ในสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีหลายบริษัทใช้ประโยชน์จากหอยทาก อย่างเช่นเอามาทำเป็นตัวยาใช้ภายนอก
ซึ่งสังคมมุสลิมต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้
อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า
هُوَ الَّذِي خَلَقَ لَكُمْ مَا فِي الْأَرْضِ جَمِيعًا
พระองค์คือผู้ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งมวลในโลกไว้สำหรับพวกเจ้า (อัลบะกอเราะห์:29)
หะดีษท่านนบี (ซ.ล.) ที่ยืนยันความสะอาดที่มาจากของเหลวของสัตว์ป่า จากญาบิร บิน อับดิ้ลลาฮ์ “จากท่านนบี (ซล.) แท้จริงท่านได้ถูกถามว่า เราจะอาบน้ำละหมาดจากน้ำที่ถูกดื่มโดยลา? ท่านนบีตอบว่า ใช่ รวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆด้วย” (รายงานโดย อัลบัยหะกีย์)
ความคิดเห็นของอุละมาอ์ส่วนใหญ่ระบูว่า สัตว์ทุกชนิดนั้นสะอาดยกเว้นสุนัขและสุกร อย่างเช่นความเห็นของอิหม่ามนะวะวี ในหนังสือ มัจมัวะอฺ เล่ม 1 หน้า 172 ว่า “ตามมัซฮับของเรานั้นสิ่งตกค้างจากแมวนั้นสะอาดและไม่มักโระห์ เช่นเดียวกันกับสิ่งตกค้างจากสัตว์ต่างๆ เช่น ม้า ลา สัตว์ป่า หนู งู ตุ๊กแก และสัตว์อะไรก็ตามทั้งที่อนุญาตและไม่อนุญาตให้รับประทาน ดังนั้น น้ำลายและเหงื่อของสัตว์ทุกชนิดนั้นถูกพิจารณาว่า สะอาดและไม่มักโระห์ ยกเว้น สุนัขและสุกรและอะไรก็ตามที่มาจากสัตว์สองชนิดนี้เท่านั้น”
หนังสือ อัลฟิกฮ์ อัล อิสลามีย์ วะอะดิลละตุฮ์ (1/298) วะฮ์บะห์ อัซซุฮัยลีย์ ได้อธิบายว่า “ของเหลวที่มาจากสัตว์ที่สะอาดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเหงื่อ น้ำลาย เสมหะ น้ำมูก และน้ำเมือก นั้นสะอาด นอกจากสิ่งที่ถูกขับถ่ายออกมาจากท้อง”
จาก อิบนุ กุดามะห์ ในหนังสือ อัลมุฆนี เล่ม1 หน้า82 ระบุว่า “แมวและสัตว์ต่างๆที่มีขนาดเล็กกว่า เช่น หนู พังพอน และสัตว์ที่ใกล้เคียงนี้ ถูกพิจารณาว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน, น้ำลายของมันถือว่าสะอาด และอนุญาตให้ดื่มและใช้อาบน้ำละหมาดได้และไม่มักโระห์ นี่คือความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่, เหล่าซอฮาบะห์, ตาบิอีน จากมะดีนะห์, ชาม และ กุฟาอฺ ยกเว้น อะบี ฮะนีฟะห์, เขามีความเห็นว่ามักโระห์ในการใช้อาบน้ำละหมาดจากน้ำที่โดนแมวมาเลียดื่มกิน อย่างไรก็ตามถือว่าอนุญาต”
พวกเราตัดสินใจที่จะให้คำวินิจฉัยในเรื่อง การใช้หอยทากในจุดประสงค์อื่นนอกจากอาหาร ดังนี้:
1. หอยทากถือเป็นหนึ่งจากสัตว์ที่สะอาด
2. สถานะของหอยทากที่นำมาใช้ประโยช์อื่นๆนอกจากอาหาร อย่างเช่น ยา และเครื่องสำอางที่ใช้ภายนอก ถือว่าอนุญาต (มุบาฮ์) ตราบใดที่ยังมีประโยชน์และไม่เกิดอันตราย
……………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี เรียบเรียง
………….
ที่มา: Majelis Ulama Indonesia