แนวทางการจัดจำหน่ายสินค้าในซาอุดีอาระเบีย : เลือกวิธีที่ใช่สำหรับธุรกิจของคุณ

ซาอุดีอาระเบียถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจสู่ตะวันออกกลาง เนื่องจากมีกำลังซื้อสูงและประชากรที่เปิดรับสินค้านำเข้า จากประสบการณ์ของทีมงานที่ได้เข้าร่วมแสดงสินค้าในงาน Foodex Saudi 2024 และนักธุรกิจในพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ คณะทำงานจึงมองเห็นว่า นอกจากการจัดแสดงสินค้าในซาอุดีอาระเบียในงาน Foodex Saudi 2024 ที่ผ่านมาแล้ว การเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสมอื่น ๆ เป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จในการส่งออกสินค้ามายังประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยแนวทางสำคัญที่ควรพิจารณาประกอบด้วย

1.การทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่ายท้องถิ่น (Local Distributors)
การหาตัวแทนจัดจำหน่ายที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดและกฎระเบียบของซาอุดีอาระเบียเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตัวแทนท้องถิ่นสามารถช่วยให้สินค้าเข้าสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน และสร้างความได้เปรียบด้านการกระจายสินค้า โดยลดภาระทางด้านทรัพยากร และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสียที่จะต้องแบ่งกำไรกับตัวแทนจัดจำหน่าย และอาจควบคุมการตลาดได้น้อย เป็นต้น

2. การขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ (E-commerce)
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น www.amazon.sa และ www.noon.com กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในซาอุดิอารเบียน หลังจากสถาณการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ผู้บริโภคซาอุดีอาระเบียหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ซึ่งทำให้เป็นช่องทางที่สะดวกในการการกระจายสินค้าและเข้าถึงผู้บริโภคในซาอุดีอาระเบียโดยตรง โดยข้อดี เข้าถึงลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง และประหยัดต้นทุน ในขณะที่ข้อเสียคือ ในตลาดนี้มีการแข่งขันสูง ต้องมีการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าและบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น (Joint Ventures)
การร่วมทุนกับบริษัทในซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงตลาดที่รวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่มีประสบการณ์ แต่ต้องมีการจัดการร่วมกันระหว่างผู้ร่วมทุน โดยข้อดี คือ สามารถเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดในซาอุดิอาระเบียได้อย่างรวดเร็วและยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตร แต่ข้อมีข้อเสียที่ต้องแบ่งผลกำไรและการตัดสินใจร่วมกัน

4. การเปิดบริษัทสาขาหรือสำนักงานตัวแทน (Local Branch/Representative Office)
การเปิดสาขาหรือสำนักงานตัวแทน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมการดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่ แต่ต้องใช้เงินทุนและทรัพยากรในการบริหารสูง ซึ่งข้อดีคือ ช่วยควบคุมธุรกิจได้เต็มที่และสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่มีข้อเสียที่จะใช้เงินลงทุนสูง มีความเสี่ยงในการบริหารจัดการ

5. การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า (Trade Shows)
งานแสดงสินค้า เช่น Foodex Saudi เป็นเวทีสำคัญสำหรับการพบปะผู้จัดจำหน่ายและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ การเข้าร่วมช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจความต้องการของตลาดมากขึ้น ซึ้งข้อดี คือการเพิ่มโอกาสทางการค้าและสร้างเครือข่ายใหม่ ส่วนข้อเสียนั้น ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการเข้าร่วม

ดังนั้น การเลือกวิธีการจัดจำหน่ายที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับขนาดและเป้าหมายของธุรกิจ สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายตลาดอย่างรวดเร็ว การทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่ายท้องถิ่นและใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางเลือกที่นิยม เนื่องจากช่วยประหยัดทรัพยากรและเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะยาวในรูปแบบการร่วมทุนหรือการเปิดสาขาอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมหากต้องการความยั่งยืนในตลาดนี้
……
พิทักษ์ อาดมะเร๊ะ เรียบเรียง

ที่มา :
– Gulf News, “World Gulf/ Saudi,”. [Online]. https://gulfnews.com/world/gulf/saudi. [Accessed: Oct. 24, 2024].
– Foodex Saudi, “Foodex Saudi Expo 2024,”. [Online]. https://foodexsaudiexpo.com. [Accessed: Oct. 23, 2024].
– International Research & Strategy, “การวิจัยตลาดอาหารในซาอุดีอาระเบีย,”. [ออนไลน์]. สืบค้นจากhttps://www.sisinternational.com/th. เมื่อ 23 ตุลาคม 2567

กรอบแนวคิด RIDA กับการผสาน วัฒนธรรมและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมุสลิม

การท่องเที่ยวระดับโลกกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง และความใส่ใจต่อความยั่งยืน ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ตลาดการท่องเที่ยวมุสลิมยังคงเติบโตและมีความสำคัญ ทำให้เกิดความต้องการกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อรองรับความต้องการเฉพาะเหล่านี้ ซึ่งทาง Crescent Rating จึงได้พัฒนากรอบแนวคิด RIDA ขึ้น เพื่อตอบสนองความท้าทายในการผสานแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ วัฒนธรรม กับเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวในอนาคต
.
กรอบแนวคิด RIDA ได้แรงบันดาลใจมาจากภาษาอาหรับ (رضا) ซึ่งหมายถึงความพึงพอใจและความสุข ถือเป็นคุณลักษณะสำคัญที่นักเดินทางต้องการระหว่างการเดินทาง ดังนั้น กรอบแนวคิด RIDA ย่อมาจากคำสี่คำ คือ Responsible, Immersive, Digital, และ Assured (รับผิดชอบ ดื่มด่ำ ดิจิทัล และเชื่อมั่น) ซึ่งเป็นแนวทางที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวมุสลิม ไม่เพียงตอบโจทย์ด้านศรัทธาและความเชื่อเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและบริการเฉพาะบุคคล กรอบนี้จึงเป็นเครื่องมือสำหรับจุดหมายปลายทางและผู้ให้บริการ เพื่อเพิ่มคุณภาพและเข้าถึงนักท่องเที่ยวมุสลิมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมิติหลักของกรอบ RIDA ประกอบด้วย 4 มิติ ดังนี้
.
1. #มิติของความรับผิดชอบ (Responsible Dimension)
1.1 ความรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจสังคม (Socio-Economics)
ส่งเสริมการใช้จ่ายในธุรกิจและกิจกรรมของท้องถิ่น เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการค้าที่เป็นธรรมและการบริโภคที่มีจริยธรรม การสนับสนุนบริษัทที่รักษาคุณภาพชีวิตแรงงานช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และการให้บริการท่องเที่ยวที่เข้าถึงได้ จะช่วยให้ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม
.
1.2 ความรับผิดชอบด้านสังคมวัฒนธรรม (Socio-Cultural)
มุ่งเน้นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม และการเคารพขนบธรรมเนียมและประเพณีท้องถิ่น ส่งเสริมให้เกิดปฏิสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างนักท่องเที่ยวกับชุมชน และสร้างความตระหนักในเรื่องธรรมเนียมทางศาสนา การท่องเที่ยวแบบนี้ยังส่งเสริมการครอบคลุมและตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้เดินทาง
.
1.3 ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental)
ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามหลักศรัทธา ซึ่งเน้นถึงความเมตตาต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มุ่งลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อคนรุ่นหลัง
.
2. #มิติของการดื่มด่ำ (Immersive Dimension)
2.1 การดื่มด่ำในการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม (Cultural Engagement)
ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านกิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์ เช่น การเรียนรู้ศิลปหัตถกรรมหรือการทำอาหารจากผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่น ทัวร์ที่นำโดยไกด์ท้องถิ่นช่วยให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความสำคัญของสถานที่ต่าง ๆ
.
2.2 การดื่มด่ำทางด้านอนุรักษ์มรดก (Heritage Preservation)
เน้นการอนุรักษ์และส่งเสริมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยให้การสนับสนุนด้านเงินทุนและโปรแกรมการศึกษา เพื่อให้ผู้คนเข้าใจถึงคุณค่าของสถานที่เหล่านี้ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ช่วยปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมในระยะยาว
.
2.3 การดื่มด่ำกับการปฏิสัมพันธ์กับชุมชน (Community Interaction)
พัฒนากิจกรรมที่ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกับชุมชนท้องถิ่น เช่น ทัวร์ชุมชนหรือการเข้าพักในโฮมสเตย์ ซึ่งช่วยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตท้องถิ่นอย่างแท้จริง กิจกรรมเหล่านี้ยังช่วยสร้างรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น
.
3. #มิติทางด้านดิจิทัล (Digital Dimension)
3.1 การผสานทางเทคโนโลยี (Technological Integration)
ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI และ VR เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และนำเสนอแผนการเดินทางเฉพาะแบบส่วนตัว รวมถึงทัวร์เสมือนจริงก่อนการเยี่ยมชมด้วยเทคโนโลยี VR ที่จะช่วยยกระดับการเข้าถึงและคุณภาพของบริการเให้สอดคล้องกับความต้องของนักท่องเที่ยวยุคใหม่
.
3.2 การเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Inclusivity)
มุ่งเน้นการออกแบบแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นมิตรกับทุกคน รวมถึงผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย เช่น เว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่เข้าถึงได้ง่าย
.
3.3 ประสิทธิภาพทางด้านดิจิทัล (Efficiency)
เทคโนโลยีช่วยลดขั้นตอนการเดินทาง เช่น เช็คอินผ่านมือถือและการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อความสะดวกและความคล่องตัว
.
4. #มิติความเชื่อมั่น (Assured Dimension)
4.1 ความเชื่อมั่นการประกันคุณภาพ (Quality Assurance)
เน้นการรักษามาตรฐานสูงสุดในการให้บริการ ด้วยการฝึกอบรมพนักงานและรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการตรงตามความคาดหวังของนักท่องเที่ยวมุสลิม
.
4.2 ความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงและปลอดภัย (Safety and Security)
ใช้มาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวดทั้งทางกายภาพและดิจิทัล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวว่าข้อมูลและความปลอดภัยส่วนบุคคลจะได้รับการปกป้อง
.
4.3 ความเชื่อมั่นในการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance)
ส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรฐานและการรับรองที่สอดคล้องกับหลักฮาลาล เพื่อให้มั่นใจว่าบริการต่าง ๆ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และกิจกรรมต่าง ๆ ตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวมุสลิม
.
กรอบแนวคิด RIDA จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้จุดหมายปลายทางและผู้ให้บริการเติบโตไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ควบคู่กับการเคารพในหลักการทางศาสนาและวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวมุสลิมอีกด้วย
…………………….
พิทักษ์ อาดมะเร๊ะ แปลและเรียบเรียง
……………………
บทความจาก
The Mastercard-Crescent Rating. 2024. Global Muslim Travel Index 2024. เข้าถึงเมื่อ 19 ตุลาคม 2567 จาก https://www.crescentrating.com/…/global-muslim-travel

ข้อแนะนำผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศไทยส่งออกไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย

การส่งออกไปกลุ่มประเทศ GCC มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี มูลค่าเติบโตต่อเนื่องจากปี 2566 ที่มีมูลค่า การส่งออกรวม 7,231 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ขยายตัวร้อยละ 5.4) ปี 2567 (ม.ค.-ก.พ.) มูลค่า 1,272 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ขยายตัวร้อยละ 0.68) โดยมีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (สัดส่วนร้อยละ 44.2) และซาอุดิอาระเบีย (ร้อยละ 35.0) เป็นตลาดส่งออกหลัก หากมองไปยังตลาดซาอุดีอาระเบีย พบว่าแนวทางการส่งออกสินค้าอาหารไปยังซาอุดีอาระเบียมีขั้นตอนที่สำคัญหลายประการ ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องปฏิบัติตามเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานและข้อกำหนดของซาอุดีอาระเบีย ขั้นตอนหลักๆ ได้แก่

1.ตรวจสอบมาตรฐานและข้อกำหนดสินค้า
ผู้ส่งออกต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าอาหารตรงตามมาตรฐานที่กำหนดโดย SFDA (Saudi Food and Drug Authority) ซึ่งมีข้อกำหนดด้านคุณภาพ ความปลอดภัย โดยโรงงานหรือผู้ผลิตต้องมีมาตรฐานการผลิตที่สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบของประเทศซาอุดีอาระเบีย รวมถึงได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ เช่น มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practices) และ HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) เพื่อควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารและการปฏิบัติตามมาตรฐานฮาลาล โดยสินค้าที่นำเข้าจะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่มีอำนาจในประเทศต้นทาง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (CICOT) เป็นต้น

2.การขอใบรับรองฮาลาล
สินค้าอาหารที่ส่งออกไปซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะสินค้าอาหารที่มีเนื้อสัตว์ จะต้องได้รับการรับรองฮาลาลจากหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ผู้ประกอบการไทยสามารถขอใบรับรองฮาลาลจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (CICOT) และสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (CICOP)

3.การจดทะเบียนและการขออนุญาต
ผู้ส่งออกจะต้องจดทะเบียนและขออนุญาตจาก SFDA เพื่อยืนยันว่าผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน ผู้ส่งออกสามารถยื่นเอกสารที่จำเป็นเช่น รายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ข้อมูลการผลิต และผลการทดสอบความปลอดภัยจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง

4.ขอใบรับรองและการตรวจสอบโดยSASO
สินค้าที่ส่งออกต้องได้รับการรับรองจาก SASO (Saudi Standards, Metrology and Quality Organization) ในด้านมาตรฐานและความปลอดภัย โดยสินค้าจะต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรอง หรือห้องปฏิบัติการที่มีการรับรองตามมาตรฐานของซาอุดีอาระเบีย

5.การดำเนินการทางโลจิสติกส์
ผู้ส่งออกต้องเตรียมการขนส่งสินค้าผ่านทางท่าเรือหรือทางอากาศ โดยต้องมีการเตรียมเอกสารต่างๆ เช่น ใบกำกับสินค้า (Invoice) ใบขนสินค้าขาออก ใบรับรองการตรวจสอบคุณภาพสินค้า (Certificate of Analysis) และใบรับรองฮาลาลที่ออกโดยหน่วยงานที่รับรองแล้ว

6.การผ่านพิธีการศุลกากร
หลังจากที่สินค้าถึงท่าเรือหรือสนามบินในซาอุดีอาระเบีย สินค้าจะต้องผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะตรวจสอบเอกสารและความถูกต้องของสินค้า รวมถึงการตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้นำเข้าตลาดซาอุดีอาระเบีย

7.การทำตลาดและกระจายสินค้า
เมื่อผ่านพิธีการนำเข้าแล้ว ผู้ประกอบการจะต้องมีแผนการกระจายสินค้าผ่านเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายภายในประเทศ รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการโฆษณาและการตลาดที่เข้มงวดในซาอุดีอาระเบีย
การดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้การส่งออกสินค้าอาหารไปซาอุดีอาระเบียเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ
……….
พิทักษ์ อาดมะเร๊ะ เรียบเรียง

ที่มา :
• กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ https://www.ditp.go.th/
• SFDA (Saudi Food and Drug Authority) https://www.sfda.gov.sa/en
• SASO (Saudi Standards, Metrology and Quality Organization) https://www.my.gov.sa/…/04…/

องค์ประกอบของสบู่ดินกับการชำระล้าง เพื่อป้องกันเชื้อ COVID-19

สบู่ดิน ประกอบด้วย ดินขาวหรือคาโลอลิน (มีหน้าที่ช่วยในการขัดถู ในสบู่ทั่วไปไม่มี) น้ำปราศจากอิออน กลุ่มเลือ 4 ชนิดจากดิน กลุ่มสารอนุพันธุ์ 3 ชนิดจากพืช ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่ใช้ไขมันเช่นสบู่ดินทั่วไป
.
ซึ่งดินขาวในสบู่ดิน จะช่วยเสริมประสิทธิภาพร่วมกันกับสารลดแรงตึงผิวในการทำลายผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
.
สารลดแรงตึงผิวในสบู่ดินประกอบด้วย
1.สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุลบ (Sodium laureate sulfate) ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกจำพวกไขมันและทำลายโปรตีนที่ผนังเซลล์
2. สารลดแรงตึงผิวทั้งประจุลบและบวก (Cocamidopropyl betaine) ช่วยทำลายโปรตีนที่ผนังเซลล์
3. สารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ (Cocamide DEA) ช่วยทำลายโปรตีนที่ผนังเซล

ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สามารถอุปโภคหรือบริโภคได้หรือไม่ ?

การใช้แอลกอฮอลล์เพื่อผลิตอาหารและยา แบ่งเป็น 3 กรณี

1. หากนำแอลกอฮอที่มาจากการหมักดบียร์ ไวน์ หรือเหล้า มาใช้ในในกรผลิตอาหารถึงแอลกอฮอล์จะระเหยหมด ก็ถือว่าต้องห้าม

2. แอลกอฮอล์ที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น น้ำผลไม้ เครื่องปรุงต่างๆ ผลิตภัณฑ์สุดท้ายต้องมีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1%

3. แอลกอฮอล์ที่ใช้เป็นตัวทำละลายทั้งอาหารและยา เช่น ตัวทำละลายสี กลิ่น รส เมื่อเติมในผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ดังนั้นผลิตภัณฑ์สุดท้ายต้องไม่เกิน 0.5%

“จากคำวินิจฉัย (ฟัตวา) จุฬาราชมนตรี ที่ 03/2554 ได้กล่าวในที่ประชุมนิติศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 8 ขององค์กรอิสลามเพื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่จัดขึ้น ณ ประเทศคูเวต ระหว่างวันที่ 22-24/5/ค.ศ.1995 มีแถลงการณ์ว่า “แอลกอฮอล์มิใช่นะญิสตามหลักศาสนบัญญัติ บนหลักการที่ว่า แท้จริงหลักเดิมของสิ่งต่างๆ นั้นถือว่าสะอาดไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือถูกเจือจางด้วยน้ำก็ตาม เป็นการให้น้ำหนักแก่ทัศนะที่ว่า ความเป็นนะญิสของสุราและวัตถุออกฤทธิ์ที่ทำให้มึนเมาอื่นๆนั้นเป็นนะญิสในเชิงนามธรรม มิใช่เป็นนะญิสในเชิงรูปธรรม เพราะถือว่าสุราเป็นความสกปรกโสมมจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นจึงไม่ถือเป็นข้อห้ามที่เป็นบาปตามหลักศาสนบัญญัติในการใช้แอลกอฮอล์ทางการแพทย์ เช่น ทำความสะอาดผิวหนัง บาดแผล อุปกรณ์ เวชภัณฑ์และฆ่าเชื้อโรค หรือใช้เป็นเครื่องหอม ซึ่งแอลกอฮอล์จะถูกนำไปใช้เป็นตัวทำละลายวัตถุจำพวกน้ำหอมที่มีสารแขวนลอย”

การพัฒนาผู้ประกอบการ Smart SMEs / Halal Startup E-Commerce

? โอกาสขยายตลาดมาถึงแล้ว!!
ขายสินค้าฮาลาลออนไลน์สะดวก ง่าย และมั่นใจ

✅ ถ้าคุณคือผู้ประกอบการที่กำลังมองหาช่องทางการขาย สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทยส่งเสริมการเปิดตลาดฮาลาลสากล ผลักดันสินค้าไปสู่ตลาด e-Commerce ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้วยหลักสูตร : การพัฒนาผู้ประกอบการ Smart SMEs / Halal Startup E-Commerce

✅ ขอเชิญชวนผู้ประกอบการ SMEs OTOP วิสาหกิจชุมชน หรือผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการฮาลาลที่สนใจ เข้าร่วมโครงการฯ

? สิ่งที่จะได้รับจากโครงการฯ
1️⃣ ช่องทางการขายสู่ตลาด E-Commerce ในประเทศ
2️⃣ ช่องทางการขายสู่ตลาด E-Commerce ในต่างประเทศ
3️⃣ เครือข่ายผู้ประกอบการ E-Commerce ไทย
4️⃣ เรียนรู้เทคนิคการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
5️⃣ โอกาสในการร่วมจับคู่ธุรกิจสินค้าและบริการทั้งในและต่างประเทศ

✅ เปิดรับสมัครแล้ว #ฟรี ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2563

✅ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
สมัครเพื่อเข้าร่วมโครงการ คลิก https://forms.gle/fKTp3FxHkDCvoWJV8
สอบถามข้อมูลได้ทาง Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/HSC.CU.Pattani

หรือ โทรสอบถามได้ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทั้ง 3 สำนักงาน
สำนักงานกรุงเทพฯ 02-214-4401
สำนักงานเชียงใหม่ 053-280-815-6
สำนักงานปัตตานี 073-333-604

โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

DHE#DigitalHalalEconomyEcommerce

? การพัฒนาผู้ประกอบการ Smart SMEs / Halal Startup E-Commerce (เชิงลึก)✅ บ่มเพาะเชิงลึก 12 ชั่วโมง…

Posted by ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สำนักงานปัตตานี) on Monday, 14 September 2020

Halal Life & Health News: ด้วยสถานการณ์ข่าวสารการติดตามผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนโดยทั่วไป หากมีการติดตามข่าวสารมากจนเกินไป อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการทางกายและจิตใจได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หายใจไม่อิ่ม อึดอัดในช่องท้อง ปวดท้อง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติทั้งที่อยู่ในสภาพปกติ นอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ อาการวิตกกังวล ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หงุดหงิดง่าย โกรธ ฉุนเฉียว ก้าวร้าว สมาธิไม่ดี เป็นต้น

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้คำแนะนำหลัก 5 วิธีในการติดตามข่าวสารบ้านเมืองให้ห่างไกลจากความเครียดไว้ ดังนี้

1.แบ่งเวลาติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างพอดี โดยการติดตามข่าวสารไม่ควรติดตามต่อเนื่องนานเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพราะจะทำให้เครียดมากขึ้น

2. ทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติ หันเหความสนใจจากข่าวสารไปเรื่องอื่น ละเว้นการรับรู้ข่าวสารการเมืองบ้าง โดยหันไปทำหน้าที่ของตนเอง เรียนหนังสือ การทำงาน และการให้เวลากับครอบครัว

3. เคารพความคิดเห็นแบบประชาธิปไตยที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ โดยไม่ดูข่าวหรือรับข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว จะทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง ควรเปิดกว้างและรับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่าง

4. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย วันละ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งการพักผ่อนจะทำให้ความเครียดลดลง

5. การผ่อนคลายความเครียด เช่น การออกกำลังกาย ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกหายใจคลายเครียด การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นต้น

ในศาสนาอิสลาม การกล่าวดุอาอฺ การอ่านอัลกุรอาน การละหมาดและการมอบหมายไปยังอัลลอฮฺ ก็เป็นหนึ่งในอีกหลายวิธีในการขจัดความเครียด

วัลลอฮูอาลัม

…………………………..
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานปัตตานี
ที่มา : https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=28502

เราจะรับประทานเนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธีการทำให้สัตว์สลบหรือหมดสติก่อนการเชือดด้วยกระแสไฟฟ้าได้หรือไม่?

:: คำถาม ::
แด่นักวิชาการที่เคารพนับถือ ขอความศานติและความจำเริญของอัลลอฮ์จงประสบแด่ท่าน ข้าพเจ้ามีคำถามว่า หากกระแสไฟฟ้าถูกนำไปใช้กับสัตว์สักสองสามวินาทีเพื่อทำให้สัตว์นั้นสลบหรือหมดสติ จากนั้นค่อยนำสัตว์ไปเชือดตามหลักศาสนบัญญัติในอิสลาม ด้วยวิธีการนี้จะถือว่าเนื้อสัตว์ฮาลาลหรือไม่ ? จากกระบวนการนี้ การสังหารสัตว์จะต้องถูกทำให้แน่ใจตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ว่าสัตว์นั้นยังคงหายใจและยังมีชีวิตอยู่ การทำให้สัตว์หมดสติด้วยการใช้กระแสไฟฟ้าหรือช็อตด้วยกระแสไฟฟ้านั้นมีเป้าหมายเพียงเพื่อให้สัตว์ไม่ต้องเคลื่อนไหวใด ๆ ซึ่งจะช่วยให้ง่ายทั้งต่อตัวสัตว์เองและต่อผู้ดำเนินการเชือด อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดหลักสองประการของการเชือดสัตว์ฮาลาลคือสัตว์จะต้องมีชีวิตอยู่ ณ ช่วงเวลาของการเชือด และเลือดทั้งหมดของสัตว์จะต้องถูกปล่อยให้ไหลออกมาจากร่างกาย หากเราปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งสองประการนี้ แม้ว่าจะใช้กรรมวิธีการทำให้สัตว์หมดสติด้วยการช็อกไฟฟ้า เนื้อสัตว์จะได้รับการพิจารณาว่าฮาลาลหรือไม่ ? ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนความดีงามของท่าน.

ตอบคำถามโดยมุฟตี: ชัยค์ อะห์มัด คุตตี

ขอความศานติและความจำเริญของอัลลอฮ์จงประสบแด่ท่าน ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ การขอบคุณและการสรรเสริญทั้งหมดเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ขอความศานติและความศิริมงคลจงประสบแด่ท่านศาสนทูตของพระองค์

พี่น้องที่รักในอิสลาม ขอบคุณมากสำหรับคำถามของท่านซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของท่านที่มีต่อมุมมองอันชัดเจนของคำสอนในศาสนาอิสลาม อัลลอฮ์ทรงบัญญัติให้ชาวมุสลิมที่มีความรู้ต้องสร้างความคุ้นเคยกับคำสอนของศาสนาอิสลามในทุกมิติของชีวิต

อย่างไรก็ตาม การทำให้สัตว์หมดสติหรือการใช้ไฟฟ้ากับสัตว์ก่อนดำเนินการเชือดจะไม่ทำให้สัตว์นั้นมีสถานะหะรอม (ต้องห้าม) แก่การบริโภคสำหรับชาวมุสลิม หากสัตว์นั้นยังมีชีวิตอยู่หลังจากถูกไฟฟ้าช็อก จากนั้นค่อยนำไปเชือดตามหลักการอิสลามให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรผิดปกติในการบริโภคมัน ถึงกระนั้น หากสัตว์นั้นตายด้วยกระบวนการช็อกด้วยไฟฟ้าก่อนที่จะถูกเชือดตามหลักการ เนื้อสัตว์นั้นจะถือว่าเป็นที่ต้องห้ามสำหรับชาวมุสลิมสำหรับการบริโภค

เนื่องจากคำถามของท่าน ชัยค์ อะห์มัด คุตตี นักวิชาการอิสลามอาวุโสประจำสถาบันอิสลามแห่งโตรอนโต ออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ได้กล่าวว่า:

สัตว์ที่ถูกเชือดด้วยกรรมวิธีนี้จะถือว่าฮาลาล ดังนั้น จึงเป็นที่อนุมัติสำหรับเราที่จะบริโภคเนื้อสัตว์ประเภทนี้ ตราบเท่าที่สัตว์เหล่านั้นไม่ได้เสียชีวิตก่อนกระบวนการเชือด นี่เป็นคำวินิจฉัยของสภานิติศาสตร์อิสลามโลก (World Fiqh Council) หลังจากที่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สภาได้ข้อสรุปว่าการช็อตสัตว์ด้วยกระแสไฟฟ้าก่อนกระบวนการเชือดไม่ทำให้สัตว์เป็นที่ต้องห้ามสำหรับการบริโภคของชาวมุสลิมแต่อย่างใด แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าสัตว์ที่เชือดนั้นต้องมีชีวิตอยู่ขณะกระบวนการเชือด แน่นอนว่าการเชือดนั้นจะต้องถูกต้องตามเงื่อนไขมาตรฐานฮาลาล เช่น เส้นเลือดใหญ่จะต้องถูกตัดด้วยมีดหรืออุปกรณ์ที่แหลมคม โดยที่เลือดในร่างกายทั้งหมดจะต้องถูกปล่อยให้ระบายออกมา และพระนามของอัลลอฮ์จะต้องได้รับการกล่าวในขณะที่เชือด

วัลลอฮุอะอฺลัม (แท้จริงแล้วอัลลอฮ์ทรงรู้ดีที่สุด)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: aboutislam.net

บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดปัญหาสุขภาพน้อยกว่าจริงหรือ?

บุหรี่ไฟฟ้า :
ของเหลวในบุหรี่ไฟฟ้ามักทำจากนิโคติน โพรพิลีนไกลคอล กลีเซอรีนและสารปรุงแต่งกลิ่นรส

แน่นอนว่ามันปลอดภัยกว่าหากจะกระโดดออกจากหน้าต่างที่สูงห้าชั้นหากเทียบกับการกระโดดออกจากหน้าต่างที่สูงยี่สิบชั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การกระโดดออกจากหน้าต่างนั้นมีความปลอดภัยแต่อย่างใด

หลักชะรีอะฮ์ในอิสลามได้บัญญัติห้ามไม่ให้มนุษย์ใช้สิ่งต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นอันตรายทันทีทันใดหรือค่อย ๆ เป็นอันตรายจนนำไปสู่ความตายภายหลัง สร้างความเสียหายต่อร่างกาย หรือส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยและเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจ

ท่านศาสนทูตมุฮัมมัดได้กล่าวว่า: “เท้าของลูกหลานอาดัมจะไม่ขยับไปไหนจาก ณ ที่อัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์จนกว่าจะถูกถามถึง 5 ประการด้วยกัน จะถูกถามถึงชีวิตของเขาว่าเขาใช้หมดไปกับอะไร และวัยหนุ่มของเขาว่าใช้กับอะไร และทรัพย์สินของเขาว่าได้มาจากที่ไหนและใช้จ่ายไปอย่างไร และจะถูกถามถึงสิ่งใดบ้างที่เขาได้ปฏิบัติไปในสิ่งที่รู้มา” (บันทึกการรายงานโดยติรมิซีย์)

ด้วยเหตุนี้ ตามหลักศาสนาอิสลามสุขภาพของเรานับว่าเป็นประหนึ่งของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานมาให้มนุษย์ ชะรีอะฮ์จึงบัญญัติห้ามไม่ให้เราทำของขวัญชิ้นนี้เสียหายด้วยการกระทำที่ขาดการยั้งคิด เช่น การสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งศาสนาอิสลามและวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีงานวิจัยเล็ก ๆ ที่พบว่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจเสี่ยงต่อโรคปอดและโรคหลอดเลือดต่าง ๆ จากรายงานของ แอนดรูว์ มาสเตอร์สัน (Andrew Masterson) ในนิตยสารคอสมอส (Cosmos Magazine)

ข้อโต้แย้งที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นตัวแทนของการบริโภคนิโคตินในรูปแบบที่ปลอดภัย จากการศึกษาพบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ปกติ อีกทั้งยังสร้างผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายต่อปอดเช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป

การศึกษาขนาดเล็กชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อเมริกันสำหรับการศึกษาโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต (American Journal of Respiratory and Critical Care Medicine) ซึ่งผู้เขียนก็ยอมรับว่างานชิ้นนี้ยังมีข้อจำกัดอย่างมีนัยสำคัญ

คณะนักวิจัยซึ่งนำโดยนักพยาธิวิทยา เมห์เมด เคสิเมอร์ (Mehmet Kesimer) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ (University of North Carolina at Chapel Hill) ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการเก็บตัวอย่างเสมหะของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 15 คน ผู้สูบบุหรี่ทั่วไปจำนวน 14 คน และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่จำนวน 15 คน

ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ทั่วไปแสดงผลลัพธ์ให้เห็นถึงระดับที่เพิ่มขึ้นของสารบ่งชี้ทางชีวภาพอย่างน้อยสองตัว คือ ไทโอรีดอกซิน (Thioredoxin: TXN) และเมตริกซ์เมทัลโลโปรตีนเนส-9 (Matrix Metalloproteinase-9: MMP9) ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะเครียดจากการออกซิเดชัน (oxidative stress) และกลไกการป้องกันที่เชื่อมโยงกับโรคปอด
.
กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มนี้ยังแสดงผลลัพธ์ของค่าวัดระดับการหลั่งเยื่อเมือกที่สำคัญของมิวซินคัดหลั่งชนิด Mucin 5AC ซึ่งเป็นเยื่อเมือกระดับเดียวกับที่โรคหอบหืดและโรคหลอดลมอักเสบสามารถหลั่งออกมาในระดับที่สูงได้ขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ายังพบระดับของโปรตีนที่สูงขึ้นอีกสองชนิดจากเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล ซึ่งชนิดของเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค แต่ในกรณีที่มีการผลิตมากเกินไป ผู้ป่วยอาจประสบโรคปอด เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส หรือโรคหลอดลมพอง

นอกจากนี้ยังพบโปรตีนจากนิวโตรฟิลชนิดกับดักที่ทำจากเส้นใยดีเอ็นเอที่มีโปรตีนต่อต้านจุลินทรีย์ซึ่งผูกติดอยู่กับมัน (Neutrophil Extracellular Traps: NETs) พบอยู่บริเวณนอกปอดของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ยังพบเนื้อเยื่อที่เสียหายรอบ ๆ เส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ณ บริเวณดังกล่าว ซึ่งจากกรณีนี้มันสามารถพัฒนาอาการให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดอักเสบและโรคสะเก็ดเงิน

:: งานวิจัยเพิ่มเติม ::

“ความสับสนที่เกิดขึ้นกับบุหรี่ไฟฟ้าว่าแท้จริงแล้วมันมีความปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปหรือไม่นั้นเป็นเนื่องมาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นยังอยู่ในกระบวนการศึกษาในระดับเริ่มต้นเท่านั้น” เคสิเมอร์ กล่าว

“จากผลลัพธ์ในงานศึกษาของเรามีข้อบ่งชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจเลวร้ายเทียบเท่าบุหรี่ทั่วไป” คณะวิจัยของเคสิเมอร์ ระบุว่ามูลค่าของการศึกษาวิจัยนี้มีขนาดเล็กและจำกัด เนื่องจากสมาชิกของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 12 คนของผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ากล่าวว่า พวกเขาเคยสูบบุหรี่ทั่วไปมาก่อนในอดีต

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาที่มีก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความตระหนักและเล็งเป้าไปยังจุดที่ต้องมีการสืบสวนและศึกษาต่อไป “การเปรียบเทียบความอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้ากับบุหรี่ทั่วไปก็เหมือนกับการเปรียบเทียบผลแอปเปิ้ลกับผลส้ม” เคสิเมอร์ กล่าว

“ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีสัญญาณที่แสดงถึงความอันตรายที่บรรจุในปอด เป็นความอันตรายที่มีทั้งความคล้ายคลึงและมีลักษณะเฉพาะ ผลลัพธ์นี้ได้ท้าทายแนวคิดที่จะเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่ทั่วไปเป็นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าด้วยความเข้าใจว่ามันเป็นทางเลือกที่มีความอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่า”

การสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากสมมติฐานที่ว่ามันมีความปลอดภัยกว่า ในปี 2016 เจ้ากรมการแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมาอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นกว่า 900% ในหมู่นักเรียนมัธยมปลาย

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: aboutislam.net

ฉันสามารถกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการเชือดตามบมบัญญัติศาสนาอิสลามได้หรือไม่?

:: [คำถาม] ::
ฉันเป็นคนงานชาวอินโดนีเซียที่ทำงานในนครบราซีเลีย ประเทศบราซิลเกือบสามเดือน ขณะที่ฉันทำงานที่นั่น ฉันไม่ได้ทานเนื้อสัตว์ใด ๆ เพราะเกรงว่ามันจะไม่ฮาลาลตามหลักการศาสนา ตอนนี้ฉันกินเพียงผัก ปลา และอาหารทะเลเท่านั้น บางครั้งฉันก็รู้สึกอยากกินเนื้อสัตว์บ้าง คำถามของฉันคือ ฉันสามารถกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้รับการเชือดด้วยนามของอัลลอฮฺได้หรือไม่ ? หรือฉันสามารถกินมันได้เพียงแค่กล่าวนามของอัลลอฮฺขณะรับประทาน ? เงื่อนไขนี้เพียงพอสำหรับฉันให้รับประทานมันได้หรือไม่ ?

:: [คำตอบ] ::
ขอความสันติ ความเมตตา และความจำเริญจากผู้เป็นเจ้าจงประสบแด่ท่าน ด้วยพระนามของผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงไพศาลในความเมตตา ผู้ทรงถ้วนทั่วในความกรุณา มวลการสรรเสริญทั้งหมดเป็นสิทธิแห่งผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ความจำเริญและความศานติจงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของเรา รวมถึงวงศ์วานของท่านและเหล่าสาวกของท่านทั้งมวล

จากฟัตวาชิ้นนี้สรุปได้ว่า:
1 – ทรรศนะที่เป็นมติเอกฉันท์โดยบรรดาปวงปราชญ์และนักวิชาการต่างอนุญาตให้ทานเนื้อสัตว์ของกลุ่มชนชาวคัมภีร์ (อะฮฺลุล กิตาบ) ทั้งชาวยิวและชาวคริสเตียนได้ หากนามของอัลลอฮฺนั้นได้รับการกล่าวขณะเชือด

2 – หากว่าผู้เชือดได้กล่าวนามอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺขณะที่เชือด เช่น ชื่อพระเยซู นักวิชาการบางท่านก็ไม่ถือว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นเป็นที่อนุญาตสำหรับมุสลิมให้รับประทานได้

ดร. มุฮัมมัด เศาะลาห์ ศาสตราจารย์ประจำวิชาอูศุล อัล ฟิกฮฺ แห่งสถาบันการศึกษาชะรีอะฮฺ อะคาเดมี่ ซึ่งเป็นผู้ตอบคำถามนี้ ท่านได้ให้คำตอบว่า กฎเกณฑ์ทั่วไปคืออนุญาตให้ทานเนื้อสัตว์ที่เชือดโดยกลุ่มชนชาวคัมภีร์ได้ (อะฮฺลุล กิตาบ) ได้แก่ ชาวยิวและชาวคริสเตียน หากชื่อของอัลลอฮฺได้รับการกล่าวขณะที่ทำการเชือด

อัลลอฮฺตรัสว่า “ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวบนมันเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์” (อัล อันอาม 6:118)

อัลลอฮฺตรัสว่า “และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺมิได้ถูกกล่าวบนมัน และแท้จริงมันเป็นการละเมิดแท้” (อัล อันอาม 6:121)

หากว่าผู้เชือดได้กล่าวนามอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺขณะที่เชือด เช่น ชื่อพระเยซู ถือว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับมุสลิมให้รับประทานได้

อัลลอฮฺตรัสว่า “ที่จริงที่พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้านั้นเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ” (อัล บะเกาะเราะฮฺ 2:173)

นอกจากนี้ หากทราบว่าเนื้อสัตว์ในประเทศที่ท่านอาศัยนั้นได้จากกรรมวิธีการฆ่าสัตว์ด้วยวิธีการใช้ปืนยิง การทำให้หมดลมหายใจ หรือการรัดคอ โดยที่ไม่ได้มาด้วยกรรมวิธีการเชือดที่ถูกต้อง เนื้อสัตว์เหล่านั้นถือว่าเป็นที่ต้องห้ามสำหรับมุสลิมมิให้รับประทาน

แต่ถ้าผู้เชือดเป็นหนึ่งในกลุ่มชนชาวคัมภีร์และพวกเขาก็เชือดสัตว์ของพวกเขาด้วยการกล่าวนามของผู้เป็นเจ้า ถือว่าเป็นที่อนุญาตสำหรับชาวมุสลิมที่จะรับประทานเนื้อสัตว์เหล่านั้นได้

แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้ดีที่สุด

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง