การบริโภคโซเดียมที่มากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง (ระดับความดันของเลือดที่สูงขึ้น) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ 
กำไรของห่วงโซ่อาหารฟาสต์ฟู้ด (อาหารจานด่วน)
ในอุตสาหกรรมขนาดยักษ์ได้ทำเงินหลายพันล้านดอลลาร์ทุก ๆ ปี พร้อม ๆ กับผู้บริโภคที่หิวโหยทั่วโลกยังคงต่อแถวซื้อแฮมเบอร์เกอร์
พิซซ่า เฟรนช์ฟรายและโซดา ประชาชนที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบในศตวรรษที่ 21
ได้ใช้เงินมากขึ้นพร้อม ๆ กับเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการกินอาหารขยะ
อาหารขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยไขมันและเกลือ
ฟาสต์ฟู้ดไม่มีประโยชน์อะไรมากไปกว่าส่วนประกอบดังกล่าว
ชาวอเมริกันรับประทานมันเพื่อความเพลิดเพลินในรสชาติที่เอร็ดอร่อย
ซึ่งประหยัดทั้งเวลาและแรงงานในการปรุงอาหารของพวกเขา
ผู้ที่ไม่ใช่ชาวอเมริกันรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเพียงเพื่อเลียนแบบพฤติกรรมของชาวอเมริกัน
เพราะมันดูเท่ห์และมีความทันสมัย
คนทั้งสองกลุ่มนี้กำลังทำอันตรายต่อสุขภาพตนเองอย่างร้ายแรง
:: ฟาสต์ฟู้ด = อาหารแปรรูป ::
โดยทั่วไปแล้วฟาสต์ฟู้ดนั้นเป็นอาหารแปรรูป แล้วอาหารแปรรูปคืออะไร ? อาหารแปรรูปคืออาหารที่ได้รับการดัดแปลงจากกรรมวิธีทางธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจำนวนมากที่มีการเติมสารปรุงแต่งอาหารทั้งที่มาจากกระบวนการทางธรรมชาติและทางเคมี ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายไม่หลงเหลือสารอาหารตามธรรมชาติ เช่น วิตามิน แร่ธาตุและเอนไซม์ต่าง ๆ 
นอกเหนือจากทำให้อาหารมีรสชาติอร่อยแล้ว
สารปรุงแต่งยังช่วยรักษาอายุของผลิตภัณฑ์ให้มีระยะเวลายาวนานขึ้น
ซึ่งหมายความว่าอาหารแปรรูปมักได้รับการกักตุนไว้เป็นเวลานานก่อนที่จะนำไปซื้อขายและรับประทาน!
สารปรุงแต่งอาหารจากธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดคือ เกลือ น้ำตาลและน้ำส้มสายชู
ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมาจากธรรมชาติ
แต่การบริโภคในจำนวนที่มากเกินไปนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
ลักษณะของอาหารขยะจะมีปริมาณของเกลือสูง
(โซเดียมคลอไรด์) โซเดียมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการเผาผลาญต่าง ๆ ในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม การบริโภคด้วยจำนวนที่มากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
ซึ่งความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคหัวใจ
นี่คือกรณีที่เกิดขึ้นกับวัตถุเจือปนอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ
นับประสาอะไรกับวัตถุเจือปนที่ได้รับการสังเคราะห์ขึ้นมา?
การปรากฏตัวของอาหารแปรรูปในรอบสามสิบปีที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์ที่เทียบได้กับการระเบิดครั้งใหญ่ในกระบวนการเจือปนทางเคมีของอาหารที่มีสารเติมแต่ง
จากผลงานหนังสือติดอันดับขายดีที่ชื่อว่า ‘ฟาสต์ฟู้ด
เนชั่น’ (‘Fast Food Nation’ หรือชื่อฉบับแปลภาษาไทยว่า ‘มหาอำนาจฟาสต์ฟู้ด’)
เขียนโดย เอริค สลอซเซอร์ (Eric Schlosser) เขาได้เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจแก่สาธารณะชนชาวอเมริกันถึงสิ่งที่พวกเขาบริโภค
เอริคได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานของเขาในโรงงานที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ว่าเขาได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วรสชาติของแมคโดนัลด์นั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างไร
กรรมวิธีการแปรรูปอาหารในปัจจุบันจะรวบรวมชิ้นส่วนอันมากมายของสัตว์หลากหลายชนิดไว้ในเบอร์เกอร์ชิ้นเดียว
เบอร์เกอร์เนื้อวัวจะต้องถูกนำไปทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส
และกรรมวิธีนี้ก็เป็นกรรมวิธีที่นิยมในการผลิตอาหารฟาสต์ฟู้ดเกือบทุกประเภท
ดังนั้นอาหารเหล่านี้จึงถูกเปลี่ยนคุณสมบัติให้ผิดไปจากลักษณะทางธรรมชาติดั้งเดิมและเป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง
นอกจากนี้
ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจที่กล่าวถึงเฟรนช์ฟรายของแมคโดนัลด์ที่เผยให้เห็นกระบวนการแปรรูปและปัจจัยที่ทำให้รสชาติแตกต่าง
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่แมคโดนัลด์ปรุงเฟรนช์ฟรายด้วยส่วนผสมของน้ำมันฝ้าย 7%
และไขมันวัวอีก 93%
ซึ่งส่วนผสมดังกล่าวทำให้รสชาติเฟรนช์ฟรายของแมคโดนัลด์มีเอกลักษณ์
และยังทำให้เฟรนช์ฟรายมีไขมันอิ่มตัวต่อออนซ์มากกว่าแฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์
ในปี 1990 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปริมาณคอเลสเตอรอลในมันฝรั่งทอด
แมคโดนัลด์จึงยอมเปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืชบริสุทธิ์
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ท้าทายบริษัทว่าจะมีกรรมวิธีการทอดอย่างไรให้ได้รสชาติของเฟรนช์ฟรายที่เหมือนเนื้อวัวละเอียดโดยไม่ต้องใช้ไขมันวัว
การเข้าไปศึกษาดูส่วนผสมในเฟรนช์ฟรายของแมคโดนัลด์จะช่วยแสดงให้เราเห็นว่าปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างไร
เมื่อมองไปยังท้ายรายการของส่วนผสมเราจะเห็นวลีที่ดูเหมือนจะธรรมดาแต่ก็ดูลึกลับแบบแปลก
ๆ ว่า “วัตถุปรุงแต่งกลิ่นรสเลียนแบบธรรมชาติ”
ส่วนผสมข้อนี้เองที่ช่วยอธิบายว่าทำไมเฟรนช์ฟรายของแมคโดนัลด์จึงมีรสชาติที่เอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ
วัตถุเจือปนอาหารได้เข้ามาแทรกแซงในทุกอณูของสิ่งที่เราดื่มและรับประทาน
นับแค่ความอันตรายที่เกิดจากส่วนประกอบทางเคมีในน้ำอัดลมที่ใช้สารเติมแต่งของเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกนั้นก็ไม่ค่อยจะปลอดภัยแล้ว
น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีการเติมโบรมีน (Brominated Vegetable Oil : BVO)
ถูกนำไปใช้ในการขจัดกลิ่นรสของน้ำมันที่อยู่ในน้ำอัดลม
อีกทั้งยังทำให้น้ำอัดลมมีลักษณะเป็นฟองดังที่เรารู้จักกันดีในเครื่องดื่มเหล่านี้
สารตกค้างขนาดเล็กของ BVO จะติดตามไขมันในร่างกาย
และยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวว่า BVO นั้นมีความปลอดภัย
สารโบรมีนซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของ BVO นั้นมีคุณสมบัติเป็นพิษ
เพียงสองถึงสี่ออนซ์ของตัวทำละลาย BVO จำนวน 2%
ก็มีปริมาณเพียงพอแล้วที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กที่บริโภค
ข้อเท็จจริงน่าขันอีกอย่างที่เกี่ยวกับน้ำอัดลมคือ
ไดเอทโค้กและไดเอทเป๊ปซี่ถือเป็นทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการไดเอท
ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้ตระหนักว่าแทนที่จะเป็นน้ำตาลที่ใช้เป็นสารให้ความหวาน
แต่พวกเขากลับใช้สารให้ความหวานเทียมอย่างเอซีซัลเฟมเค (acesulfame K)
ซึ่งมีส่วนให้เกิดภาวะซึมเศร้า อาการนอนไม่หลับ โรคทางระบบประสาทและอาการเจ็บป่วยอื่น
ๆ มากมาย แพทย์ยังเตือนว่าเอซีซัลเฟมเค (acesulfame K) นั้นอาจเป็นสารก่อมะเร็ง
เราเห็นแล้วว่ารสชาติของอาหารฟาสต์ฟู้ดอเมริกันสำหรับไดเอทที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่นั้นเกี่ยวข้องกับการใช้สารสังเคราะห์ทางเคมี
สารแต่งกลิ่นรสเทียมและสารปรุงแต่งที่ถูกเติมเข้าไปในอาหารผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย
:: ไขมันและน้ำตาล: เมื่อโรคอ้วนกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่
::
กล่าวง่าย ๆ คืออาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นมีไขมันและน้ำตาลสูง
มีความหมายว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นมีแคลอรีสูงและให้คุณค่าทางโภชนาการต่ำ นอกจากนี้
อาหารฟาสต์ฟู้ดยังมีไขมันอิ่มตัวสูง
ซึ่งเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมอาหารเนื่องจากราคาถูกและสามารถทนต่อการปรุงอาหารในอุณหภูมิที่สูงได้
มีข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าไขมันอิ่มตัวนั้นมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและสามารถทำให้เกิดโรคหัวใจได้
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาหารที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพควรมีปริมาณแคลอรี่น้อยกว่า
30% จากไขมัน หรือมีไขมัน 9 กรัมและ 270 แคลอรี่
แฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ได้ทะลุเพดาน 30% นี้ไปแล้ว แฮมเบอร์เกอร์ของเบอร์เกอร์คิงมีไขมัน
15 กรัมและ 320 แคลอรี่ หรือมีปริมาณแคลอรี่ 42% จากไขมัน
ส่วนแฮมเบอร์เกอร์ของร้านอาหารชื่อดังเจ้าอื่น ๆ
นั้นมีปริมาณแคลอรี่และเปอร์เซนต์ของไขมันมากกว่าสองเจ้าที่กล่าวมาเสียอีก
ดังนั้น แฮมเบอร์เกอร์จึงให้ปริมาณแคลอรี่มากกว่าที่ร่างกายเราต้องการและปริมาณแคลอรี่ส่วนใหญ่นั้นก็มาจากไขมัน
เมื่อพูดถึงน้ำตาล
ก็เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่ากระป๋องน้ำอัดลมทั่วไปนั้นมีปริมาณน้ำตาลถึง 10 ช้อนชา
อาหารฟาสต์ฟู้ดจึงให้ปริมาณแคลอรี่มากกว่าที่ระบบของเราสามารถย่อยได้
และแคลอรี่ส่วนเกินเหล่านี้ก็จะถูกเก็บไว้ในร่างกายของเราในรูปแบบของไขมัน
การจัดเก็บไขมันส่วนเกินในร่างกายจะนำไปสู่โรคอ้วน
ซึ่งโรคอ้วนไม่เพียงแต่ป้องกันไม่ให้เรามีหุ่นที่ดีสมส่วนเท่านั้น
แต่ยังมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดโรคและความผิดปกติหลายอย่าง เช่น
โรคเบาหวานชนิดที่ต้องใช้อินซูลิน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ
ยิ่งไปกว่านั้น
โรคอ้วนยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งบางชนิด
โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ ไส้ตรงและทวารหนัก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม
มะเร็งมดลูกและปากมดลูก
หากอาหารฟาสต์ฟู้ดและน้ำอัดลมเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตฉบับอเมริกันแล้ว
จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมคนอเมริกันมากกว่าครึ่งหนึ่งถึงมีน้ำหนักมากเกินไป
แท้จริงแล้วจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และสามัญสำนึกทั่วไปได้บ่งชี้ว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นเป็นสาเหตุหลักของโรคอ้วน
การบริโภคอาหารขยะไม่เพียงแต่หมายถึงปัญหาการรับประทานวัตถุเจือปนที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมีที่ถูกเติมเข้ามาในอาหารระหว่างกระบวนการแปรรูป
หรือไม่เพียงแต่หมายถึงปัญหาไขมันส่วนเกินและความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่โรคอ้วนเท่านั้น
ปัญหาของอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นไกลกว่านั้นและมีความหลากหลายมากกว่านั้นมาก
“ไม่มีสองประเทศใดที่ทั้งสองต่างก็มีแมคโดนัลด์แล้วทั้งสองต่างก็เคยทำสงครามต่อกัน”
โธมัส ฟรายด์แมน (Thomas Friedman)
นักทฤษฎีโลกาภิวัตน์ที่มีชื่อเสียงและคอลัมนิสต์ประจำนิตยสาร Foreign Affairs
กล่าว 
แม้ทฤษฎี McPeace (สันติภาพจากแมคโดนัลด์)
ของฟรายด์แมนดูเหมือนจะป้องกันสงครามได้
แต่แมคโดนัลด์จะสามารถป้องกันโรคภัยที่เกิดจากอาหารขยะตามเมนูที่พวกเขาเสิร์ฟ เช่น
โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็งได้หรือไม่?
………………………………………………………………………………………
อ้างอิง:
• com, “Obsessed by Fast Food: Will Fast Food Be The Death Of Us?”
• Better Health Channel.
• Kate, Siber, “Expansion of the Fast Food Industry,” commonsense, commonsense.com
• Hansler, Kathryn, “Think Fast: Surviving the Fast Food Jungle,”San Bernardino County.
•infoplease.com
• “Processed Food and Junk Food.”
• Schlosser, Eric, “Why McDonald’s Fries Taste So Good,” The Atlantic Monthly, July 1, 2001.
• Friedman, Thomas, “Turning swords into beef-burgers.” The Guardian, December 19, 1996.
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี 
แปลและเรียบเรียงบทความนี้ถอดมาจากแฟ้มเก็บเอกสารของนิตยสาร Science 
ที่มา: aboutislam.net โดย ซาร่า คุรชิด