยกเว้นในบางกรณีที่จำเป็นและจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
(ข) ไม่อนุญาตให้มีการตั้งใจทำแท้งโดยมีจุดประสงค์เพื่อจะนำตัวอ่อนในครรภ์มารดามาใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะให้กับปัจเจกบุคคล ยิ่งไปกว่านั้นการทำแท้งควรจำกัดเฉพาะที่เป็นไปตามธรรมชาติ (เช่นการแท้งบุตร) ไม่ใช่ด้วยการตั้งใจทำแท้ง หรือการทำแท้งนั้นสอดคล้องกับเหตุผลอันสมควรตามหลักชะรีอะฮ์อิสลาม
(ค) หากตัวอ่อนหรือทารกนั้นยังมีชีวิตอยู่ การบำบัดรักษาจะต้องเน้นไปที่การปกป้องชีวิต และจะต้องไม่นำไปใช้เพื่อการปลูกถ่ายอวัยวะ หากทารกนั้นเสียชีวิตแล้วจึงจะอนุญาตให้ใช้ได้โดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กล่าวไว้ในหัวข้อที่ (1) ของการประชุมสภาครั้งที่ 4 ซึ่งได้อภิปรายประโยชน์สำหรับมนุษย์จากอวัยวะของมนุษย์คนอื่น ขณะมีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว
(2) ไม่อนุญาตให้ใช้กระบวนการปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อการค้าไม่ว่ากรณีใดๆ
(3) จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมอบอำนาจในการดูแลการปลูกถ่ายอวัยวะไปยังคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญและบุคคลที่น่าเชื่อถือ

6. ดูเหมือนว่า (อัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่ง) สามารถใช้ประโยชน์จากเซลล์ที่พบในสายสะดือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสายสะดือถูกทิ้งแล้ว
สภานิติศาสตร์ขององค์การการประชุมอิสลาม (OIC) ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมซึ่งจัดขึ้นที่ (6 กุมภาพันธ์2531) ดังข้อความต่อไปนี้:

ประการแรก อนุญาตให้มีการปลูกถ่ายอวัยวะจากตำแหน่งในร่างกายของบุคคลหนึ่งไปยังส่วนอื่นๆในร่างกายของบุคคลเดียวกัน โดยจะต้องแน่ใจว่าการปลูกถ่ายนี้จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะเกิดโทษและภายใต้เงื่อนไขที่ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนอวัยวะที่สูญเสียไปหรือปรับรูปที่ผิดปกติหรือเปลี่ยนการทำงานหรือแก้ไขข้อบกพร่องหรือลบความผิดปกติที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดทางจิตใจหรือทางร่างกาย

ชัยค์อิบรอฮีม อัลฟัยยูมีย์ เลขาธิการสภาวิจัยอิสลาม (The Islamic Research Council) ในอียิปต์กล่าวว่า สภาพบว่าการสร้างและการเลี้ยงเนื้อเยื่อและเซลล์เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากมันในการบำบัดรักษาโรคของมนุษย์ซึ่งทำโดยการใช้สเต็มเซลล์ ซึ่งไม่มีความผิดแต่ประการใดที่จะทำเช่นนั้น การสรุปนี้อ้างจากคำกล่าวของศาสตราจารย์ดร.อิบรอฮีม บัดรานสมาชิกของสภาและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

ท่านได้กล่าวว่า สภาได้ให้ความสนใจต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆในสาขาวิทยาศาสตร์ที่สำคัญนี้และยอมรับว่าการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เป็นการเปิดประตูสำหรับการรักษารูปแบบใหม่ๆซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้เสียชีวิตหรือผู้บริจาคเท่านั้นท่านกล่าวว่า อิสลามไม่ได้คัดค้านวิทยาศาสตร์ที่ประโยชน์แก่มนุษย์

และยังกล่าวต่อไปอีกว่า ไม่มีเหตุผลของทางชะรีอะฮ์ใดๆที่จะห้ามไม่ให้มีการจัดตั้งธนาคารเพื่อเก็บสเต็มเซลล์ตราบใดทีนำมาใช้เพื่อรักษามนุษย์

7. เราควรชี้ให้เห็นว่าไม่อนุญาตให้ใครก็ตามบริจาคสเปิร์ม (เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้) หรือไข่เพื่อผลิตไซโกต (zygotes-ไข่ที่ปฏิสนธิ) ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นทารกในครรภ์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้สเต็มเซลล์ นอกจากนี้ยังไม่อนุญาตให้ใช้การโคลนนิ่ง (cloning) เพื่อให้ได้สเต็มเซลล์จากทารกในครรภ์การอนุญาตจะจำกัดเฉพาะการได้รับสเต็มเซลล์จากสายสะดือเท่านั้น

แถลงการณ์โดยสภาอิสลามนิติบัญญัติอิสลาม หมายเลข54 (6/5) ว่าด้วยหัวข้อการปลูกถ่ายเซลล์สมองและเซลล์ประสาทมีข้อความดังต่อไปนี้

หัวข้อหนึ่งจากสภานิติบัญญัติอิสลามที่จัดขึ้นในระหว่างการประชุมครั้งที่หกที่กรุงเจดดาห์ประเทศสะอุดิอารเบีย 14-20 มีนาคมพ.ศ. 2533 หลังจากที่ได้มีการศึกษางานวิจัยและข้อเสนอแนะ หัวข้อนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อการประชุมนิติศาสตร์ทางการแพทย์ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศคูเวต 23-26 ต.ค. 2533ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสภานี้กับองค์การวิทยาศาสตร์การแพทย์อิสลาม ซึ่งในที่ประชุมได้นำข้อสรุปมาอ้าง

และทราบดีว่ากรณีนี้ไม่ได้หมายถึงการการย้ายสมองของคนคนหนึ่งไปให้คนอื่น แต่เป้าหมายของการปลูกถ่ายนี้คือการรักษาเซลล์ในสมองที่เสียหายซึ่งไม่สามารถขับสารเคมีหรือฮอร์โมนได้อย่างเพียงพอดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการเสริมด้วยเซลล์ที่คล้ายกันจากแหล่งอื่นหรือปลูกถ่ายเพื่อรักษาช่องว่างในระบบประสาทที่เกิดจากการบาดเจ็บ สภาได้กำหนดกำหนดต่อไปนี้แนวทางดังนี้

ประการแรก หากที่มาของเนื้อเยื่อคือต่อมหมวกไต (adrenal gland) จากผู้ป่วยเอง และทำให้เกิดผลในทางบวกนั่นคือไม่มีการปฏิเสธจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเนื่องเซลล์มาจากร่างเดียวกัน จึงถือว่าไม่เป็นความผิดแต่ประการใดจากมุมมองของชะรีอะฮ์

ประการทีสอง หากแหล่งที่มาคือลูกในครรภ์ของสัตว์(fetus) ถือว่าไม่เป็นความผิดบาปในการใช้วิธีนี้หากว่ามันประสบผลสำเร็จและไม่มีข้อจำกัดจากชะรีอะฮ์แพทย์กล่าวว่าวิธีการนี้ประสบความสำเร็จในสัตว์ชนิดต่างๆและหวังว่าจะประสบความสำเร็จแต่ต้องมีมาตรการป้องกันทางการแพทย์ที่จำเป็นทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน

ประการที่สาม หากแหล่งที่มาของเนื้อเยื่อเป็นเซลล์ที่มีชีวิตจากสมองของตัวอ่อนแรกเริ่มซึ่งมีอายุในช่วงสิบถึงสิบเอ็ดสัปดาห์ กฏเกณฑ์จะแตกต่างกันออกไปตามหัวข้อต่อไปนี้:

(ก) วิธีแรก นำเนื้อเยื่อจากทารกในครรภ์มารดาโดยตรงโดยการผ่าตัดเปิดมดลูกวิธีนี้ส่งผลให้ทารกในครรภ์มารดาเสียชีวิตทันทีที่นำเอาเซลล์สมองออกมา วิธีการนี้เป็นสิ่งที่หะรอม (ต้องห้าม) เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดขึ้นหลังจากการแท้งบุตร หรือการทำแท้งที่ชะรอะฮ์อนุมัติเพื่อช่วยชีวิตมารดาและหลังจากที่ได้ตรวจสอบว่าทารกในครรภ์เสียชีวิต ในขณะเดียวกันจะต้องให้ความสำคัญกับเงื่อนไขที่จะนำมากล่าวถึงในหัวข้อของการใช้ตัวอ่อนในคำแถลงหมายเลข 59 (6/8) ของการประชุมรอบนี้

(ข) วิธีที่สอง เป็นวิธีการที่อาจจะนำมาใช้ในอนาคตเร็วๆนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปลูกเซลล์สมองในฟาร์ม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ วิธีการนี้ไม่มีความผิดใดๆจากมุมมองของชะรีอะฮ์ หากที่มาของเซลล์เป็นสิ่งได้รับการอนุมัติ และปฏิบัติในลักษณะที่สอดคล้องกับสิ่งที่อิสลามอนุญาต

8. ทุกประเทศจะต้องร่วมกันต่อต้านการทำแท้งทารกในครรภ์เพื่อให้ได้อวัยวะและเซลล์ของเหล่านี้ และไม่อนุญาตให้รับเอาผลประโยชน์จากสิ่งที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายในการมีส่วนร่วมในการจัดตั้งธนาคารเซลล์องค์กรที่มีความน่าเชื่อถือควรเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้และควรเก็บรวบรวมเซลล์เหล่านี้ด้วยรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับของหลักการอิสลามเพื่อให้สามารถรักษาผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายเซลล์

9. หลังจากเขียนข้อความข้างต้นแล้ว เราได้ตรวจสอบคำแถลงของสภานิติบัญญัติอิสลามซึ่งเชื่อมโยงกับสันนิบาติมุสลิมโลก (Muslim World League -MWL) ว่าด้วยสเต็มเซลล์ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เราระบุไว้ข้างต้นเราจะบันทึกไว้ที่นี่เพื่อสรุปสิ่งที่ระบุไว้ข้างต้น และให้ความสำคัญก่อนคำแถลงอื่น ๆ เนื่องจากเป็นความเห็นของนักวิชาการที่มีคุณธรรมที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และชะรีอะฮ์

คำแถลงของสภานิติบัญญัติอิสลามมีดังนี้
สภานิติบัญญัติแห่งสันนิบาตมุสลิมโลก (Council of the Muslim World League) ในการประชุมครั้งที่ 7 ที่เมืองมักกะฮ์ เมื่อปี พ.ศ. 2546 ได้อภิปรายในหัวข้อการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ กล่าวถึงหัวข้อการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ว่าด้วยแหล่งที่มาพื้นฐานของเซลล์ สอดคล้อกับข้อเสนอแนขององค์กรในการประชุมครั้งที่หกในปี 2532 ตามที่ได้นำมาอ้างข้างต้น ในแถลงการณ์ที่สามของสภานิติบัญญัติอิสลาม ฉบับลงวันที่ 17/12/2546 กล่าวไว้ดังนี้

สเต็มเซลล์ซึ่งเป็นเซลล์ทีมีต้นกำเนิดจากตัวอ่อนโดยถูกสร้างขึ้น สามารถที่จะ (ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์) พัฒนาเป็นเซลล์ต่างๆในร่างกายของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับเซลล์เหล่านี้และแยกพวกมันออกและทำให้มันเติบโตขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในทางการแพทย์และการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ดังนั้นพวกเขาสามารถนำมาใช้ในการรักษาโรค และพวกเขาคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในอนาคตในการรักษาโรคต่างๆรวมทั้งความผิดปกติของร่างกาย ตลอดจนโรคมะเร็งบางชนิด โรคเบาหวาน โรคไตและตับวายเป็นต้น

สเต็มเซลล์เหล่านี้สามารถนำมาจากหลายๆแหล่ง รวมทั้งที่จะกล่าวต่อไปนี้ :
(1) ตัวอ่อนในระยะบลาสทูบา (blastula) ซึ่งเซลล์จะจัดเรียงตัวเป็นรูปทรงกลม เซลล์ต่างๆของร่างกายจะเติบโตตรงนี้ ไซโกต (ไข่ที่ปฏิสนธิ) ที่เกิดขึ้ด้วยการทำให้มีการปฏิสนธิในหลอดทดลองถือได้ว่าเป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิจากผู้บริจาคเพื่อให้ได้ไซโกตและสร้างการเจริญเติบโตจนกว่าเซลล์จะพัฒนามาถึงระยะบลาสทูลา แล้วแยกสเต็มเซลล์ออกมา
(2) ทารกที่เกิดจากการแท้ง
(3) รกหรือสะดือ (The placenta or umbilical cord)
(4) เด็กหรือผู้ใหญ่
(5) การโคลนนิ่งซึ่งทำได้ด้วยการนำเอาเซลล์มาจากผู้ใหญ่แล้วดึงนิวเคลียสของมันออกจากนั้นใส่เข้าไปในไข่ที่นิวเคลียสของมันถูกกำจัดออก โดยมีจุดมุ่งหมายให้เข้าถึงระยะบลาสทูลา (the blastula stage) จากนั้นจึงจะดึงสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนที่อยู่ในระยะนี้

หลังจากรับฟังการนำเสนอผลงานวิจัยในหัวข้อนี้ตลอดจนความคิดเห็นของสมาชิกและผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์ชนิดนี้และแหล่งที่มาของมันรวมถึงวิธีการใช้งานดังกล่าวสภาได้ลงความเห็นดังต่อไปนี้

ประการแรก: อนุญาตให้รับสเต็มเซลล์และปลูกถ่าย ตลอดจนใช้เพื่อรักษาทางการแพทย์หรือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่หะลาลหากแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์นั้นหะลาล ดังตัวอย่างต่อไปนี้
(ก) ผู้ใหญ่ หากได้รับอนุญาตและจะต้องไม่นำไปสู่อันตราย
(ข) เด็ก โดยผู้ปกครองของพวกเขาต้องให้การยินยอม ซึ่งทำไปโดยมีจุดประสงค์ที่หลักการอิสลามอนุญาต และจะต้องไม่เป็นอันตรายแก่พวกเขา
(ค) รกและสายสะดือ โดยได้รับการยินยอมจากพ่อแม่
(ง) ทารกที่คลอดก่อนกำหนด (เช่นการแท้งบุตร) หรือทารกในครรภ์ที่เกิดจากการทำแท้งซึ่งดำเนินการโดยเหตุผลทางการแพทย์ที่ชะรีอะฮ์ให้การอนุญาต ตลอดจนการอนุญาตจากพ่อแม่
(จ) ไข่ที่ผ่านการปฏิสนธิ (zygotes) จากความพยายามให้มีการปฏิสนธิในหลอดทดลองหากได้รับบริจาคจากพ่อแม่ และมีข้อสังเกตว่าไม่อนุญาตให้ใช้วิธีการนี้เพื่อการการตั้งครรภ์หากพ่อกับแม่ไม่ได้สมรสกัน

ประการที่สอง : ไม่อนุญาตให้นำสเต็มเซลล์มาใช้หากแหล่งที่มาของมันนั้นหะรอม ตัวอย่างเช่น:
(1) ทารกในครรภ์ที่มีการทำแท้งโดยเจตนาโดยที่ไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะทำให้ได้รับอนุญาตตามหลักการชะรีอะฮ์
(2) ไซโกต(Zygotes) ที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิจากผู้บริจาคซึ่งมิได้เป็นสามีภรรยากัน
(3) การโคลนนิ่ง (Cloning)

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.Info

มาทำความเข้าใจวิทยปัญญาเบื้องหลังซะกาตฟิตเราะฮฺ

ซะกาตุลฟิฏรฺ บางครั้งเรียกว่า ศอดาเกาะตุลฟิฏรฺ ทั้งสองคำนี้หมายถึง “กุศลทานเพื่อการละศีลอด” เนื่องจากเป็นการจ่ายในช่วงท้ายของเดือนรอมฎอนเมื่อฤดูกาลแห่งการถือศีลอดกำลังจะสิ้นสุดลง

ชื่อ “ซะกาตุลฟิฏรฺ” อาจหมายถึง ฟิฏเราะห์ หรือวิถีทางตามธรรมชาติ ดังที่กล่าวไว้ในโองการที่ว่า

“(โดยเป็น) ธรรมชาติของอัลลอฮฺซึ่งพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา” (30:30)

ซะกาตนี้ไม่ใช่การจ่ายภาษีตามความมั่งคั่งของบุคคล เป็นการจ่ายให้ในนามของแต่ละบุคคลคล้าย ๆ กับภาษีรายหัว แน่นอนว่าบางครั้งถูกเรียกว่า ซะกาตุลรอ (เช่น “ภาษีรายหัว”) หรือ ซะกาตุลบะดาน (“ภาษีรายตัว”)

|| วิทยปัญญาเบื้องหลังซะกาตุลฟิฏรฺ ||
ซะกาตนี้เป็นการชำระในส่วนที่ผู้ถือศีลอดบกพร่องในการถือศีลอดของเขาหรือเธอในเดือนรอมฎอน ไม่มีบุคคลใดสามารถถือศีลอดได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน เราทุกคนต่างพูดหรือทำในสิ่งที่เราไม่ควรทำ เราอาจพูดถึงคนอื่นในระหว่างเดือนนี้ หรือเราอาจมองดูบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ควรดู

ซะกาตนี้ช่วยให้คนยากจนได้ร่วมรื่นเริงในวันอีดพร้อมกับคนอื่น ๆ นี่คือเหตุผลที่ต้องจ่ายภายในเช้าของวันอีดหรือคืนก่อนหน้านั้น

อีดเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง เป็นวันสำหรับการดื่มกินและการสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ เมื่อเราจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺในช่วงเวลานี้จะทำให้คนยากจนรู้สึกร่วมเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาแห่งความสุขสันต์โดยรวมพวกเขาไว้ในจิตวิญญาณของเทศกาลในวันอีดนี้ วันนี้พวกเขาไม่ควรอดอยากหิวโหย พวกเขาไม่ควรรู้สึกว่าได้รับการละเลยกีดกันหรือถูกทอดทิ้ง

นี่คือเหตุผลที่นักวิชาการหลายท่านรวมถึง อิบนุ ตัยมียะฮ์ และ อิบนุ ก็อยยิม กล่าวว่าควรมอบซะกาตุลฟิฏรฺให้กับคนยากจนและผู้ยากไร้ขัดสนเท่านั้น ไม่ใช่ชนชั้นอื่น ๆ ที่มีสิทธิ์ได้รับซะกาตนี้

ในท้ายที่สุดซะกาตุลฟิฏรฺจะช่วยบ่มเพาะนิสัยแห่งการให้ในหมู่สมาชิกของสังคม นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมภาระผูกพันในการจ่ายเงินเพื่อการสงเคราะห์เช่นนี้จึงเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีความสามารถทุกคนโดยไม่คำนึงถึงจำนวนทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งร่ำรวยที่บุคคลนั้นมี

|| กฎเกณฑ์ของซะกาตุลฟิฏรฺ ||
ประเด็นของซากาตุลฟิฏรฺนี้เป็นฉันทามติที่เป็นเอกฉันท์ในหมู่นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ว่าการจ่ายเงินซะกาต ลฟิฏรฺเป็นภาระผูกพันทางศาสนา เรื่องนี้ถูกกล่าวโดย อิบนุ อัล-มุนซิรฺ อัล–บัยฮากี และท่านอื่น ๆ
.
ซึ่งมีหลักฐานดังนี้
1. อัลลอฮฺตรัสว่า
“แน่นอนผู้ที่ขัดเกลาตนเองย่อมบรรลุความสำเร็จ และเขารำลึกถึงพระนามแห่งผู้เป็เจ้าของเขาแล้วเขาทำละหมาด” (87: 14-15)

อิบนุ อุมัรฺ อธิบายโองการนี้ว่าเป็นการอ้างถึงซากาตุลฟิฏรฺ

2. อิบนุ อุมัรฺ รายงานว่า ท่านนบีสั่งใช้ให้จ่ายซะกาตุลฟิฏรฺ จำนวนหนึ่งศออ์ เป็นอินทผลัม หรือข้าวบาร์เลย์ในนามของชายหญิงมุสลิมทุกคน ทั้งที่เป็นอิสรชนหรือเป็นทาส พวกเขาจะต้องชำระก่อนที่ผู้คนจะออกไปละหมาดอีด” (อัล บุคอรีย์ (1053) และมุสลิม (984))

ซะกาตุลฟิฏรฺเป็นข้อผูกมัดสำหรับผู้ที่สามารถจ่ายได้เท่านั้น ซึ่งถูกนิยามว่าคือผู้ที่มีอาหารเพียงพอที่จะรับประทานสำหรับหนึ่งวันและหนึ่งคืน

ซะกาตุลฟิฏรฺจ่ายเป็นปริมาณของอาหาร มีการใช้หน่วยวัดเป็น ศออ์ เป็นการวัดความจุ (ปริมาตร) ที่เท่ากับสี่หน่วยของสองกำมือสำหรับคนทั่วไป (ประมาณ 2.7 กิโลกรัม)

|| จ่ายอย่างไร ? ||
อบู สะอีด อัล คุดรีย์ รายงานว่า
“เราเคยจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺ จำนวนหนึ่งศออ์ด้วยข้าวสาลี หรือข้าวบาร์เลย์ หรืออินทผลัม หรือเนยแข็ง หรือลูกเกด” (อัล-บุคอรีย์ (1435))

นักวิชาการส่วนใหญ่ในยุคศอฮาบะฮฺและตาบีอีนยอมรับว่า เราไม่ได้จำกัดเฉพาะอาหารที่ระบุไว้ในหะดีษเท่านั้น เป็นที่อนุญาตให้จ่ายด้วยอาหารหลักของพื้นที่ ซึ่งอาจรวมถึงข้าวหรืออาหารหลักอื่น ๆ ที่แพร่หลายในท้องถิ่น

นักวิชาการมีความเห็นต่างในการจ่ายเงินแทนอาหารว่าได้หรือไม่ นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่าซะกาตุลฟิฏรฺไม่สามารถจ่ายเป็นเงินสดได้ ทัศนะนี้เป็นทัศนะที่ยอมรับของสำนักคิดทางนิติศาสตร์ของอิหม่ามมาลีกี อิหม่ามชาฟีอีย์ และอิหม่ามฮันบาลี

สำนักคิดทางนิติศาสตร์ของอิหม่ามฮานาฟีซึ่งตามทัศนะความเห็นของอบู ฮะนีฟะห์อนุญาตให้จ่ายซะกาตุลฟิฏรฺได้ด้วยเงินสด นี่คือทัศนะความเห็นของตาบีอีนที่มีชื่อเสียงจำนวนมากรวมถึงคอลีฟะฮฺอุมัรฺ อิบนุ อับดุลอะซีส

หะซัน อัล-บัศรีย์ กล่าวว่า
“ไม่มีปัญหาอันใดที่จะจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺด้วยเงิน” (มุศ็อนนัฟ อิบนุ อบี ชัยบะฮ (10368 และ 10370))

อบู อิสฮาก อัส-สิบาอีย์ กล่าวว่า “ฉันเห็นพวกเขาจ่ายซะกาตนี้เป็นเหรียญเงินตามมูลค่าของอาหาร” (มุศ็อนนัฟ อิบนุ อบี ชัยบะฮ (10371))

นี่คือทัศนะของอิหม่ามอัซ เซารีย์ และอิหม่ามอะเฏาะ แน่นอนว่าอิหม่ามอะเฏาะเป็นที่รู้จักกันดีในการจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺของเขาด้วยเงิน คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นตาบิอีนที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากที่สุด

เมื่อไม่นานมานี้ นักวิชาการมุสตาฟา อัล ซัรฺกอ ได้ออกมาสนับสนุนอย่างหนักแน่นในทัศนะนี้ เขาปกป้องทัศนะความเห็นนี้ด้วยข้อโต้แย้งที่แข็งแรง ในบรรดาข้อโต้แย้งเหล่านั้นมีดังนี้
1. นักนิติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าไม่มีปัญหาในการจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺด้วยอาหารที่ใช้ในท้องถิ่นถึงแม้ว่าอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการกล่าวถึงในหะดีษ นี่คือเหตุผลที่พวกเขาเห็นว่าเป็นที่ได้รับอนุญาตให้จ่ายเป็นข้าว หรือข้าวโพด หรืออะไรก็ตามที่รับประทานในท้องถิ่นเป็นอาหารหลัก หากอาหารเหล่านี้ไม่ได้รับการกล่าวถึงในหะดีษนั้นได้รับอนุญาต ก็ควรจะอนุญาตให้จ่ายเป็นเงินสดได้เพราะมันจะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับคนยากจนจำนวนมากในวันอีด

นี่ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ผู้คนจ่ายด้วยอาหารท้องถิ่นของพวกเขา เรากำหนดมูลค่าเทียบเท่าของอาหารเหล่านั้นเป็นเงินสด พวกเขากำหนดอาหารที่เทียบเท่าอาหารหลักในท้องถิ่นของพวกเขา

2. การแจกจ่ายของอาหารเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องของความบริสุทธิ์ หรือการอิบาดะฮฺที่เป็นนามธรรมซึ่งไม่สามารถละทิ้งได้ แต่มีเจตจำนงที่เป็นประโยชน์ที่ชัดเจนจากการปฏิบัติเช่นนี้

|| วัตถุประสงค์หลัก ||
วัตถุประสงค์ของซะกาตุลฟิฏรฺ คือการช่วยเหลือมุสลิม ช่วยให้คนจนได้ร่วมสนุกสนานในวันอีด และมีส่วนร่วมในการฉลองความสำเร็จของการถือศีลอดในเดือนนี้กับร่วมมุสลิมคนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังช่วยผู้ให้ได้ปฏิบัติการงานที่เอิ้อเฟิ้อเผื่อแผ่นี้อีกด้วย

การให้เงินเป็นที่รักที่ชอบมากกว่าทั้งสำหรับผู้ให้และผู้รับ และยังเป็นการตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของซะกาตุลฟิฏรฺ ที่ช่วยคนยากจนและชำระขัดเกลาผู้จ่ายให้บริสุทธิ์และไม่ขัดกับตัวบทที่ชัดเจน

ข้อสงสัยนี้เป็นรายละเอียดทางนิติศาสตร์อิสลามที่นักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางท่านมีความเห็นแตกต่างกันตั้งแต่ในยุคแรกเริ่มของอิสลาม หนึ่งในนั้นคือคอลีฟะฮ์ อุมัรฺ อิบนุ อับดุลอะซิส ผู้สั่งให้คนของเขาจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺเป็นเงินสด

วัตถุประสงค์ของเราในการกล่าวถึงความแตกต่างทางทัศนะความคิดเห็นในเรื่องนี้คือการแสดงให้เห็นว่ามีความยืดหยุ่น ไม่มีเหตุผลที่จะคับแคบและดื้อรั้น นักนิติศาสตร์อิสลามพยายามที่จะอำนวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ และสร้างความสะดวกง่ายดายให้กับผู้คน

|| จะต้องจ่ายเมื่อใด ? ||
ถือเป็นภาระหน้าที่ในช่วงเวลาที่ผู้คนยุติการถือศีลอดในช่วงท้ายของเดือนรอมฎอน นี่คือเหตุผลที่มันถูกเรียกว่าการสงเคราะห์สำหรับการยุติการถือศีลอด ชื่อของมันจึงอ้างอิงไปยังเหตุผลของมัน

นักนิติศาสตร์บางท่านรวมถึงอิหม่ามชาฟีอีย์ อิหม่ามอะฮฺหมัด อิหม่ามอิสฮาก และอิหม่ามมาลิก ระบุช่วงเวลาของภาระผูกพันไว้ระหว่างช่วงที่ดวงตะวันตกดินในคืนก่อนวันอีดในขณะที่อิหม่ามอบู ฮะนีฟะฮฺ กล่าวว่ามันกลายเป็นภาระหน้าที่ในเช้าวันอีดก่อนละหมาดอีด

อิบนุ อุมัรฺ รายงานว่า “ต้องจ่ายก่อนที่ผู้คนจะออกไปละหมาดอีด” ((อัล บุคอรีย์ (1053) และมุสลิม (984))

เช่นเดียวกัน ท่านนบี กล่าวว่า
“บุคคลใดที่จ่ายซะกาตก่อนละหมาด (อีดิ้ลฟิฏร์) ถือว่าเป็นซะกาตที่ได้รับการตอบรับ และบุคคลใดที่จ่ายซะกาตหลังละหมาด (อีดิ้ลฟิฏร์) ถือว่าเป็นการทำศอดาเกาะฮ์อย่างหนึ่ง” (สุนัน อบู ดาวุด : 1371)

ดังนั้น ทุกคนจึงเห็นพ้องว่าเวลาหลังจากฟัจญรฺและก่อนการละหมาดอีดเป็นเวลาที่ถูกต้องในการชำระซะกาต

นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ชำระซะกาตุลฟิฏรฺหนึ่งหรือสองวันก่อนอีด เนื่องจากอิบนุ อุมัรฺ ได้รายงานว่า “บางครั้งพวกเขาเคยจ่ายซะกาตหนึ่งหรือสองวันก่อนสิ้นสุดการถือศีลอด”

|| ใครที่มีสิทธิได้รับ? ||
มีความเห็นสองทัศนะในเรื่องนี้
1. สามารถจ่ายให้กับคนทั้งแปดประเภทที่มีสิทธิ์ได้รับซะกาต นี่คือทัศนะส่วนใหญ่ อันที่จริงแล้วอิหม่ามชาฟีอีย์วางกรอบไว้ไกลกว่านั้น และระบุว่าควรแบ่งและแจกจ่ายให้กับทั้งแปดประเภท
2. เฉพาะคนยากจนและคนขัดสนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับซะกาตนี้ นี่เป็นหนึ่งในทัศนะความเห็นของสำนักทางนิติศาสตร์ของอิหม่ามฮันบาลี และเป็นความเห็นที่นำมาใช้โดยอิบนุ ตัยมียะห์ และอิบนุ ก็อยยิม

ทัศนะความเห็นที่สองดูเหมือนจะดีที่สุดเนื่องจากท่านนบีเคยอธิบายว่าเป็นซะกาตที่จ่าย “เพื่อให้อาหารสำหรับคนยากจน” (สุนันอบู ดาวุด (1609))

ยิ่งไปกว่านั้นซะกาตุลฟิฏรฺนั้นแตกต่างจากซะกาตทั่วไป เนื่องจากมันไม่ได้เรียกเก็บจากความมั่งคั่งของบุคคล แต่ได้รับมาจากมุสลิมทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าจะเหมาะสำหรับการจำกัดการให้เฉพาะคนยากจนและคนขัดสน

|| เป็นข้อบังคับสำหรับใครบ้าง? ||
เนื่องจากเป็นภาษีรายหัวและไม่ใช่ภาษีสำหรับความมั่งคั่ง บุคคลที่จ่ายซะกาตุลฟิฏรฺจึงต้องจ่ายสำหรับตนเองก่อนและสำหรับผู้ที่อยู่ในความอุปถัมป์ของเขาทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ผู้ชายจะต้องจ่ายแทนภรรยา และลูก ๆ ของเขา และเขาอาจจะต้องจ่ายให้ในนามของพ่อแม่ของเขาด้วย หากท่านทั้งสองต้องพึ่งพาเขาในการจัดการซะกาตนี้ให้แก่พวกท่าน

ซะกาตุลฟิฏรฺไม่จำเป็นต้องจ่ายแทนเด็กที่ยังไม่เกิด (อยู่ในครรภ์มารดา) อย่างไรก็ตามแนะนำให้จ่ายซะกาตโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตั้งครรภ์อยู่ในช่วงที่ตัวอ่อนได้พัฒนาการมาเป็นทารกซึ่งวิญญาณได้เข้าสู่ร่างกายของเด็กแล้ว

มีรายงานว่าท่านอุษมานได้จ่ายซะกาตุลฟิฏรฺให้กับทารกในครรภ์ของภรรยาท่าน ในขณะที่ศอฮาบะห์หลายท่านแจ้งว่าท่านอุษมานไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเช่นนั้น

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง

อาหารประเภทใดที่นำมาจ่ายเป็นซะกาตฟิฏเราะฮฺ ?

ซะกาต ฟิฏเราะฮฺจ่ายมาจากอาหารหลัก เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวสาร ถั่วต่าง ๆ พาสต้า (ชื่ออาหารชนิดหนึ่ง) เนื้อสัตว์ เป็นต้น ท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) กำหนด 1 ศออฺจากอาหาร (1 ศออฺ มีปริมาณเท่ากับ 2.76 กิโลกรัม) และบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านเคยให้ซะกาตฟิฏเราะฮฺจากอาหารหลักในท้องถิ่น …

อิหม่ามบุคอรียฺ (1510) และอิหม่ามมุสลิม (985) รายงานว่า อบู ซะอีด อัล-คุดรียฺ (รดิยัลลอฮุ อันฮุ) กล่าวว่า “เราเคยจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺในช่วงชีวิตของท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ในวันอีดิ้ลฟิตรียฺ 1 ศออฺจากอาหาร” อบู สะอีด อัล-คุดรียฺ กล่าวอีกว่า “และอาหาร (ท้องถิ่น) ของเราเป็น ข้าวบาเล่ย์ องุ่นแห้ง อิทผลัมและเนยแข็ง”

ตามรายงานอื่น ๆ เขากล่าวว่า เมื่อครั้งที่ท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) อยู่ท่ามกลางพวกเรา เราเคยจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺในนามตัวแทนของทุก ๆ คน ทั้งคนหนุ่มและคนชรา อิสระชนและทาส 1 ศออฺจากอาหาร 1 ศออฺจากเนยแข็ง 1 ศออฺจากข้าวบาเล่ย์ 1 ศออฺจากอินทผลัม หรือ 1 ศออฺจากองุ่นแห้ง

อุลามาอฺจำนวนหนึ่งอธิบายคำว่า “อาหาร” ในหะดีษนี้หมายถึงข้าวสาลี อุลามาอฺท่านอื่น ๆ มีทรรศนะว่าสิ่งนี้หมายถึงอาหารท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวโพด หรือสิ่งอื่น ๆ นี่คือทรรศนะที่ถูกต้อง เพราะว่าซะกาตคือวิธีการที่คนรวยช่วยเหลือคนจนและมุสลิมจำเป็นต้องช่วยเหลือด้วยอาหารหลักในประเทศของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้าวคืออาหารหลักในดินแดนหะรอม (มักกะฮฺและมะดีนะฮฺ)และมันเป็นอาหารที่ดีและมีคุณค่า ส่วนข้าวบาร์เลย์นั้นย่อมดีกว่าเพราะเป็นสิ่งที่ตัวบทกล่าวถึง เพราะฉะนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าไม่มีสิ่งใดผิดในการให้ข้าวเป็นซะกาตฟิฎเราะฮฺแต่อย่างใด อ้างจาก (มัจญฺมูอฺ ฟะตาวา ชัยคฺ บิน บาส 14/200)

ชัยคฺ อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ (รฮิมาฮุลลอฮฺ) กล่าวในมัจญฺมูอ ฟะตาวา (25/68) ว่า “ถ้าคนในพื้นที่รับประทานอาหารหนึ่งซึ่งเป็นอาหารหลัก มันย่อมเป็นที่อนุมัติที่จะจ่ายเป็นซะกาตฟิฏเราะฮฺอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คำถามคือว่าเขาสามารถให้อย่างอื่นแทนอาหารหลักได้หรือไม่? อย่างเช่นถ้าพวกเขารับประทานข้าวกับข้าวโพดเป็นหลัก พวกเขาสามารถให้ข้าวสาลีหรือข้าวบาร์เลย์ได้หรือไม่? หรือจ่ายได้เพียงแค่ข้าวและข้าวโพดเท่านั้น?

มีทรรศนะที่แตกต่างกันอย่างที่ทราบกันดีในเรื่องนี้ แต่ทรรศนะที่ถูกต้องมากที่สุดคือการให้ในสิ่งที่พวกเขารับประทานเป็นอาหารหลัก แม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ในประเภทต่าง ๆ ที่เอ่ยถึงก็ตาม นี่คือทรรศนะของอุลามาอฺส่วนใหญ่ อย่างเช่น อิหม่าม อัช-ชาฟิอียฺและคนอื่นๆ เนื่องจากหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการบริจาคนั้นถูกกำหนดเพื่อช่วยเหลือคนยากจน ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา กล่าวว่า “การให้อาหารแก่คนยากจนบนความพอดีกับสิ่งที่พวกเจ้าให้อาหารกับครอบครัวของพวกเจ้าเอง”

สูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺ 89 ท่านนนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) กำหนด ซะกาต ฟิฏเราะฮฺ 1 ศออฺ ของอินทผลัม หรือ 1 ศออฺ ของข้าวบาร์เล่ย์ เนื่องจากมันเป็นอาหารหลักของชาวเมืองมะดีนะฮฺ หากว่าดังกล่าวนี้ไม่ใช่อาหารของพวกเขาแต่เป็นสิ่งอื่น ดังนั้นเขาจะไม่ถูกบังคับให้จ่ายสิ่งอื่นที่ไม่ได้เป็นอาหารหลัก ดังที่อัลลอฮฺมิได้สั่งใช้ในเรื่องนี้เป็นการจ่ายค่าชดเชย(ที่อ้างในสูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 89)

อิบนุ ก็อยยิม กล่าวในหนังสือ “อิอฺลาม อัล-มุวักกิอีน” (3/12) ว่า “นั่นเป็นอาหารหลักที่รับประทานกันเป็นประจำในเมืองมะดีนะฮฺ แต่ถ้าอาหารหลักของคนในพื้นที่นั้นเป็นสิ่งอื่นนอกจากนั้น ดังนั้นพวกเขาจะต้องให้ 1 ศออฺจากอาหารหลัก เช่นอาหารหลักของพวกเขา คือข้าวโพด ข้าวหรือเมล็ดข้าวอื่นๆ ถ้าอาหารหลักของพวกเขาเป็นสิ่งอื่นนอกจากเมล็ดข้าว อย่างเช่น นมสด เนื้อหรือปลา พวกเขาจะต้องจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺของพวกเขาด้วยอาหารหลักเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม นี่คือทรรศนะของผู้รู้ส่วนใหญ่และเป็นทรรศนะที่ถูกต้องเพราะเป้าหมายเของมันจะต้องจัดการความจำเป็นของคนยากจนในวันอีด และจะต้องช่วยเหลือพวกเขาโดยให้อาหารหลักของคนในพื้นที่นั้น ๆ ด้วยเหตุนี้เองเป็นที่ยอมรับที่จะให้แป้งทำอาหาร(ในพื้นที่ที่ใช้เป็นอาหารหลัก)แม้ว่าจะไม่มีหะดีษศอฮี้ยที่เอ่ยถึงก็ตาม”

ชัยคฺ อิบนุ อุษัยมีน (รฮิมาฮุลลอฮฺ) กล่าวใน อัช-ชัรหฺ อัล-มุมติอฺ (6/183) ว่า ทรรศนะที่ถูกต้องคือสิ่งที่เป็นอาหารหลักไม่ว่าจะเป็นเมล็ดข้าว ผลไม้ เนื้อ และอื่น ๆ อันเป็นที่ยอมรับได้

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islam Q&A

ซะกาต ฟิฏเราะฮฺ : อาหารสำหรับคนยากจน

:: คำถาม ::
ท่านจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺเป็นเงินหรือข้าว? และหากท่านไม่รู้ว่าจะให้กับใคร อนุญาตที่จะจ่ายให้กับมัสญิด คนที่ไม่ใช่มุสลิมไร้ที่พักอาศัย หรือคนที่ไม่ใช่มุสลิมโดยทั่วไปได้หรือไม่?

:: คำตอบ ::
อิบนุ อุมัร (รดิยัลลอฮุ อันฮุมา) กล่าวว่า “ศาสนฑูตของอัลลอฮฺ (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้จ่ายอินทผลัม 1 ศออฺ หรือข้าวบาร์เลย์ 1 ศออฺ เป็นซะกาตฟิฏเราะฮฺเพราะมันคือหน้าที่สำหรับมุสลิมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทาสหรืออิสระชน ผู้ชายหรือผู้หญิง หนุ่มสาวหรือคนชรา ซึ่งถูกกำหนดให้จ่ายก่อนการละหมาดอีดิ้ลฟิฏรียฺ” (อัล-บุครอรียฺ 1503)

อบู สะอีด อัล-คุดรียฺ (รดิยัลลอฮุ อันฮุ) กล่าวว่า “เราเคยจ่ายซะกาต ฟิฏเราะฮฺ เป็นอาหาร 1 ศออฺ (เท่ากับ 2.7 กิโลกรัม) หรือ ข้าวบาร์เลย์ 1 ศออฺ (ซึ่งเป็นอาหารหลักของพวกเขา) หรืออินทผลัม 1 ศออฺ เนยแข็ง 1 ศออฺ หรือองุ่นแห้ง 1 ศออฺ”

จากดังกล่าวนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ซะกาตจะต้องเป็นอาหารไม่ใช่เงิน ซึ่งเราจะต้องยึดมั่นในสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในซุนนะฮฺ ดังนั้นจงให้สิ่งใดก็ตาม 1 ศออฺ ที่เป็นอาหารหลักในประเทศของท่าน เช่น ข้าวหรือข้าวสาลี ในนามของตัวท่านเองและสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวของท่าน โดยจะต้องนำไปให้กับผู้ที่ขัดสนเท่านั้น ถ้าท่านไม่พบผู้ใดที่ขัดสนในประเทศของท่านเอง ท่านก็สามารถจ่าย (ซะกาตฟิฏเราะฮฺ) ไปให้กับตัวแทนที่จะนำไปจ่ายในนามของท่านในประเทศอื่น (ที่มีผู้ขัดสนอีกจำนวนมาก) ขออัลลอฮฺทรงช่วยเหลือเราและท่านที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่พระองค์ทรงรักด้วยเถิด

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islam Q&A

ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้หรือไม่?

:: [คำถาม] ::
ฉันอาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาและฉันต้องการรู้ว่าเราสามารถซื้ออาหารและร้านขายของชำที่ขายแอลกอฮอล์เช่นสถานีบริการน้ำมัน ซุปเปอร์มาเก็ตและแม้กระทั่งร้านอาหารได้หรือไม่?
ป.ล. ไม่มีร้านค้าหรือสถานีบริการน้ำมันสักแห่งที่ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉันลองหาแล้วและร้านค้าของมุสลิมไม่ได้ขายในสิ่งที่ฉันต้องการ ช่วยชี้แจงเรื่อนี้จากอัล-กุรอานและสุนนะฮฺให้เราทราบด้วยเถิด …

:: [คำตอบ] ::
ประการแรก มุสลิมจะต้องหลีกห่างจากสถานที่ที่มีการฝ่าฝืนอัลลอฮฺให้มากที่สุด ซึ่งมันเป็นการดีกว่าสำหรับท่านในฐานะมุสลิมที่จะสนับสนุนร้านค้าของมุสลิมที่ไม่ขายสิ่งต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺทรงห้ามและต้องแนะนำกับเจ้าข้องร้านให้จัดหาสิ่งที่ท่านต้องการเพราะจะเป็นประโยชน์ต่อกับมุสลิมทุกคนรวมถึงตัวท่านเองและเจ้าของร้านด้วย

ประการที่สองสำหรับการซื้อในสิ่งที่ท่านมีความจำเป็นจากร้านที่กล่าวมาข้างต้น(ร้านที่ขายแอลกอฮอล์) ไม่มีความผิดอันใดในเรื่องนี้ อินชาอัลลอฮฺ โดยเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นและสินค้าเหล่านี้ไม่สามารถหาซื้อได้ในร้านค้าอื่น ๆ ที่ไม่ได้ขายของหะรอม(ต้องห้าม)
แต่ท่านจะต้องซึ้อจากร้านค้าแห่งนี้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และยิ่งท่านสามารถหลีกเหลี่ยงที่จะไม่เข้าร้านดังกล่าวนี้ได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ประการที่สาม เราต้องจดจำไว้ว่า คนที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีจิตใจกว้างจะต้องไม่ขายแอลกอฮอลล์หรือแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ทางศาสนาของพวกเขาอย่างเปิดเผยหากว่าพวกเขาอยู่ในดินแดนของมุสลิมหรืออยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม …

แต่ถ้าพวกเขาอยู่ในประเทศของพวกเขาเองและไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม ดังนั้นการปฏิบัติกับพวกเขาจะต้องเป็นไปตามความเชื่อและขนบธรรมเนียมของพวกเขาและพวกเขาเชื่อว่าแอลกอฮอลล์นั้นเป็นที่อนุญาตในแนวทางการดำเนินชีวิตของพวกเขา

อบู อุบัยดฺ รายงานว่า ท่าน อุมัร อิบนุ อัล-ค็อฎฎ็อบ รดิยัลลอฮุ อันฮา ได้ยินว่า ผู้ปกครองของเขาบางคนกำลังเก็บญิซยะฮฺ(ภาษีรัชชูปการ)เหล้าและหมู ดังนั้นพวกเขาจึงขายมันให้กับอะหฺลุซซิมมะฮฺ(ผู้ที่ต้องจ่ายภาษีรัชชูปการ) อุมัร รดิยัลลอฮุ อันฮุ กล่าวว่า อย่างกระทำเช่นนั้น ปล่อยให้พวกเขาขายมัน แต่จงเก็บญิซยะฮฺจากเงินที่ขายมัน …

อบู อุบัยดฺ กล่าวว่า ท่านอุมัรหมายความว่ามุสลิมกำลังเอาเหล้าและหมูจากอะหฺลุซซิมมะฮฺแล้วมุสลิมเอามาจัดการขายมันเอง และนี่คือสิ่งที่ท่านอุมัรได้ห้าม แต่ท่านอนุญาตให้เก็บเป็นญิซยะฮฺจากเงินที่ขายมัน หากว่าพวกซิมมี่(ผู้ที่ต้องจ่ายภาษี)ทำการขายมันเพราะเหล้าและหมูนั้นทำให้พวกเขาอะหฺลุซซิมะฮฺมีรายได้และมีทรัพย์สิน แต่มุสลิมไม่สามารถมีรายได้จากการขายมันได้ อ้างมาจาก อะหฺกาม อะหฺลุซซิมมะฮฺ โดย อิบนุ ก็อยยิม (1/184)

………………………………………………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net

อนุญาตให้ดื่มสุราในร้านอาหารของเขาจะบาปหรือไม่ ?

:: [คำถาม] ::
อาหารของฉันในร้านฉันปรุงและบริการเฉพาะอาหารที่ฮาลาลเท่านั้น ฉันเซ้งร้านอาหารมาจากคนไม่ใช่มุสลิมและเทศบาลได้โอนใบอนุญาตการดื่มสุราในนามชื่อของฉัน ฉันไม่ได้ขายแอลกอฮอลล์แต่ลูกค้านำขวดไวน์มารับประทานอาหารมื้อค่ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายอนุญาต ฉันอนุโลมให้พวกเขาทำสิ่งนี้ได้หรือไม่ หรือว่าฉันต้องห้ามพวกเขา พวกเขาใช่ว่าจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือก่อกวนลูกค้าคนอื่นๆ และเมื่อใบอนุญาตขายเหหล้าหมดอายุลงฉันจะไม่ต่อใหม่อีกรอบ …

:: [คำตอบ] ::
ตามหลักนิติธรรมอิสลาม แล้วเจ้าของร้านต้องรับผิดชอบต่อบาปที่เกิดขึ้นในร้านอาหารของเขาโดยที่เขาสามารถยับยั้งหรือป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นในสถานที่เขาเป็นเจ้าของ ประการแรก การห้ามแอลกอฮอล์นั้นมีหลักฐานชัดเจนในอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ(วิถีปฏิบัติของท่านนบีและเป็นมติเอกฉันท์ของบรรดาผู้รู้ ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้สาปแช่งคน 10 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์โดยไม่จำกัดเพียงแค่คนดื่มเท่านั้น

มีรายงานว่า ท่านอนัส บิน มาลิก รดิยัลลอฮุ อันฮุ กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้สาปแช่งบุคคล 10 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ได้แก่ “คนที่คั้นสุรา, คนรินสุรา, คนดื่มสุรา, คนแบกหรือขนสุรา, คนที่สุราถูกแบกมาส่งให้, คนที่เสนอราคาสุรา, คนขายสุรา, คนที่กินราคาของสุรา, คนซื้อสุรา ,คนที่ถูกซื้อสุรามาให้”
รายงานโดย อิหม่าม ติรมีซียฺ (1259) และอิบนุ มาญะฮฺ (3381) จัดว่าเป็นหะดีษ ศอฮี้ยฺ โดยเชคอัล-บานียฺในศอฮี้ยฺ อัล-ติรมีซียฺ

หลักฐานดังกล่าวนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบาปนั้นครอบคลุมทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน ซึ่งอาจจะจบลงด้วยการมึนเมาก็เป็นได้
คนที่นั่งอยู่ในสถานที่ที่อัลลอฮ์ถูกปฏิเสธและสถานที่ที่มีการกระทำชั่วร้ายและผิดบาปคือการมีส่วนร่วมกับพวกเขาในบาปนั้น

คนที่นั่งอยู่ในสถานที่ที่อัลลอฮ์ถูกปฏิเสธ การงานที่ชั่วร้ายและการกระทำบาปนั้นถือว่ามีส่วนร่วมกับพวกเขาในบาปนั้นด้วย ถ้าเขาสามารถที่จะเปลี่ยนความชั่วแต่เขาไม่ได้กระทำหรือเขาสามารถที่จะหลีกห่างจากวงสุราได้แต่เขาไม่ได้กระทำเช่นนั้น อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า

“และแน่นอน อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเจ้าแล้วในคัมภีร์ นั้นว่า เมื่อพวกเจ้าได้ยินบรรดาโองการของอัลลอฮฺโองการเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธศรัทธา และถูกเย้ยหยัน อังนั้นพวกเจ้าจงอย่านั่งร่วมกับพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะพูดคุยกันในเรื่องอื่นจากนั้น แท้จริงพวกเจ้านั้น-ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็เหมือนพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรวบรวมบรรดามุนาฟิก และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไว้ในนรกญะฮันนัมทั้งหมด” สูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์ อายะฮฺที่ 140

อิหม่าม อิบนุ กะษีร กล่าวว่า
ถ้าท่านกระทำบาปหลังจากที่มันได้มาถึงท่านแล้ว และท่านเห็นด้วยที่จะนั่งร่วมกับพวกเขาในสถานที่ที่อายะฮฺของอัลลอฮฺถูกปฏิเสธ ถูกล้อเลียนและดูถูก และท่านเห็นด้วยกับการกระทำของพวกขา ดังนั้นท่านมีส่วนร่ววมกับพวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำ ดังนั้น อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงกล่าวว่า “แท้จริงพวกเจ้านั้น-ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็เหมือนพวกเขา …” สูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์ อายะฮฺที่ 140 เช่น การกระทำบาป ดังที่กล่าวในหะดีษว่า “ใครก็ตามที่เชื่อในอัลลอฮ์และวันสุดท้าย อย่าได้นั่งโต๊ะที่มีแอลกอฮอล์ที่ถูกส่งไปรอบๆ” ตัฟซีร อิบนุ กะษีร (2/435)

อัลลอฮ์ทรงกำชับมุสลิมให้ประณามความชั่วร้ายเมื่อเขาเห็นหรือรู้ว่ามันเกิดขึ้น ดังนั้นวิธีนี้จะอนุญาตให้ลูกค้าสามารถดื่มแอลกอฮอล์ในร้านของท่านได้กระนั้นหรือ?

มีหะดีษรายงานจาก อบู สะอีด อัล-คุดรีย์ ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “ใครก็ตามในหมู่พวกท่านเห็นความความชั่วร้าย จงเปลี่ยนแปลงมันด้วยมือ (ด้วยการกระทำ) หากเขาไม่มีความสามารถ จงเปลี่ยนแปลงด้วยลิ้น (โดยการพูด) และหากเขาไม่มีความสามารถ จงเปลี่ยนแปลงด้วยหัวใจ (ด้วยการเกลียดชังและรู้สึกผิด) และนั่นคือศรัทธาที่อ่อนที่สุด” รายงานโดย อิหม่าม มุสลิม (49)

คุณลักษณะอีกประการจากปวงบ่าวของผู้ทรงเมตตา คือสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงพวกเขาในอายะฮฺที่ว่า “และบรรดาผู้ไม่เป็นพยานในการเท็จ และเมื่อพวกเขาผ่านเรื่องไร้สาระ พวกเขาผ่านไปอย่างมีเกียรติ” สูเราะฮฺ อัล-ฟุรกอน อายะฮฺที่ 72

ดังที่ผู้รู้บางท่าน เช่น อิหม่าม อัซ-ซุฮรี่ย์ ให้ความหมายของคำว่า “ความเท็จ คือการดื่มแอลกอฮอล์” ดู ตัฟซีร อิบนุ กะษีร (6/130)

จากที่กล่าวมาข้างต้น ท่านจะต้องไม่อนุญาตไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่จะดื่มแอลกอฮอล์ในร้านของท่าน ไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านจะต้องรับบาปของคนที่ดื่มสุราด้วยตัวท่านเอง จงอย่าได้ลังเลในเรื่องนี้ และท่านจะเห็นผลลัพธ์ของมันในการปฏิบัติตามศาสนาของท่านและในปัจจัยยังชีพของท่าน หากท่านแสวงหารางจากอัลลอฮฺในเรืองนี้

………………………………………………………..……………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูhttp://xn--islamqa-guwyc8p2e.com/

มุมมองอิสลามที่เกี่ยวกับเลือดและปัญหาการใช้ประโยชน์จากเลือดในผลิตภัณฑ์อาหาร

อัลลอฮฺกล่าวไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลมาอีดะฮฺ (5:3) ความว่า“ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกรและสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ ที่มัน (ขณะเชือด) …” สิ่งนี้ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า เลือดเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับมุสลิมเพื่อการบริโภค เนื่องจากมันถูกพิจาณาว่าเป็นสิ่งสกปรกและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

เลือดเป็นของเหลวที่มีความสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต ซึ่งทำหน้าที่ในการขนถ่ายสารอาหารไปยังเซลล์สิ่งมีชีวิตทั้งทางด้านร่างกายของมนุษย์และสัตว์ พลาสมาเป็นส่วนของเหลว ซึ่งประกอบไปด้วยสารประกอบที่นำไฟฟ้า สารอาหาร วิตามิน ฮอร์โมน เกล็ดเลือด และโปรตีน

ปัญหาด้านฮาลาลต่อการใช้ประโยชน์จากเลือดในผลิตภัณฑ์อาหาร

                  มีผลิตภัณฑ์อาหารจำนวนมากที่มีแนวโน้มการนำเลือดมาใช้ในผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น ในขั้นตอนการเตรียมไส้กรอก เลือดสัตว์ที่ผ่านการปรุงจะถูกนำเข้าเครื่องอัด (ที่ประกอบด้วย เนื้อ ไขมันและแป้ง) อัดรวมกันจนกระทั่งมันหนาเพียงพอที่จะทำให้แน่นเมื่อได้รับความเย็น เลือดจากหมูและโคนั้นบ่อยครั้งที่ถูกนำมาใช้ในกรณีนี้ นอกจากนี้ เลือดยังถูกนำมาใช้เพื่อทำให้ซอสปรุงรสและกุญเชียงมีความข้น เนื่องจากมันมีความสามารถทำให้เกิดกลิ่นรสหรือสีในเนื้อ 

   จากมุมมองอิสลาม มีการแบ่งเลือดออกเป็น 2 ชนิด นั่นคือ เลือดที่อยู่ในระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรปิด (ตัวอย่างเช่น โค แพะ) ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับการบริโภค และเลือดที่อยู่ในระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรเปิด (ตัวอย่างเช่น ปลา กุ้ง และตั๊กแตน) ซึ่งเป็นสิ่งที่อนุมัติให้ทำการบริโภคได้  เกี่ยวกับเรื่องนี้ อิบนุ อับบาส (ร.อ.) ครั้งหนึ่งได้ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องม้าม ท่านได้ตอบว่า มันเป็นสิ่งที่อนุมัติให้บริโภคได้ ไม่ใช่กลุ่มเลือดที่ต้องห้าม

อีกอย่าง เลือดยังถูกนำมาใช้สำหรับน้ำแกงและสตู  นอกจากนี้ ผงพลาสมาจากเลือดในรูปเข้มข้นหรือไฮโดรไลท์ถูกนำมาใช้ประโยชน์ เป็นส่วนประกอบขั้นต้นของการผลิตภัณฑ์ซูริมิ เพื่อเพิ่มคุณภาพของซูริมิ กลุ่มของนักวิจัยได้รายงานว่า ผงโปรตีนพลาสมาจากเลือดเข้มข้นมีความสามารถในการปรับปรุงการก่อรูปเจลของซูริมิและทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของแรงเฉือนและความแน่นของเจลซูริมิ การปรับปรุงคุณภาพเชิงหน้าที่ของซูริมิโดยการเติม ผงพลาสมานั้น ส่งผลให้เกิดการยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์โพรติโอไลติก

 เนื่องด้วยประโยชน์อันมากมายของเลือดในผลิตภัณฑ์อาหาร ด้วยเหตุนี้ผู้บริโภคมุสลิมมีแนวโน้มจะถูกหลอกและเจือปนสิ่งเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์  มีแนวโน้มการเติมผลิตจากเลือดในอาหารเสริมของพวกเขาเพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านธุรกิจโดยปราศจากการติดฉลากที่แท้จริง ผู้บริโภคที่ทราบเรื่องนี้ได้มีเพิ่มมากขึ้นและเริ่มกลับไปซื้ออาหารที่บริสุทธิ์ที่เริ่มมีขายอยู่ในปัจจุบัน

……………………………………………………………………………………….
แปลและเรียบเรียงจาก
Halal Products Research Institute.  Scholar’s Note.  Info Halal. Volume4/issue 1.  Jan-Jun 2010