Halal Biz News: มาเลเซียปรับวิสัยทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่จากวิสัยทัศน์ 2020 สู่วิสัยทัศน์ 2030 โดยนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียวิจารณ์ว่าวิสัยทัศน์ 2020 มีแต่จะทำให้ประเทศเป็นหนี้มากขึ้นจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจ้างแรงงานทักษะต่ำ นอกจากนี้ กิจการจำนวนมากยังตกอยู่ในมือของนักลงทุนต่างชาติและความเจริญกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่

วิสัยทัศน์ 2020 ของมาเลเซีย คือ วิสัยทัศน์แห่งชาติที่ได้กำหนดอนาคตประเทศมาเลเซียไว้ว่า “มาเลเซียจะต้องเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ.2563 (2020)” โดยมีเป้าหมาย ที่จะทำให้มาเลเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 7 ต่อปีทุกปี และเศรษฐกิจจะเข้มแข็งขึ้นเป็น 8 เท่า แต่เนื่องจากวิสัยทัศน์ 2020 จะครบในอีก 1 ปีข้างหน้า รวมทั้งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงสภาพเศรษฐกิจ สังคมโลกและการเมืองของมาเลเซียเปลี่ยนไป จึงต้องมีวิสัยทัศน์ 2030 ใหม่ เกิดขึ้น

วิสัยทัศน์ 2030 นี้อยู่บนพื้นฐานของหลักการ “ความมั่งคั่งร่วมกัน (Shared Prosperity)” โดยมีเป้าหมายเศรษฐกิจ 3 ประการ
1. การลดความเหลื่อมล้ำของรายได้
2. การสร้างระบบเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าบนพื้นฐานของความรู้และคุณค่า โดยประชาชนมาเลเซียในทุกระดับมีส่วนร่วม
3. การทำให้มาเลเซีย เป็นระบบเศรษฐกิจชั้นนำของเอเชีย

เพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ประชาชนมาเลเซีย ทุกคน ไม่ว่าจะเชื้อชาติหรือชนชั้นใด และไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท มีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีภายในปี ค.ศ. 2030 ประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย ได้แก่

1. การปรับโครงสร้างของระบบนิเวศทางธุรกิจและอุตสาหกรรมให้รองรับอนาคตด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4

2. การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจดิจิทัลและส่งเสริมอาชีพที่ใช้ทักษะสูง

3. การส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงมาเลเซียจากประเทศผู้บริโภคไปเป็น ผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานสากล

4. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการปรับปรุงตลาดแรงงานและอัตราค่าจ้าง

5. การช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยบนพื้นฐานของความต้องการ (need-based) และการพัฒนาศักยภาพในการช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากความยากจน
6. การลดความแตกต่างของระดับการพัฒนาระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างรัฐต่าง ๆ และระหว่างมาเลเซียตะวันออกกับมาเลเซียตะวันตก

7. การพัฒนาต้นทุนและกลไกทางสังคมให้สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างสังคมแห่งความรู้ประชาชนขยันและอดทน และมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน แนวทางเศรษฐกิจใหม่ดังกล่าวจะไม่วัดความสำเร็จจากการเติบโตของ GDP แต่จะวัดจากความยากจนที่ลดลง และการกระจายความมั่งคั่งไปสู่ประชาชนมาเลเซียทุกคนอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม

………………………………………………………………….
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานปัตตานี เรียบเรียง

ที่มา : https://globthailand.com/

“อัลเฆซีราส” ท่าเรือฮาลาลสเปนโอกาสของธุรกิจไทยสู่ตลาดสเปน ยุโรปใต้ แอฟริกาและตะวันออกกลาง

Halal Biz News: สถานเอกราชทูต ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน รายงานว่า ท่าเรืออัลเฆซีราส ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนและอันดับ 4 ของยุโรป ได้รับเครื่องหมายรับรองมาตรฐานฮาลาลจาก Halal Food & Quality ซึ่งเป็นสถาบันในเมืองคอร์โดบา ประเทศสปน เมื่อเดือนมกราคม 2562 ที่ผ่านมา โดยมีบริษัท TIBA ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์เป็นผู้ดูและ ยังมี Docks ผู้ให้บริการจุดตรวจชายแดนท่าเรืออัลเฆซีราส และบริษัท Gonza’lez Gaggero ผู้ให้บริการพิธีผ่านแดนก็ได้รับเครื่องหมายรับรองฮาลาลเช่นกัน

ท่าเรืออัลเฆซีราส มีเส้นทางการขนส่ง 28 เส้นทาง เชื่อมท่าเรือ 198 แห่งใน 74 ประเทศทั่วโลก เป็นท่าเรือที่มีสินค้ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนและอันดับ 4 ของยุโรปในปี 2561 มีปริมาณการขนส่งสินค้ารวมทั้งสิ้น 107 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 5.5 ล้านตันจากปี 2560 การเดินทางจากท่าเรือของไทยมายังท่าเรืออัลเฆซีราสใช้เวลา 21 วัน จึงเป็นข่าวดีของผู้ประกอบการสินค้าฮาลาลของไทย ที่จะพิจารณาท่าเรือแห่งนี้เพื่อขยายตลาดมายังสเปน ยุโรปใต้ แอฟริกาและตะวันออกกลาง ถือได้ว่าท่าเรืออัลเฆซีราสจะเป็นประตูที่สำคัญให้แก่สินค้าจากประเทศไทย

…………………………………………………………………………..
ที่มา: http://www.thaibizmadrid.com/?page_id=1892
https://globthailand.com/spain_0030/?fbclid=IwAR0zyD8-sW0arbWONcnui-TmxUcGkT3emJ-J1p5VHgSwrI2VnHv_q7-cYf4
https://ec.europa.eu/transport/themes/infrastructure_en

ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาฯ พัฒนาแอปพลิเคชัน H-NUMBER เพื่อลดค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการสินค้าฮาลาล

Halal Tech News : คอลัมน์ HALAL LANNA ในวารสาร Halal Insight ฉบับที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันค้นหาวัตถุเจือปนอาหารฮาลาลที่ใช้ชื่อว่า H number Application เพื่อค้นหาข้อมูลวัตถุเจือปนอาหารฮาลาลผ่านโทรศัพท์มือถือ ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการในการลดค่าใช้จ่ายการตรวจสอบสถานะฮาลาลของวัตถุเจือปนอาหารบางประเภทในกระบวนการตรวจรับรองฮาลาล

ในกระบวนการผลิตอาหารฮาลาลนอกจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการรับรองแล้ว การเตรียมการก่อนการรับรองฮาลาลก็มีค่าใช้จ่ายในการยืนยันสถานะฮาลาลของแหล่งที่มาของวัตถุดิบหรือวัตถุเจือปนอาหารบางประเภทอีกด้วย ซึ่งวัตถุเจือปนอาหารโดยส่วนใหญ่ผลิตจากธรรมชาติ จากแร่ธาตุและจากการสังเคราะห์ ขณะเดียวกันก็มีหลายบริษัทที่มีการตรวจสอบและรับรองสถานะฮาลาลทั้งจากในและต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้วิจัยและพัฒนาฐานข้อมูลวัตถุเจือปนอาหารฮาลาลขึ้นโดยใช้ชื่อว่า H-Number ซึ่งเป็นฐานข้อมูลวัตถุเจือปนอาหารฮาลาลเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ที่จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการและจะสร้างประโยชน์ในการค้นหาวัตถุเจือปนอาหารของผู้บริโภคโดยทั่วไปอีกด้วย

::วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) คืออะไร?::
วัตถุเจือปนอาหาร หมายถึง วัตถุที่ตามปกติไม่ได้ใช้เป็นอาหารหรือส่วนประกอบที่สำคัญของอาหาร แต่ใช้เจือปนในอาหารเพื่อประโยชน์ทางเทคโนโลยีการผลิต การแต่งสี การปรุงแต่งกลิ่นรสอาหาร การบรรจุการเก็บรักษา หรือการขนส่งซึ่งมีผลต่อคุณภาพหรือมาตรฐานหรือลักษณะของอาหาร รวมถึงวัตถุที่ไม่ได้เจือปนในอาหารแต่มีภาชนะบรรจุไว้เฉพาะใส่ร่วมกับอาหารเพื่อประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นด้วย โดยกำหนดเป็นรหัสของวัตถุเจือปนอาหารอย่าง E-Number หรือ INS โดยจำแนกเป็นกลุ่มต่างๆเช่น E/INS 100-199 เป็นกลุ่มรหัสของสีผสมอาหาร, E/INS 200-299 กลุ่มรหัสของวัตถุกันเสีย, E/INS 300-399 กลุ่มรหัสของสารต้านออกซิเดชันและสารควบคุมกรด, E/INS 400-499 กลุ่มรหัสของสารเพิ่มความหนืด สารเพิ่มความคงตัวและอิมัลซิไฟเออร์, E/INS 500 – 599 กลุ่มรหัสของสารควบคุมกรดและสารเพิ่มความคงตัว, E/INS 600 – 699 กลุ่มรหัสของสารเพิ่มกลิ่นและรสชาติ, E/INS 700-799 กลุ่มรหัสของสารฆ่าเชื้อ เป็นต้น

::E- Number/INS ฮาลาลหรือไม่?::
E-number/INS เกือบทั้งหมดนั้นโดยพื้นฐานแล้วได้รับอนุญาตและถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในประเทศมุสลิม อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าวัตถุเจือปนอาหารทั้งหมดนั้นจะฮาลาลเสมอไป สารเติมแต่งจำพวกกรดไขมันจำนวนมาก ได้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิต และเป็นเรื่องกังวลสำหรับผู้บริโภคมุสลิม ถึงแหล่งที่มาของสารเติมแต่งเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้พัฒนาฐานข้อมูลวัตถุเจือปนอาหารฮาลาลขึ้น

::จาก E-Number สู่ H-Number::
รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน และทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำฐานข้อมูลวัตถุเจือปนอาหารฮาลาลเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมหรือที่เรียกว่า H-Number ขึ้น โดยเริ่มทำการศึกษาจากฐานข้อมูล E-Number ในแต่ละกลุ่ม เริ่มต้นตั้งแต่การค้นคว้าเอกสาร ตำราต่างๆไปจนถึงการสัมภาษณ์ การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล โดยแบ่งหมวดหมู่ของวัตถุเจือปนอาหารออกเป็น 3 หมวดหมู่ ดังต่อไปนี้

1. Halal Ingredients by Fatwa คือวัตถุดิบที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี หรือสกัดได้จากพืช ที่อนุญาตให้ใช้ในกระบวนการผลิตอาหารฮาลาลได้และมีการรับรองจากผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรีอีกด้วย

2. Halal Ingredients by Certification การผลิตวัตถุดิบกลุ่มนี้อาจมีขั้นตอนที่อาจเกิดการปนเปื้อนได้ ดังนั้นจะต้องมีการรับรองจากองค์กรศาสนา การรับรองวัตถุดิบกลุ่มนี้จะต้องมีการตรวจสอบว่าบริษัทใดหรือยี่ห้อใดบ้างที่ได้รับการรับรองฮาลาล ซึ่งในแอปพลิเคชันนี้ ได้รวบรวมข้อมูลการผลิต บริษัทที่ผลิต รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมในการติดต่อเพื่อนำมาใช้เพื่อการผลิตอาหารฮาลาล

3. Mashbooh Ingredients กลุ่มที่สถานะยังคลุมเครือ สงสัย เนื่องจากวัตถุดิบกลุ่มนี้อาจได้มาจากกระบวนการผลิตที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการปนเปื้อนด้วยสิ่งต้องห้ามหรือไม่มีการรับรองฮาลาลจากองค์กรศาสนา จึงไม่แนะนำให้ใช้ในกระบวนการผลิตอาหารฮาลาล

::การพัฒนาแอปพลิเคชัน H-Number::
แอปพลิเคชัน H-Numbers ได้รับการพัฒนาต่อยอดเป็นเว็บแอปพลิชันและโมบายแอปพลิเคชัน H Number โดยทีมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาฯ สำนักงานเชียงใหม่ ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการและผู้บริโภคอาหารฮาลาลในยุคดิจิตอล เพื่อเป็นระบบตรวจสอบข้อมูลวัตถุเจือปนอาหารจาก E-Number สู่ฐานข้อมูล H-Number ซึ่งเป็นฐานข้อมูลวัตถุเจือปนอาหารฮาลาล โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลสถานะและการรับรองของวัตถุเจือปนอาหารนั้นๆ และรายชื่อเครื่องหมายการค้าของผู้จัดจำหน่ายที่เกี่ยวข้องกับวัตถุเจือปนอาหาร โดยผู้ประกอบการผลิตอาหารฮาลาลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย สะดวก รวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายในการขอรับรองหรือตรวจพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาลในการยืนยันสถานะฮาลาลของวัตถุเจือปนอาหารบางรายการ โดยท่านสามารถค้นหาผ่านทางเว็บแอปพลิเคชัน http://h4e.halalthai.com/ หรือผ่านทางโมบายแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า “H numbers Application” ได้

…………………………………………….
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานปัตตานี

ที่มา…
http://food.fda.moph.go.th/data/news/2556/560902/Update%20Food%20Additives.pdf
http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1683/e-number
http://www.halalscience.org/library_online/home/read_online/41
http://maansajjaja.blogspot.com/

น้ำตาลแอลกอฮอล์ (Sugar Alcohol) คืออะไร? ฮาลาลหรือไม่ ?

คุณทราบหรือไม่ว่า อาหารจำพวกเจลลี่ พุดดิ้ง หมากฝรั่ง แยม ลูกกวาด ช็อคโกแล็ต และผลิตภัณฑ์ขนมหวานจำนวนมาก มีการใช้น้ำตาลแอลกอฮอล์ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้

#น้ำตาลแอลกอฮอล์คืออะไร?
น้ำตาลแอลกอฮอล์หรือโพลิไฮดริกแอลกอฮอล์ เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่สกัดจากพืช ผัก และผลไม้ตามธรรมชาติ ที่ได้จากปฏิกิริยาไฮโดรจิเนชันของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) โดย Cabonyl oxygen ถูกรีดิวซ์ได้เป็น polyhydroxyl alcohol การเรียกชื่อน้ำตาลแอลกอฮอล์จะแทนที่ “ose” ด้วย “itol” เราจะเห็นได้ว่าน้ำตาลแอลกอฮอล์ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยามากขึ้น ลองสังเกตในฉลากผลิตภัณฑ์ใกล้ตัวคุณจะพบข้อความที่ระบุว่า ‘ปราศจากน้ำตาล’ หรือ ‘sugar free’ ในผลิตภัณฑ์ ลูกกวาด คุกกี้ หมากฝรั่ง หรือยาสีฟัน

#น้ำตาลแอลกอฮอล์ที่ใช้กันโดยทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหารและยา

• Sorbital ใช้เพิ่มความหวานให้กับลูกกวาด แยม เยลลี่ และยาแก้ไอ มีความหวาน 60% ของน้ำตาล
• Manitol ใช้เพิ่มความหวานเช่นเดียวกับ Sorbital ในผลิตภัณฑ์เช่น ลูกอม ลูกกวาด แยม หมากฝรั่ง ยาแก้ไอ ยาขับปัสสาวะ มีความหวาน 60% ของน้ำตาล
• Erythritol ใช้เพิ่มรสหวานในหมายฝรั่งและเครื่องดื่มบางประเภท มีความหวาน 70% ของน้ำตาล
• Xylitol คณะกรรมการอาหารและยาบางประเทศได้ขึ้นทะเบียนให้ xylitol เป็นสารที่มีความหวานที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวาน มีความหวานเทียบเท่าน้ำตาล
• Isomalt เป็นที่ยอมรับและใช้มากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ประโยชน์หลักใช้เป็นองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์อย่าง เค้ก ช็อคโกแล็ต คุ้กกี้ ไอศกรีม แยม หมากฝรั่ง ยาแก้ไอ ซึ่งมีความหวาน 50% ของน้ำตาล
• Lactitol ถูกนำมาใช้ในทางคลินิก เป็นยาระบายและช่วยบำบัดอาการท้องผูก มีความหวาน 40% ของน้ำตาล
• Maltitol ถูกนำมาใช้ในทางอุตสาหกรรมอย่าง ลูกอม ลูกกวาด ช็อคโกแล็ต หมากฝรั่งคุกกี้ ไอศกรีมและถูกระบุว่าเป็นสารที่ให้ความหวานโดยไม่ทำให้เกิดฟันผุ ซึ่งมีความหวาน 75 – 90% ของน้ำตาล

#น้ำตาลแอลกอฮอล์มีแอลกอฮอล์อยู่หรือไม่?
น้ำตาลแอลกอฮอล์ ไม่มีสิ่งที่เรามักเรียกว่าแอลกอฮอล์หรือเอทานอล ที่มีอยู่ทั่วไปในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่น้ำตาลทั้งหมดเหล่านี้ตกอยู่ในกลุ่ม ‘แอลกอฮอล์’ เนื่องจากโครงสร้างทางเคมีของน้ำตาลดังกล่าวอยู่ในกลุ่มไฮดรอกซิล (-OH) ซึ่งผูกไว้กับอะตอมคาร์บอนของกลุ่มอัลคิลหรือหมู่อัลคิลแทน

น้ำตาลแอลกอฮอล์นั้น ไม่ได้ผลิตขึ้นจากกระบวนการหมักแอลกอฮอล์ในลักษณะเดียวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างการหมักเบียร์หรือไวน์ ไม่ได้กลั่นออกมาในลักษณะเดียวกับวอดก้าหรือวิสกี้ และไม่มีแอลกอฮอล์ที่เรียกว่าเอทานอล (เอทิลแอลกอฮอล์) ซึ่งเป็นแอลกกอฮอล์ประเภทหนึ่งที่อยู่ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

#น้ำตาลแอลกอฮอล์ฮาลาลหรือไม่?
ข้อมูลจากเว็ปไซต์ IslamQA ตอบโดยมุฟตี Shafiq Jakhura กล่าวว่า น้ำตาลแอลกอฮอล์ถือว่าฮาลาล อนุญาตให้บริโภคได้ ซึ่งสกัดได้มาจากพืชที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ซอบิทอลได้มากจากข้าวโพด แมนนิทอลจากสาหร่าย โดยส่วนใหญ่น้ำตาลแอลกอแฮอล์ได้มาจากน้ำตาลและแป้ง

ข้อมูลจากเพจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพกล่าวว่า ประเทศมุสลิมอย่างซาอุดิอารเบียและกาตาร์อนุญาตการใช้น้ำตาลแอลกอฮอล์ เช่น ในประเทศซาอุดิอารเบียอนุญาตการใช้ isomalt sorbitol, sorbitol syrup (E420), mannitol (E421), maltitol (E965), maltitol syrup, lactitol (E966) และ xylitol (E967) เป็นต้น

ส่วนในประเทศกาตาร์อนุญาตการใช้น้ำตาลแอลกฮอล์ เช่น sorbitol, sorbitol syrup (E420), mannitol (E421), isomannitol (E953), maltitol (E965), lactitol (E966) และ xylitol (E967) เป็นต้น

กรณี Glycerol หรือ กลีเซอรีน ซึ่งอยู่ในกลุ่มน้ำตาลแอลกอฮอล์แต่ตกในกลุ่มที่ต้องสงสัย ซึ่งสามารถผลิตได้ทั้งจากพืชและสัตว์ หากเป็นกลีเซอรอลที่สกัดจากพืชถือว่าฮาลาล หากมาจากสุกรหรือสัตว์ที่ไม่ได้รับการเชือดอย่างถูกต้องตามศาสนบัญญัติอิสลามก็จะถือว่าไม่เป็นที่อนุญาต

วัลลอฮุอะลัม (อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด)

……………………………………………………………………………………………….
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี เรียบเรียง

อ้างอิง
http://haamor.com/th/น้ำตาลแอลกอฮอล์
https://th.wikipedia.org/wiki/น้ำตาลแอลกอฮอล์
https://www.facebook.com/notes/musclemaniaclub/what-are-sugar-alcohols-is-sugar-alcohol-halal/268520949827526/
https://islamqa.org/hanafi/darulihsan/76521
http://h4e.halalthai.com/?page=17
https://www.quora.com/Is-glycerine-halal-or-haram

HALAL BLOCKCHAIN การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนสำหรับห่วงโซ่อุปทานฮาลาล

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท IBM ได้เปิดตัวระบบเครือข่ายติดตามอาหารโดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่เรียกว่า IBM Food Trust หลังผ่านการทดสอบมาเป็นระยะเวลา 18 เดือน โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านอาหารและค้าปลีกของโลกเข้าร่วมใช้เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการผลิตอาหารฮาลาล ได้มีการประชุมครั้งใหญ่เกี่ยวกับ Halal Blockchain เมื่อเดือนพฤษภาคม 2017 ณ ประเทศมาเลเซียที่ผ่านมา การประชุมใหญ่ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ห่วงโซอุปทานฮาลาลในปัจจุบันมีปัญหาหรือข้อบกพร่องเช่น การตรวจสอบย้อนกลับ การเรียกคืนสินค้า การขนส่ง คลังสินค้า ความสมบูรณ์ของห่วงโซ่จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ระบบมาตรฐานและการตีความฮาลาลของตลาดที่แตกต่างกันและขาดการบูรณาการของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยเหตุนี้การนำเทคโนโลยีอย่าง Blockchain มาใช้จัดการเรื่องฮาลาล จะช่วยการแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น

:: Blockchain คืออะไร ? ::

Blockchain เป็นเทคโนโลยีหลักที่อยู่เบื้องหลัง Bitcoin ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่4 โดยเป็นการจัดเก็บบันทึกการทำธุรกรรมดิจิตอลทั้งหมดให้เป็นสาธารณะ โดยทุกแหล่งเก็บบันทึกข้อมูลที่เรียกว่า Block จะมีกลไกเชื่อมต่อข้อมูลร้อยเรียงเป็นสายคล้ายกับดีเอ็นเอ โดยจะไม่ถูกจัดเก็บรวมศูนย์ไว้ที่ใดที่หนึ่ง แต่จะกระจายอยู่ในเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งทั่วโลกด้วยการเข้ารหัส แหล่งเก็บฐานข้อมูลที่กระจายทำให้มีความน่าเชื่อถือ เพราะทุกคนสามารถตรวจสอบได้และไม่ได้จำกัดให้ผู้ใช้คนเดียวมีอำนาจควบคุมข้อมูลดิจิตอลแต่เพียงผู้เดียว

:: วิสัยทัศน์ของห่วงโซ่อุปทานฮาลาลด้วยเทคโนโลยี Blockchain ::

เป็นการจัดเก็บข้อมูลประเภทดิจิตอลแบบกระจายส่วน ข้อมูลทางธุรกรรมที่ถูกบันทึกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเหมือนบล็อกที่ถูกประกอบให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยข้อมูลธุรกรรมชุดใหม่ที่ได้รับการบันทึกเพิ่มเข้ามา บล็อกเชนฮาลาลจึงมีข้อมูลที่ครบถ้วน ตั้งแต่แหล่งที่มาจนถึงปลายทางที่เป็นการซื้อขายของผู้บริโภค เนื่องจากฐานข้อมูลของบล็อกเชนฮาลาลจะถูกแบ่งปันโดยทุกสถานี (Node) ที่เชื่อมต่อในเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานฮาลาล ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลจึงกระทำได้โดยง่ายเพียงแค่สแกนรหัสคิวอาร์ (QR-code) ที่อยู่บนผลิตภัณฑ์ ในบล็อกเชนคุณสามารถตรวจสอบและระบุกลุ่มที่ฉ้อฉลได้อย่างง่ายดาย เทคโนโลยีนี้จึงขัดขวางไม่ให้อุตสาหกรรมทำการฉ้อฉลในห่วงโซ่อุปทานฮาลาล ในขณะเดียวกันระบบก็จะช่วยจัดอันดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ผู้จัดจำหน่าย และผู้เข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานฮาลาลอื่นๆ ตามลำดับประสิทธิภาพในการให้บริการของพวกเขา

:: หลักการออกแบบ Halal Blockchain ::

วัตถุประสงค์หลักที่ทำให้การดำเนินการบล็อกเชนฮาลาลนั้นประสบความสำเร็จ ได้แก่ การสร้างข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ไว้วางใจได้ของห่วงโซ่อุปทานฮาลาล กระบวนการฮาลาลที่มีประสิทธิภาพจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ความยั่งยืนของห่วงโซ่ ความเชื่อมั่นของแบรนด์ และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

หลักการสำคัญของบล็อกเชนฮาลาล ประการแรกคือ บล็อกเชนฮาลาลจะรวมเอาสำนักทางนิติศาสตร์ (มัซฮับ) ที่แตกต่างกันของตลาดปลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักคิดทางศาสนา คำวินิจฉัยทางศาสนา (ฟัตวา) และประเพณีท้องถิ่นต่างๆ บล็อกเชนฮาลาลควรสัมพันธ์ได้ทั้งกับประเทศมุสลิมและประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม ข้อกำหนดการรับรองฮาลาลของตลาดปลายทางและการยอมรับร่วมกันนั้น เป็นหลักการออกแบบที่สำคัญสำหรับบล็อกเชนฮาลาล ผู้เข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานจะได้รับการจัดตำแหน่งและแจ้งข้อมูลให้ทราบโดยอัตโนมัติถึงการปฏิบัติตามกระบวนการบนพื้นฐานของทัศนภาพทางการตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ที่อาจมีลักษณะเฉพาะ ยิ่งกว่านี้ ความถูกต้องและความปลอดภัยของบล็อกเชนฮาลาลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปกป้องข้อมูลที่เป็นความลับ รวมถึงการลดโอกาสและผลกระทบจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ให้อยู่ในระดับต่ำมากที่สุด

ไม่ว่าผู้ผลิต เจ้าของแบรนด์ และผู้ค้าปลีก ล้วนได้รับประโยชน์จากบล็อกเชนฮาลาลทั้งสิ้น โดยเฉพาะความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน ความได้เปรียบในการทำงานร่วมกัน ทั้งแบบที่ผ่านการทำงานร่วมกันในแนวตั้งและแนวนอน การสร้างมาตรฐานของสินทรัพย์ฮาลาล และการบริหารความเสี่ยง ชื่อเสียง และความไว้วางใจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และผู้จัดจำหน่ายจึงได้รับประโยชน์จากบล็อกเชนฮาลาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว สามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ฮาลาลได้ดีขึ้น การรวมสินค้าฮาลาลและมูลค่าเพิ่มใหม่ของโลจิสติกส์และการบริการ การทำให้เกิดการไหลเวียนธนบัตรเป็นแบบดิจิตอล และการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ส่วนหน่วยงานรับรองฮาลาลจะได้รับประโยชน์จากบล็อกเชนฮาลาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานฮาลาลที่มีความง่ายยิ่งขึ้น และการสนับสนุนอย่างรวดเร็วสำหรับอุตสาหกรรมในกรณีที่มีปัญหาหรือเกิดวิกฤตเกี่ยวกับฮาลาล

:: บทสรุปและข้อเสนอแนะ ::

บล็อกเชนฮาลาลให้ประโยชน์ที่ชัดเจนต่อผู้ผลิต เจ้าของแบรนด์ ผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ผู้จัดจำหน่าย และหน่วยงานรับรองฮาลาล เพื่อสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ฮาลาลของประเทศให้ดียิ่งขึ้น หน่วยงานรับรองฮาลาลควรใช้เทคโนโลยีใหม่นี้เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมฮาลาลเพื่อให้จัดการกับปัญหาหรือที่แย่ที่สุดคือวิกฤตต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมฮาลาล ควรสนับสนุนให้มีการรับรองฮาลาลของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ผู้จัดจำหน่าย และผู้ค้าปลีก เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เป็นมาตรฐานยิ่งขึ้นในกระบวนการขนส่งและจัดเก็บสินค้าที่อยู่ปลายน้ำของห่วงโซ่อุปทาน การสร้างระบบที่สอดประสานกันและการสร้างมาตรฐานของห่วงโซ่อุปทานฮาลาลที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในอนาคตที่กำลังมาถึง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมฮาลาลและห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่ทั่วโลก

………………………………………………………………………….………….
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี เรียบเรียง
ที่มา :

ผลิตภัณฑ์จากหมูอยู่รอบตัวเรา

“หิวขนมนิดๆ อยากกินหนมปังแซนด์วิช ซื้อกินระวังหยิบผิด ไม่ติดตราฮาลาล มะบอก ปะก็ห้าม จดจำอย่าหลงลืมกัน ถ้าไม่มีตราฮาลาล ซื้อกินกันได้ยังไง บะหมี่สำเสร็จรูป แซนด์วิช คุกกี้ ขนมปัง ตราฮาลาลมีไหม? ตรวจดูกันสักนิด ฮอตด็อก และพิซซ่า เป็นอาหารยอดฮิต ไก่วิ้งแซ่บเขาติด ติดตราฮาลาลบ้างมั้ย จำกันไว้สักนิด ฮา(ح) ลามอลีฟ(لا) ลาม(ل) ไง อ่านว่า ฮาลาล(حلال) จำไว้ มีตราติดกินได้ชัวร์

กุญแจไขริสกี

มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อัต-ตุวัยญิรีย์

กุญแจสำคัญสำหรับไขริสกีและสาเหตุที่จะทำให้อัลลอฮฺทรงประทานริสกีลงมา คือ

การขออภัยโทษจากอัลลอฮฺและเตาบัต(ขอลุแก่โทษ)ต่อพระองค์จากบาปกรรมต่างๆ
1.อัลลอฮฺ ได้กล่าวเกี่ยวกับนบีนูฮฺอะลัยฮิสสะลามว่า
«فَقُلْتُ اسْتَغْفِرُوا رَبَّكُمْ إِنَّهُ كَانَ غَفَّارًا، يُرْسِلِ السَّمَاء عَلَيْكُم مِّدْرَارًا، وَيُمْدِدْكُمْ بِأَمْوَالٍ وَبَنِين، وَيَجْعَلْ لَكُمْ جَنَّاتٍ وَيَجْعَل لَّكُمْ أَنْهَارًا»
“ข้าพระองค์ได้กล่าวว่าพวกท่านจงขออภัยโทษต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่านเถิด เพราะแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษอย่างแท้จริงพระองค์จะทรงหลั่งน้ำฝนอย่างมากมายแก่พวกท่านและพระองค์จะทรงเพิ่มพูนทรัพย์สินและลูกหลานแก่พวกท่าน และพระองค์จะทรงทำให้มีสวนและลำน้ำมากมายแก่พวกท่าน” (ซูเราะฮฺ นูหฺ อายะฮฺ 10-12)
2. อัลลอฮฺ ได้ตรัส เกี่ยวกับนบีฮูดอะลัยฮิสสะลามว่า
«وَيَا قَوْمِ اسْتَغْفِرُواْ رَبَّكُمْ ثُمَّ تُوبُواْ إِلَيْهِ يُرْسِلِ السَّمَاء عَلَيْكُم مِّدْرَارًا وَيَزِدْكُمْ قُوَّةً إِلَى قُوَّتِكُمْ وَلاَ تَتَوَلَّوْاْ مُجْرِمِينَ»
“และโอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย จงขออภัยโทษต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่าน และจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์ พระองค์จะทรงส่งเมฆ (น้ำฝน) มาเหนือพวกท่านให้หลั่งน้ำฝนลงมาอย่างมากมายและจะทรงเพิ่มพลังเป็นทวีคูณให้แก่พวกท่าน และพวกท่านอย่าผินหลัง (ให้แก่พระองค์) ในสภาพของผู้กระทำผิด” (ซูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺ 52)

ออกแสวงหาปัจจัยยังชีพตั้งแต่เช้าตรู่
ควรที่จะรีบออกแสวงหาปัจจัยยังชีพในเวลาเช้าตรู่ เพราะท่านนบี ได้กล่าวความว่า
“โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์โปรดประทานความจำเริญแก่ประชาชาติของฉัน ในเวลาเช้าตรู่ของพวกเขาด้วยเถิด” (หะดีษ เศาะฮีหฺ รายงานโดย อบูดาวูด หมายเลข 2606 เศาะฮีหฺสุนันอบีดาวูด หมายเลข 2270 และอัตติรมิซีย์ หมายเลข 1212 เศาะฮีหฺสุนันอัตติรมิซีย์ หมายเลข 968)

มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ
1) อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ว่า
«وَمَن يَتَّقِ اللهَ يَجْعَل لَّهُ مَخْرَجًا، وَيَرْزُقْهُ مِنْ حَيْثُ لاَ يَحْتَسِبُ»
“และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงหาทางออกให้แก่เขาและจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาโดยที่เขามิได้คาดคิด” (ซูเราะห์ อัตเฎาะลาก อายะฮฺ 2-3)
2) อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ว่า:
«وَلَوْ أَنَّ أَهْلَ الْقُرَى آمَنُواْ وَاتَّقَواْ لَفَتَحْنَا عَلَيْهِم بَرَكَاتٍ مِّنَ السَّمَاء وَالأَرْضِ، وَلَـكِن كَذَّبُواْ فَأَخَذْنَاهُم بِمَا كَانُواْ يَكْسِبُونَ»
“และหากว่าชาวเมืองนั้นได้ศรัทธา (ต่ออัลลอฮฺ) และมีความยำเกรง (ต่อพระองค์) แล้วไซร้ เราย่อมเปิดให้แก่พวกเขาซึ่งความจำเริญต่างๆจากฟากฟ้าและแผ่นดินอย่างแน่นอน แต่ทว่าพวกเขากลับปฏิเสธ ดังนั้น เราจึงได้ลงโทษพวกเขา เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขากำลังแสวงหาอยู่” (ซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ อายะฮฺ 96)

หลีกเลี่ยงและห่างไกลจากสิ่งที่เป็นบาปกรรม
อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ว่า:
«ظَهَرَ الْفَسَادُ فِي الْبَرِّ وَالْبَحْرِ بِمَا كَسَبَتْ أَيْدِي النَّاسِ لِيُذِيقَهُم بَعْضَ الَّذِي عَمِلُوا لَعَلَّهُمْ يَرْجِعُونَ»
“การบ่อนทำลายได้เกิดขึ้นทั้งบนบกและในน้ำ เนื่องจากสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำด้วยสองมือของพวกเขา เพื่อที่พระองค์จะให้พวกเขาได้ลิ้มรสจากบางส่วนของสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ เผื่อว่าพวกเขาตจะกลับเนื้อกลับตัว” (ซูเราะฮฺ อัรรูม อายะฮฺ 41)

มอบหมายกิจการต่างๆให้อยู่ภายใต้การดูแลของอัลลอฮฺ
หมายความว่า: จิตใจต้องเชื่อมั่นต่อผู้คอยดูแล (อัลลอฮฺ) และมอบหมายกิจการต่างๆให้อยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น พร้อมๆกับการแสวงหาริสกีด้วยร่างกาย
1) อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ว่า:
«وَمَن يَتَوَكَّلْ عَلَى اللهِ فَهُوَ حَسْبُهُ إِنَّ اللهَ بَالِغُ أَمْرِهِ قَدْ جَعَلَ اللهُ لِكُلِّ شَيْءٍ قَدْرًا»
“และผู้ใดมอบหมาย (กิจการของเขา) แด่อัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้พอเพียงแก่เขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงบรรลุในกิจการของพระองค์โดยแน่นอน สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนั้นอัลลอฮฺทรงกำหนดกฎสภาวะไว้แล้ว” (ซูเราะฮฺ อัตเฏาะลาก อายะฮฺ 3)
2) จาก อุมัร บิน อัลค็อตฎอบ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า: ท่านรอซูล ได้กล่าวว่า:
«لَوْ أَنَّكُمْ تَوَكَّلْتُمْ عَلَى اللهِ حَقَّ تَوَكُّلِهِ لَرَزَقَكُمْ كَمَا يَرْزُقُ الطَّيْرَ تَغْدُو خِمَاصًا وَتَرُوحُ بِطَانًا»
“ถ้าหากพวกเจ้าได้มอบหมาย (กิจการต่างๆของพวกเจ้า) แด่อัลลอฮฺอย่างแท้จริงแล้ว แน่นอนพระองค์จะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า เสมือนกับที่พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่นก โดยที่มันบินออกไปในยามเช้า ด้วยท้องที่ว่างเปล่า
และบินกลับมาในตอนเย็นด้วยท้องที่อิ่มเอม” (หะดีษ เศาะฮีหฺ รายงานโดย อัลติรมีซีย์ หมายเลข 2344 เศาะฮีหฺสุนันอัตติรมีซีย์ หมายเลข 1911 และอิบนุมาญะฮฺ หมายเลข 4164 และสำนวนเป็นของท่าน เศาะฮีหฺสุนันอิบนุมาญะฮฺ เลขที่ 3359)

‍อุทิศเวลาเพื่อทำอีบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺฮฺ
หมายความว่า: ขณะที่ทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ จิตใจต้องนิ่งไม่วอกแวก (ไปคิดถึงสิ่งอื่น) ต้องมีสมาธิรำลึกถึงอัลลอฮฺ และต้องนอบน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮฺเท่านั้น.
รายงานจากมะกิล บิน ยะสาร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า: ท่านรอซูล ได้กล่าวว่า:
«يَقُولُ رَبُّكُمْ تَبَارَكَ وَتَعَالَى: يَا ابْنَ آدَمَ تَفَرَّغْ لِعِبَادَتِي أَمْلأْ صَدْرَكَ غِنًى، وَأَمْلأْ يَدَيْكَ رِزْقًا، يَا ابْنَ آدَمَ لاَ تَبَاعَدْ مِنِّي فَأَمْلأْ قَلْبَكَ فَقْرًا وَأَمْلأْ يَدَيْكَ شُغْلاً» أخرجه الحاكم

“พระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงส่งของพวกเจ้าได้ตรัสว่า: โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย เจ้าจงอุทิศเวลาเพื่อทำอิบาดะฮฺต่อฉัน แล้วฉันจะทำให้หัวใจของเจ้าเต็มอิ่มด้วยความร่ำรวย (รู้สึกพอ) และทำให้มือของสูเจ้าเต็มไปด้วยปัจจัยยังชีพ โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย จงอย่าได้ออกห่างจากฉัน มิเช่นนั้นฉันจะทำให้หัวใจของสูเจ้าเต็มไปด้วยความยากจน และมือของสูเจ้าเต็มไปด้วยการงาน” (หะดีษ เศาะฮีหฺ รายงานโดย อัลหากิม หมายเลข 7926 ดู อัล-สิลสิละฮฺ อัล-เศาะหีหะฮฺ หมายเลข 1359)

ทำฮัจญ์และอุมเราะฮฺอย่างต่อเนื่อง
มีรายงานจากท่านอับดุลเลาะฮฺ บิน มัสอูด เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า: ท่านรอซูล ได้กล่าวว่า:
تَابِعُوا بَيْنَ الْحَجِّ وَالْعُمْرَةِ فَإِنَّهُمَا يَنْفِيَانِ الْفَقْرَ وَالذُّنُوبَ كَمَا يَنْفِي الْكِيرُ خَبَثَ الْحَدِيدِ وَالذَّهَبِ وَالْفِضَّةِ، وَلَيْسَ لِلْحَجَّةِ الْمَبْرُورَةِ ثَوَابٌ إِلاَّ الْجَنَّةُ. أخرجه الترمذي والنسائي
“จงกระทำระหว่างฮัจญ์และอุมเราะฮฺอย่างต่อเนื่อง เพราะแท้จริงแล้วทั้งสองสิ่งนั้นจะช่วยสลัดความยากจนและบาปกรรมออกไปเสมือนกับที่เครื่องสูบลมของช่างตีเหล็กช่วยสลัดตะกอนออกจาก (แร่) เหล็ก ทอง และเงินและสำหรับฮัจญ์ที่มับรูร (ที่ถูกตอบรับโดยอัลลอฮฺ) ไม่มีการตอบแทนใดที่คู่ควรนอกจากสวนสวรรค์” (หะดีษ หะสัน รายงานโดย อัลติรมีซีย์ หมายเลข 810 และสำนวนเป็นของท่าน เศาะฮีหฺสุนันอัตติรมีซีย์ หมายเลข 650 และอัลนะสาอีย์ หมายเลข 2631 เศาะฮีหฺสุนันอัลนาสาอีย์ หมายเลข 2468)

ใช้จ่ายทรัพย์สินในหนทางของอัลลอฮฺ
1) อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ว่า:
«وَمَا أَنْفَقْتُم مِّن شَيْءٍ فَهُوَ يُخْلِفُهُ وَهُوَ خَيْرُ الرَّازِقِينَ»
“และสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าได้บริจาคไป พระองค์จะทรงทดแทนมัน และพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ดีเลิศแห่งบรรดาผู้ประทานปัจจัยยังชีพ” (ซูเราะฮฺ สะบะอฺ อายะฮฺ 39)
2)รายงาน จากท่าน อบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ท่านนบี ได้กล่าวว่า:
«قَالَ اللهُ تَبَارَكَ وَتَعَالَى: يَا ابْنَ آدَمَ أَنْفِقْ أُنْفِقْ عَلَيْكَ»
อัลลอฮฺ ได้ตรัสว่า: “โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย พวกเจ้าจงใช้จ่าย (ในหนทางของอัลลอฮฺจากสิ่งที่พระองค์ทรงถูกประทานให้)
แล้วฉันจะใช้จ่าย (ประทานเพิ่ม) ให้แก่พวกเจ้า” (รายงานโดย มุสลิม หมายเลข 993 และอัลบุคอรีย์ หมายเลข 4933 – ผู้แปล)

ใช้จ่ายแก่ผู้ที่อุทิศเวลาเพื่อศึกษาหาความรู้ศาสนา
รายงานจากท่าน อนัส บินมาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้กล่าวว่า: ได้มีพี่น้องสองคนในสมัยของท่านรอซูล ซึ่งคนหนึ่ง (ไม่ได้ทำงานแต่) จะไปหาท่านนบี (เพื่อศึกษาศาสนา) และอีกคนหนึ่งจะออกไปทำงาน ดังนั้นคนที่ออกไปทำงานจึงร้องเรียนต่อท่านบี เกี่ยวกับพี่น้องของเขา (ว่าเอาเปรียบเขา) ท่านนบีจึงได้กล่าวแก่เขาว่า
«لَعَلَّكَ تُرْزَقُ بِهِ»
“บางที ท่านอาจได้รับการประทานริสกีโดยผ่าน (กิจการของ) เขาก็ได้” (หะดีษ เศาะฮีหฺ รายงานโดย อัตติรมีซีย์ หมายเลข 2345 เศาะฮีหฺสุนันอัตติรมิซีย์ หมายเลข 1912)

เชื่อมสัมพันธ์กับเครือญาติ
นั่นคือพยายามหยิบยื่นความดีต่างๆที่สามารถจะกระทำได้แก่ญาติพี่น้อง และช่วยปกป้องพวกเขาจากสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ พร้อมทั้งปฏิบัติดีต่อพวกเขาเหล่านั้น
รายงานจากท่านอนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านได้กล่าวว่า “ฉันได้ฟังท่านรอซูล กล่าวว่า
«مَنْ سَرَّهُ أَنْ يُبْسَطَ لَهُ فِي رِزْقِهِ، أَوْ يُنْسَأَ لَهُ فِي أَثَرِهِ فَلْيَصِلْ رَحِمَهُ»
“ผู้ใดพอใจที่จะให้ริสกีของเขาแผ่กว้างและเพิ่มพูน หรือพอใจที่จะให้ร่องรอย(แห่งผลจากความดี)ของเขาถูกบันทึกไว้เขาก็จงเชื่อมความสัมพันธ์กับเครือญาติของเขา” (รายงานโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลข 2067 และสำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม หมายเลข 2557)

การให้เกียรติแก่คนอ่อนแอและกระทำดีต่อพวกเขา
1-รายงานจากมุศอับ บิน สะอัด กล่าวว่า
“สะอัดเห็นว่า ตนมีความประเสริฐกว่าเศาะหาบะฮฺท่านอื่นๆที่อ่อนแอกว่า (เพราะตนแข็งแรงกว่า เพราะฉะนั้น ตนจึงควรจะได้รับการแบ่งปันทรัพย์สินที่ได้จากการสงครามมากกว่าพวกเขา) ท่านนบี จึงกล่าวว่า
«هَلْ تُنْصَرُونَ وَتُرْزَقُونَ إِلاَّ بِضُعَفَائِكُمْ»
“ไม่ใช่เพราะผู้ที่อ่อนแอจากหมู่พวกท่านดอกหรือ ! พวกท่านจึงได้รับความช่วยเหลือ (ชัยชนะ) และได้รับการประทานปัจจัยยังชีพ (ที่มากมาย)? (รายงานโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลข 2896)
2-และในสำนวนอื่น ท่านนบี
«إِنَّمَا يَنْصُرُ اللهُ هَذِهِ الأُمَّةَ بِضَعِيفِهَا؛ بِدَعْوَتِهِمْ وَصَلاَتِهِمْ وَإِخْلاَصِهِمْ»
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงประทานความช่วยเหลือแก่ประชาชาตินี้ด้วยผู้ที่อ่อนแอในหมู่พวกเขา ด้วยคำวิงวอนของพวกเขา การละหมาดของพวกเขา และความบริสุทธิ์ใจของพวกเขา” (หะดีษ เศาะฮีหฺ รายงานโดยอันนะซาอีย์ หมายเลข 3178 เศาะฮีหฺสุนันอันนะซาอีย์ หมายเลข 2978)

การอพยพในหนทางของอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺ ได้ตรัสว่า
«وَمَن يُهَاجِرْ فِي سَبِيلِ اللهِ يَجِدْ فِي الأَرْضِ مُرَاغَمًا كَثِيرًا وَسَعَةً وَمَن يَخْرُجْ مِن بَيْتِهِ مُهَاجِرًا إِلَى اللهِ وَرَسُولِهِ ثُمَّ يُدْرِكْهُ الْمَوْتُ فَقَدْ وَقَعَ أَجْرُهُ عَلى اللهِ وَكَانَ اللهُ غَفُورًا رَّحِيمًا»
“และผู้ใดที่อพยพในหนทางของอัลลอฮฺ เขาก็จะพบว่าในพื้นดินนี้มีสถานที่หลบภัยมากมายและกว้างไกล และผู้ใดที่ออกจากบ้านของเขาไปในฐานะผู้อพยพไปยังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แล้วความตายก็มาถึงเขา แน่นอนรางวัลของเขานั้นย่อมปรากฏอยู่แล้ว ณ อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อันนิสาอฺ อายะห์ 100)


ผู้แปล : อิสมาน จารง
ขอขอบคุณที่มา Islam House

ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้หรือไม่?

:: [คำถาม] ::
ฉันอาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาและฉันต้องการรู้ว่าเราสามารถซื้ออาหารและร้านขายของชำที่ขายแอลกอฮอล์เช่นสถานีบริการน้ำมัน ซุปเปอร์มาเก็ตและแม้กระทั่งร้านอาหารได้หรือไม่?
ป.ล. ไม่มีร้านค้าหรือสถานีบริการน้ำมันสักแห่งที่ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉันลองหาแล้วและร้านค้าของมุสลิมไม่ได้ขายในสิ่งที่ฉันต้องการ ช่วยชี้แจงเรื่อนี้จากอัล-กุรอานและสุนนะฮฺให้เราทราบด้วยเถิด …

:: [คำตอบ] ::
ประการแรก มุสลิมจะต้องหลีกห่างจากสถานที่ที่มีการฝ่าฝืนอัลลอฮฺให้มากที่สุด ซึ่งมันเป็นการดีกว่าสำหรับท่านในฐานะมุสลิมที่จะสนับสนุนร้านค้าของมุสลิมที่ไม่ขายสิ่งต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺทรงห้ามและต้องแนะนำกับเจ้าข้องร้านให้จัดหาสิ่งที่ท่านต้องการเพราะจะเป็นประโยชน์ต่อกับมุสลิมทุกคนรวมถึงตัวท่านเองและเจ้าของร้านด้วย

ประการที่สองสำหรับการซื้อในสิ่งที่ท่านมีความจำเป็นจากร้านที่กล่าวมาข้างต้น(ร้านที่ขายแอลกอฮอล์) ไม่มีความผิดอันใดในเรื่องนี้ อินชาอัลลอฮฺ โดยเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นและสินค้าเหล่านี้ไม่สามารถหาซื้อได้ในร้านค้าอื่น ๆ ที่ไม่ได้ขายของหะรอม(ต้องห้าม)
แต่ท่านจะต้องซึ้อจากร้านค้าแห่งนี้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และยิ่งท่านสามารถหลีกเหลี่ยงที่จะไม่เข้าร้านดังกล่าวนี้ได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ประการที่สาม เราต้องจดจำไว้ว่า คนที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีจิตใจกว้างจะต้องไม่ขายแอลกอฮอลล์หรือแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ทางศาสนาของพวกเขาอย่างเปิดเผยหากว่าพวกเขาอยู่ในดินแดนของมุสลิมหรืออยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม …

แต่ถ้าพวกเขาอยู่ในประเทศของพวกเขาเองและไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม ดังนั้นการปฏิบัติกับพวกเขาจะต้องเป็นไปตามความเชื่อและขนบธรรมเนียมของพวกเขาและพวกเขาเชื่อว่าแอลกอฮอลล์นั้นเป็นที่อนุญาตในแนวทางการดำเนินชีวิตของพวกเขา

อบู อุบัยดฺ รายงานว่า ท่าน อุมัร อิบนุ อัล-ค็อฎฎ็อบ รดิยัลลอฮุ อันฮา ได้ยินว่า ผู้ปกครองของเขาบางคนกำลังเก็บญิซยะฮฺ(ภาษีรัชชูปการ)เหล้าและหมู ดังนั้นพวกเขาจึงขายมันให้กับอะหฺลุซซิมมะฮฺ(ผู้ที่ต้องจ่ายภาษีรัชชูปการ) อุมัร รดิยัลลอฮุ อันฮุ กล่าวว่า อย่างกระทำเช่นนั้น ปล่อยให้พวกเขาขายมัน แต่จงเก็บญิซยะฮฺจากเงินที่ขายมัน …

อบู อุบัยดฺ กล่าวว่า ท่านอุมัรหมายความว่ามุสลิมกำลังเอาเหล้าและหมูจากอะหฺลุซซิมมะฮฺแล้วมุสลิมเอามาจัดการขายมันเอง และนี่คือสิ่งที่ท่านอุมัรได้ห้าม แต่ท่านอนุญาตให้เก็บเป็นญิซยะฮฺจากเงินที่ขายมัน หากว่าพวกซิมมี่(ผู้ที่ต้องจ่ายภาษี)ทำการขายมันเพราะเหล้าและหมูนั้นทำให้พวกเขาอะหฺลุซซิมะฮฺมีรายได้และมีทรัพย์สิน แต่มุสลิมไม่สามารถมีรายได้จากการขายมันได้ อ้างมาจาก อะหฺกาม อะหฺลุซซิมมะฮฺ โดย อิบนุ ก็อยยิม (1/184)

………………………………………………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net

ได้ชื่อว่าอาหารขยะ แต่เราก็ยังกินมันอีกหรือ?

การบริโภคโซเดียมที่มากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง (ระดับความดันของเลือดที่สูงขึ้น) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ

กำไรของห่วงโซ่อาหารฟาสต์ฟู้ด (อาหารจานด่วน) ในอุตสาหกรรมขนาดยักษ์ได้ทำเงินหลายพันล้านดอลลาร์ทุก ๆ ปี พร้อม ๆ กับผู้บริโภคที่หิวโหยทั่วโลกยังคงต่อแถวซื้อแฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า เฟรนช์ฟรายและโซดา ประชาชนที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบในศตวรรษที่ 21 ได้ใช้เงินมากขึ้นพร้อม ๆ กับเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการกินอาหารขยะ

อาหารขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยไขมันและเกลือ ฟาสต์ฟู้ดไม่มีประโยชน์อะไรมากไปกว่าส่วนประกอบดังกล่าว ชาวอเมริกันรับประทานมันเพื่อความเพลิดเพลินในรสชาติที่เอร็ดอร่อย ซึ่งประหยัดทั้งเวลาและแรงงานในการปรุงอาหารของพวกเขา ผู้ที่ไม่ใช่ชาวอเมริกันรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเพียงเพื่อเลียนแบบพฤติกรรมของชาวอเมริกัน เพราะมันดูเท่ห์และมีความทันสมัย คนทั้งสองกลุ่มนี้กำลังทำอันตรายต่อสุขภาพตนเองอย่างร้ายแรง

:: ฟาสต์ฟู้ด = อาหารแปรรูป ::

โดยทั่วไปแล้วฟาสต์ฟู้ดนั้นเป็นอาหารแปรรูป แล้วอาหารแปรรูปคืออะไร ? อาหารแปรรูปคืออาหารที่ได้รับการดัดแปลงจากกรรมวิธีทางธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจำนวนมากที่มีการเติมสารปรุงแต่งอาหารทั้งที่มาจากกระบวนการทางธรรมชาติและทางเคมี ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายไม่หลงเหลือสารอาหารตามธรรมชาติ เช่น วิตามิน แร่ธาตุและเอนไซม์ต่าง ๆ

นอกเหนือจากทำให้อาหารมีรสชาติอร่อยแล้ว สารปรุงแต่งยังช่วยรักษาอายุของผลิตภัณฑ์ให้มีระยะเวลายาวนานขึ้น ซึ่งหมายความว่าอาหารแปรรูปมักได้รับการกักตุนไว้เป็นเวลานานก่อนที่จะนำไปซื้อขายและรับประทาน! สารปรุงแต่งอาหารจากธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดคือ เกลือ น้ำตาลและน้ำส้มสายชู ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมาจากธรรมชาติ แต่การบริโภคในจำนวนที่มากเกินไปนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

ลักษณะของอาหารขยะจะมีปริมาณของเกลือสูง (โซเดียมคลอไรด์) โซเดียมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการเผาผลาญต่าง ๆ ในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การบริโภคด้วยจำนวนที่มากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคหัวใจ

นี่คือกรณีที่เกิดขึ้นกับวัตถุเจือปนอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ นับประสาอะไรกับวัตถุเจือปนที่ได้รับการสังเคราะห์ขึ้นมา? การปรากฏตัวของอาหารแปรรูปในรอบสามสิบปีที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์ที่เทียบได้กับการระเบิดครั้งใหญ่ในกระบวนการเจือปนทางเคมีของอาหารที่มีสารเติมแต่ง

จากผลงานหนังสือติดอันดับขายดีที่ชื่อว่า ‘ฟาสต์ฟู้ด เนชั่น’ (‘Fast Food Nation’ หรือชื่อฉบับแปลภาษาไทยว่า ‘มหาอำนาจฟาสต์ฟู้ด’) เขียนโดย เอริค สลอซเซอร์ (Eric Schlosser) เขาได้เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจแก่สาธารณะชนชาวอเมริกันถึงสิ่งที่พวกเขาบริโภค เอริคได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานของเขาในโรงงานที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ว่าเขาได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วรสชาติของแมคโดนัลด์นั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างไร

กรรมวิธีการแปรรูปอาหารในปัจจุบันจะรวบรวมชิ้นส่วนอันมากมายของสัตว์หลากหลายชนิดไว้ในเบอร์เกอร์ชิ้นเดียว เบอร์เกอร์เนื้อวัวจะต้องถูกนำไปทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส และกรรมวิธีนี้ก็เป็นกรรมวิธีที่นิยมในการผลิตอาหารฟาสต์ฟู้ดเกือบทุกประเภท ดังนั้นอาหารเหล่านี้จึงถูกเปลี่ยนคุณสมบัติให้ผิดไปจากลักษณะทางธรรมชาติดั้งเดิมและเป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจที่กล่าวถึงเฟรนช์ฟรายของแมคโดนัลด์ที่เผยให้เห็นกระบวนการแปรรูปและปัจจัยที่ทำให้รสชาติแตกต่าง เป็นเวลาหลายทศวรรษที่แมคโดนัลด์ปรุงเฟรนช์ฟรายด้วยส่วนผสมของน้ำมันฝ้าย 7% และไขมันวัวอีก 93% ซึ่งส่วนผสมดังกล่าวทำให้รสชาติเฟรนช์ฟรายของแมคโดนัลด์มีเอกลักษณ์ และยังทำให้เฟรนช์ฟรายมีไขมันอิ่มตัวต่อออนซ์มากกว่าแฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ ในปี 1990 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปริมาณคอเลสเตอรอลในมันฝรั่งทอด แมคโดนัลด์จึงยอมเปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืชบริสุทธิ์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ท้าทายบริษัทว่าจะมีกรรมวิธีการทอดอย่างไรให้ได้รสชาติของเฟรนช์ฟรายที่เหมือนเนื้อวัวละเอียดโดยไม่ต้องใช้ไขมันวัว การเข้าไปศึกษาดูส่วนผสมในเฟรนช์ฟรายของแมคโดนัลด์จะช่วยแสดงให้เราเห็นว่าปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างไร เมื่อมองไปยังท้ายรายการของส่วนผสมเราจะเห็นวลีที่ดูเหมือนจะธรรมดาแต่ก็ดูลึกลับแบบแปลก ๆ ว่า “วัตถุปรุงแต่งกลิ่นรสเลียนแบบธรรมชาติ” ส่วนผสมข้อนี้เองที่ช่วยอธิบายว่าทำไมเฟรนช์ฟรายของแมคโดนัลด์จึงมีรสชาติที่เอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ

วัตถุเจือปนอาหารได้เข้ามาแทรกแซงในทุกอณูของสิ่งที่เราดื่มและรับประทาน นับแค่ความอันตรายที่เกิดจากส่วนประกอบทางเคมีในน้ำอัดลมที่ใช้สารเติมแต่งของเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกนั้นก็ไม่ค่อยจะปลอดภัยแล้ว น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีการเติมโบรมีน (Brominated Vegetable Oil : BVO) ถูกนำไปใช้ในการขจัดกลิ่นรสของน้ำมันที่อยู่ในน้ำอัดลม อีกทั้งยังทำให้น้ำอัดลมมีลักษณะเป็นฟองดังที่เรารู้จักกันดีในเครื่องดื่มเหล่านี้

สารตกค้างขนาดเล็กของ BVO จะติดตามไขมันในร่างกาย และยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวว่า BVO นั้นมีความปลอดภัย สารโบรมีนซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของ BVO นั้นมีคุณสมบัติเป็นพิษ เพียงสองถึงสี่ออนซ์ของตัวทำละลาย BVO จำนวน 2% ก็มีปริมาณเพียงพอแล้วที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กที่บริโภค

ข้อเท็จจริงน่าขันอีกอย่างที่เกี่ยวกับน้ำอัดลมคือ ไดเอทโค้กและไดเอทเป๊ปซี่ถือเป็นทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการไดเอท ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้ตระหนักว่าแทนที่จะเป็นน้ำตาลที่ใช้เป็นสารให้ความหวาน แต่พวกเขากลับใช้สารให้ความหวานเทียมอย่างเอซีซัลเฟมเค (acesulfame K) ซึ่งมีส่วนให้เกิดภาวะซึมเศร้า อาการนอนไม่หลับ โรคทางระบบประสาทและอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ มากมาย แพทย์ยังเตือนว่าเอซีซัลเฟมเค (acesulfame K) นั้นอาจเป็นสารก่อมะเร็ง

เราเห็นแล้วว่ารสชาติของอาหารฟาสต์ฟู้ดอเมริกันสำหรับไดเอทที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่นั้นเกี่ยวข้องกับการใช้สารสังเคราะห์ทางเคมี สารแต่งกลิ่นรสเทียมและสารปรุงแต่งที่ถูกเติมเข้าไปในอาหารผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย

:: ไขมันและน้ำตาล: เมื่อโรคอ้วนกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ::

กล่าวง่าย ๆ คืออาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นมีไขมันและน้ำตาลสูง มีความหมายว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นมีแคลอรีสูงและให้คุณค่าทางโภชนาการต่ำ นอกจากนี้ อาหารฟาสต์ฟู้ดยังมีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมอาหารเนื่องจากราคาถูกและสามารถทนต่อการปรุงอาหารในอุณหภูมิที่สูงได้ มีข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าไขมันอิ่มตัวนั้นมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและสามารถทำให้เกิดโรคหัวใจได้

ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาหารที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพควรมีปริมาณแคลอรี่น้อยกว่า 30% จากไขมัน หรือมีไขมัน 9 กรัมและ 270 แคลอรี่ แฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ได้ทะลุเพดาน 30% นี้ไปแล้ว แฮมเบอร์เกอร์ของเบอร์เกอร์คิงมีไขมัน 15 กรัมและ 320 แคลอรี่ หรือมีปริมาณแคลอรี่ 42% จากไขมัน ส่วนแฮมเบอร์เกอร์ของร้านอาหารชื่อดังเจ้าอื่น ๆ นั้นมีปริมาณแคลอรี่และเปอร์เซนต์ของไขมันมากกว่าสองเจ้าที่กล่าวมาเสียอีก

ดังนั้น แฮมเบอร์เกอร์จึงให้ปริมาณแคลอรี่มากกว่าที่ร่างกายเราต้องการและปริมาณแคลอรี่ส่วนใหญ่นั้นก็มาจากไขมัน

เมื่อพูดถึงน้ำตาล ก็เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่ากระป๋องน้ำอัดลมทั่วไปนั้นมีปริมาณน้ำตาลถึง 10 ช้อนชา

อาหารฟาสต์ฟู้ดจึงให้ปริมาณแคลอรี่มากกว่าที่ระบบของเราสามารถย่อยได้ และแคลอรี่ส่วนเกินเหล่านี้ก็จะถูกเก็บไว้ในร่างกายของเราในรูปแบบของไขมัน การจัดเก็บไขมันส่วนเกินในร่างกายจะนำไปสู่โรคอ้วน ซึ่งโรคอ้วนไม่เพียงแต่ป้องกันไม่ให้เรามีหุ่นที่ดีสมส่วนเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดโรคและความผิดปกติหลายอย่าง เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ต้องใช้อินซูลิน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ

ยิ่งไปกว่านั้น โรคอ้วนยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ ไส้ตรงและทวารหนัก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกและปากมดลูก

หากอาหารฟาสต์ฟู้ดและน้ำอัดลมเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตฉบับอเมริกันแล้ว จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมคนอเมริกันมากกว่าครึ่งหนึ่งถึงมีน้ำหนักมากเกินไป แท้จริงแล้วจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และสามัญสำนึกทั่วไปได้บ่งชี้ว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นเป็นสาเหตุหลักของโรคอ้วน

การบริโภคอาหารขยะไม่เพียงแต่หมายถึงปัญหาการรับประทานวัตถุเจือปนที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมีที่ถูกเติมเข้ามาในอาหารระหว่างกระบวนการแปรรูป หรือไม่เพียงแต่หมายถึงปัญหาไขมันส่วนเกินและความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่โรคอ้วนเท่านั้น ปัญหาของอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นไกลกว่านั้นและมีความหลากหลายมากกว่านั้นมาก

“ไม่มีสองประเทศใดที่ทั้งสองต่างก็มีแมคโดนัลด์แล้วทั้งสองต่างก็เคยทำสงครามต่อกัน” โธมัส ฟรายด์แมน (Thomas Friedman) นักทฤษฎีโลกาภิวัตน์ที่มีชื่อเสียงและคอลัมนิสต์ประจำนิตยสาร Foreign Affairs กล่าว

แม้ทฤษฎี McPeace (สันติภาพจากแมคโดนัลด์) ของฟรายด์แมนดูเหมือนจะป้องกันสงครามได้ แต่แมคโดนัลด์จะสามารถป้องกันโรคภัยที่เกิดจากอาหารขยะตามเมนูที่พวกเขาเสิร์ฟ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็งได้หรือไม่?

………………………………………………………………………………………
อ้างอิง:
• com, “Obsessed by Fast Food: Will Fast Food Be The Death Of Us?”
• Better Health Channel.
• Kate, Siber, “Expansion of the Fast Food Industry,” commonsense, commonsense.com
• Hansler, Kathryn, “Think Fast: Surviving the Fast Food Jungle,”San Bernardino County.
infoplease.com
• “Processed Food and Junk Food.”
• Schlosser, Eric, “Why McDonald’s Fries Taste So Good,” The Atlantic Monthly, July 1, 2001.
• Friedman, Thomas, “Turning swords into beef-burgers.” The Guardian, December 19, 1996.

ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี
แปลและเรียบเรียงบทความนี้ถอดมาจากแฟ้มเก็บเอกสารของนิตยสาร Science
ที่มา: aboutislam.net โดย ซาร่า คุรชิด

อาหารเสริมอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป

อัลลอฮฺ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ ทรงตรัสในอัลกุรอานว่า “มนุษย์เอ๋ย! จงบริโภคสิ่งอนุมัติ (ฮาลาล) ที่ดี ๆ (ฏ็อยยิบ) จากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของมารร้าย (ชัยฏอน) แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า” (อัล บะเกาะเราะฮฺ 2: 168)

ในฐานะชาวมุสลิมเราต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อให้ร่างกายของเราอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ของเรา ชาวมุสลิมหลายคนจึงหยิบเอาอาหารเสริมมารับประทานด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถช่วยรักษาสุขภาพของเราให้ดี แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นสิ่งที่คัมภีร์อัลกุรอานอ้างถึงว่าเป็น “สิ่งอนุมัติ (ฮาลาล) และดีมีประโยชน์ (ฏ็อยยิบ)” หรือไม่?

ในวงการวิชาการทางวิทยาศาสตร์ได้แบ่งประเภทของอาหารเสริมตามผลกระทบหรือปฏิกิริยาที่กระทำต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม ฉันทามติทั่วไปคือเราจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารเสริมเหล่านี้ และหากคุณต้องการบริโภคมัน คุณควรได้รับการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง

:: ระหว่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับยาเวชภัณฑ์ ::
คำจำกัดความของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจช่วยให้เข้าใจได้ว่าทำไมผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถึงเข้าไปอยู่ในวงถกเถียงตลอดสองสามทศวรรษที่ผ่านมา

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับการนิยามโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคด้วยปากมีส่วนประกอบจากอาหารและมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมคุณค่าทางโภชนาการ” “ส่วนประกอบจากอาหาร” ดังกล่าวอาจรวมถึงวิตามิน เกลือแร่ สมุนไพรหรือพฤกษศาสตร์ กรดอะมิโนและสารต่าง ๆ เช่น เอนไซม์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ แกลนดูล่าและเมตาโบไลท์” (Thurston)

อย่างไรก็ตาม นิยามของคำว่ายาและเวชภัณฑ์ที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ก็ไม่ได้มีความแตกต่างมากเท่าใดนัก FDA ให้ความหมายของคำว่ายาและเวชภัณฑ์ว่าเป็น “สิ่งที่ใช้สำหรับวินิจฉัย แก้ไข บรรเทา รักษาหรือป้องกันโรค”

ดังนั้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงอาจอยู่ในหมวดหมู่คำนิยามของยาและเวชภัณฑ์ ขณะเดียวกันความหมายของยาและเวชภัณฑ์ก็อาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นอาหารเสริม เส้นแบ่งระหว่างคำศัพท์ทั้งสองมักจะไม่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่ายาหลายตัวมานั้นมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติ เช่นเดียวกันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำนวนมากก็ถูกสกัดจากพืชในลักษณะที่แทบไม่แตกต่างจากยาทั่วไป นอกจากนี้ ทั้งสองอย่างอาจมีฤทธิ์ทางเภสัชศาสตร์ที่รุนแรง และอาจก่อให้เกิดปัญหาหากบริโภคอย่างไม่ถูกต้อง (Consumer Reports)

ดังนั้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีประโยชน์และปลอดภัยหรือไม่? หลายคนคิดเอาเองว่าเพราะสมุนไพรและวิตามินนั้นมีแหล่งที่มาจาก “ธรรมชาติ” ทุกอย่างจึงปลอดภัย อย่างไรก็ตามนี่เป็นข้อสันนิษฐานที่อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไป

อาหารเสริมจำนวนมากสามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้เมื่อบริโภคเข้าไปในปริมาณที่มากเกินไป หรือบริโภคไม่ถูกเวลาไม่ถูกคน หรือรับประทานร่วมกับยาบางชนิด หรือรับประทานขณะตั้งครรภ์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดพบว่ามีส่วนประกอบตามชื่อที่ระบุหรือตั้งไว้เพียงเล็กน้อย แต่อาจมีสารเคมี สารกําจัดศัตรูพืช แบคทีเรีย โลหะหนัก หรือแม้แต่ยาทางเภสัชกรรมประกอบอยู่ด้วยในผลิตภัณฑ์ ในเดือนเมษายน ปี 2008 มีการเรียกคืนผลิตภัณฑ์วิตามินซีแบรนด์หนึ่งในประเทศแคนาดา เพราะพบว่ามีปริมาณวิตามินเอมากเกินไป (Consumer Reports, Cohen)

ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชื่อดังหลายแห่งสามารถผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้รับการควบคุมจากหน่วยงานภายนอก ดังนั้นการอวดอ้างคุณสมบัติและความปลอดภัยทั้งหมดของผลิตภัณฑ์จึงเกิดขึ้นจากตัวผู้ผลิตภายในเท่านั้น ผู้ผลิตอาหารเสริมสามารถออกตัวผลิตภัณฑ์โดยไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบใด ๆ เพียงแค่ส่งสำเนาภาษาบนฉลากให้แก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเท่านั้น (FDA)

:: มองให้ลึกกว่าแค่ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ::
มีความกังวลเพิ่มเติมว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดนั้นอาจไม่ฮาลาล จากคำตอบที่ได้รับจากเว็บไซต์ทางการของผลิตภัณฑ์เซ็นทรัม วิตามินรวม กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขานั้นมีเจลาตินที่ได้จากสุกรเป็นส่วนประกอบ และแคปซูลวิตามินอีจำนวนมากก็มีแหล่งที่มาเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญกว่าคุณภาพและความซื่อสัตย์ของผู้ผลิตคือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นมีความจำเป็นต่อชีวิตจริงหรือไม่? สถาบัน Linus Pauling Institute ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันวิจัยชั้นนำเกี่ยวกับการแพทย์แผนออร์โธโมเลคูลาร์ ตอบว่า “มีความจำเป็นจริง”

สถาบันใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ในแต่ละปีเพื่อค้นคว้าวิจัยและติดตามการศึกษาเกี่ยวกับอาหารเสริม และเผยแพร่ความเข้าใจผ่านเว็บไซต์ และยังตีพิมพ์หนังสือวิชาการหลายเล่มที่แสดงผลของการศึกษาเหล่านี้ (Higdon)

อ้างอิงจากเว็บไซต์ของสถาบัน ขอบข่ายสำคัญของงานวิจัยนั้นจะครอบคลุมหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับประเด็น “โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารของร่างกายที่ผิดปกติ มะเร็ง ภาวะชราภาพ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาท” (Higdon)

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแพทย์หลายคนยอมรับว่าโภชนาการที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพที่ดี แต่ทุกคนก็ไม่เชื่อว่าการรับประทานอาหารเสริมนั้นต้องเป็นคำตอบเสมอไป

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระมัดระวังการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเสริมวิตามินและแร่ธาตุในอาหาร เนื่องจากวิตามินรวมอาจไม่ได้มีสารอาหารที่มีสัดส่วนสมดุลตามความต้องการของแต่ละบุคคล มันอาจช่วยในการลดสารอาหารบางอย่างออกจากร่างกาย ร่างกายอาจไม่สามารถดูดซึมอาหารเสริมและยาเม็ดวิตามินได้ดีพอ เนื่องจากสารอาหารที่อยู่ในอาหารและในอาหารเสริมบางชนิดอาจเป็นพิษต่อร่างกายหากบริโภคในปริมาณมาก

ตัวอย่างเช่น การศึกษาที่มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาพบว่า น้ำมันปลาซึ่งเป็นอาหารเสริมยอดนิยม นอกจากจะมีคุณสมบัติต้านการอักเสบแล้ว ยังมีคุณสมบัติยับยั้งการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสอีกด้วย

นอกจากนี้ อาหารเสริมที่บริโภคมากเกินไปอาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของร่างกายในการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น การบริโภคสังกะสีที่มากเกินไปจะเป็นอุปสรรคต่อการดูดซึมของธาตุเหล็กและทองแดง (Landro)

ในปี 2008 สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institute for Health: NIH) ระงับการศึกษาเกี่ยวกับวิตามินอีเนื่องจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเบาหวานในกลุ่มศึกษา เพราะพวกเขาได้รับการบำบัดผ่านการบริโภควิตามินอีในปริมาณที่มาก ในเดือนเมษายน ปี 2009 ทีมวิจัยระดับนานาชาติสนับสนุนโดยองค์การอิสระระหว่างประเทศที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไร Cochrane Collaborative พบว่าการบริโภคสารต้านอนุมูลอิสระเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และวิตามินอีสัมพันธ์กับช่วงอายุขัยของชีวิตที่สั้นลง! (ScoutNews; Armijo-Prewitt)

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้คนไม่สามารถนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาแทนที่อาหารได้คือ ในอาหารนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกันมากกว่า 20,000 ชนิด แต่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันค้นพบวิธีที่สามารถแยกแยะสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น (Hellerman)

นอกเหนือจากที่ไม่สามารถจำลองโภชนาการจากสารอาหารในอาหารได้สมบูรณ์แล้ว วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าองค์ประกอบใดของอาหารชนิดหนึ่งมีความสำคัญมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น วิทยาศาสตร์สามารถสกัดซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นสารประกอบที่พบในบร็อกโคลีใส่ลงในยาเม็ด อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนี้ไม่ได้มีคุณสมบัติเหมือนกับการนำบร็อคโคลีทั้งหมดใส่ลงไปในยาเม็ด

เอมี สจ๊วต (Amy Stewart) ผู้เขียนหนังสือ ‘The Earth Moved: On the Remarkable Achievements of Earthworms’ (โลกหมุนด้วยความสำเร็จอันน่าทึ่งของไส้เดือน) เธอได้กล่าวประโยคง่าย ๆ ชวนคิดไว้ว่า “เส้นใยและน้ำส้มที่บรรจุอยู่ในผลส้ม ประโยชน์ของน้ำมันที่อยู่ในวอลนัต สารอาหารรอง (ธาตุอาหารเสริม) ที่อยู่ในผักใบเขียวแน่นอนว่าไม่สามารถหาได้ในรูปของยาเม็ด” (Stewart)

ในขณะที่วิทยาศาสตร์ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารอาหารเหล่านี้ที่บรรจุอยู่ในอาหาร ท้ายที่สุดแล้ว อัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างอาหารเหล่านั้น เป็นผู้ทรงปรีชาญาณต่อความลับขององค์ประกอบในอาหารถึงประโยชน์และคุณสมบัติที่ซ่อนอยู่ อัลลอฮ์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ ทรงกล่าวว่า

“บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า จากสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย (ฏ็อยยิบ) และจงขอบคุณอัลลอฮ์เถิด หากเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกเจ้าจักเป็นผู้เคารพสักการะ” (อัล บะเกาะเราะฮฺ 2: 172)

…………………………………………………………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
บทความนี้ถอดมาจากแฟ้มเอกสารของนิตยสาร Science
ที่มา: aboutislam.net โดย ดร.คาริมา เบิร์นส์