แกงกะหรี่แพะ แกงกะหรี่เนื้อสำเร็จรูปพร้อมทาน “AMA” ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ส่งต่อรสชาติความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่น

#BIHAPSSTORYEP 8

สูตรลับด้านรสชาติอาหารของแต่ละบ้าน เป็นวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น รสชาติที่คุ้นเคยคือความอบอุ่นที่ถูกส่งต่อบอกเล่าเรื่องราวผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันและหลาย ๆบ้านก็นำเอาสูตรเด็ดประจำครอบครัวนี้มาประกอบเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร  จนสร้างเนื้อสร้างตัวประสบความสำเร็จมาจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว เช่นเดียวกับเรื่องราวที่อยากจะเล่าดังต่อไปนี้  ซึ่งเกี่ยวข้องกับสายใยความรักและความผูกพันของครอบครัวหนึ่งซึ่งส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นในรูปแบบของสูตรอาหาร  จนกลายเป็นที่มาของแบรนด์อาหารประจำถิ่น ของดีที่น่าลิ้มลองรสชาติและความอร่อย

จากสูตรลับประจำครอบครัวเป็นที่มาของร้านดังประจำตัวเมืองยะลาและต่อยอดไปสู่แกงกระหรี่สำเร็จรูป

“คุณนูร์อิศซาตีย์ สาและ” เป็นเจ้าของเรื่องราวที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ ปัจจุบันคุณนูร์อิศซาตีย์เป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร My home café’ ร้านอาหาร Myhome restaurant และเจ้าของผลิตภัณฑ์แกงกะหรี่ สำเร็จรูปพร้อมทาน ตรา AMA จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็นผลิตภัณฑ์แกงกะหรี่สำเร็จรูปตรา AMA นั่นเริ่มต้นมาจากที่ครอบครัวของคุณนูร์อิศซาตีย์มีร้านข้าวแกงเล็ก ๆร้านหนึ่งในตัวเมืองยะลาที่มีเมนูยอดนิยมประจำร้านคือแกงกะหรี่แพะและแกงกะหรี่เนื้อสูตรดั้งเดิมโบราณที่ได้รับการสืบทอดสูตรเด็ดความอร่อยมาจากบรรพบุรุษ  จนส่งต่อมาถึงรุ่นคุณแม่ของคุณนูร์อิศซาตีย์ ซึ่งแกงทั้ง 2 ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากทั้งลูกค้าประจำและลูกค้าขาจร ทำให้คุณนูร์อิศซาตีย์ต้องการต่อยอดและพัฒนาสูตรแกงกะหรี่ประจำร้านให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นและต้องการขยายตลาดออกไปให้ไกลกว่าเดิม คุณนูร์อิศซาตีย์ จึงเริ่มต้นพัฒนาแกงกะหรี่ให้ออกมาในรูปแบบที่พร้อมรับประทาน และที่สำคัญต้องพกพาสะดวกจนกลายมาเป็นแกงกะหรี่สำเร็จรูปพร้อมรับประทานในชื่อแบรนด์ AMA

AMA สูตรแกงมาจากคุณแม่ จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์สุดอบอุ่น

สาเหตุที่คุณนูร์อิศซาตีย์ตั้งชื่อแบรนด์ว่า AMA ก็เนื่องมาจากสูตรแกงกะหรี่ที่คุณนูร์อิศซาตีย์ทำออกมาจำหน่ายเป็นสูตรที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณแม่ของคุณนูร์อิศซาตีย์ ขณะเดียวกันลูก ๆทุกคนก็เรียกคุณแม่ว่า “อามา” ซึ่งคำ ๆนี้เป็นคำที่ผันมาจากคำศัพท์ภาษาอาหรับที่มาจากคำว่า มามา โดยมีความหมายว่า “แม่” คุณนูร์อิศซาตีย์ จึงใช้ชื่อที่เรียกคุณแม่ว่า AMA เป็นชื่อแบรนด์

จุดเด่นคือรสชาติแต่ที่เหนือกว่าความตั้งใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ให้แก่ผู้บริโภค

จุดเด่นของแกงกะหรี่แบรนด์ AMA อยู่ที่รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีความอร่อยกลมกล่อมและหอมกรุ่นไปด้วยเครื่องเทศจากตำรับมลายูแท้ ๆซึ่งส่งต่อสูตรเด็ดมาจากรุ่นสู่รุ่น รสชาติจึงเป็นที่ยอมรับและถูกกล่าวถึงมาแล้วจากเมื่อครั้งยังเป็นเมนูเด็ดประจำร้านอาหารเล็ก ๆ
แต่หากสิ่งที่เป็นจุดเด่นที่แท้จริงซึ่งถูกซ่อนอยู่ภายใต้รสชาติกลมกล่อมนั้น  กลับเป็นเรื่องราวที่แฝงอยู่ภายใต้ความอร่อยด้วยความที่เป็นเมนูทำยากและไม่ได้หาทานกันได้ง่าย ๆมักจะหาทานได้เฉพาะในงานสำคัญ ๆในพื้นที่สามจังหวัดจึงทำให้แกงกะหรี่แพะกลายเป็นหนึ่งในเมนูแห่งความทรงจำ ที่ทำให้คนทานได้สัมผัสบรรยากาศเก่า ๆให้หวนระลึกถึงบ้านอาหารฝีมือแม่
โดยคุณนูร์อิศซาตีย์ได้นำเรื่องราวเหล่านี้บรรจุลงไปในแกงกะหรี่แบรนด์ AMA โดยคงรสชาติและกลิ่นอายอาหารปักษ์ใต้ตำรับมลายูเอาไว้อย่างครบถ้วนทุกประการ และที่สำคัญคือแกงกะหรี่แบรนด์ AMA สามารถยืดอายุและเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปีโดยไม่ใช้สารวัตถุกันเสียและผงชูรส

อาหารท้องถิ่นที่พร้อมขึ้นสำรับกับข้าวของทุก ๆบ้าน

แม้ว่าจะเป็นอาหารปักษ์ใต้ตำรับมลายูแท้ ๆก็ตามแต่แกงกะหรี่ทั้ง 2 แบบไม่ว่าจะเป็นแพะหรือเนื้อวัวก็พร้อมแล้วที่จะขึ้นไปอยู่บนสำรับกับข้าวของคนไทยทุกภาคครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์หรือผู้ที่อยากลองสัมผัสรสชาติเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆด้านอาหารก็ยิ่งไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นอกจากนี้ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ขนาดบรรจุที่พกพาไปไหนได้ง่าย ความสะดวกที่เพียงแค่แกะซองก็สามารถรับประทานได้ทันทีและที่สำคัญคือรสชาติที่คงเดิมทุกประการ ซึ่งตรงกับสโลแกนที่ว่า READY TO EAT “อร่อยง่ายๆ ได้ประโยชน์” ก็เชื่อได้ว่าจะโดนใจผู้บริโภคทุกคนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เป้าหมายต่อไปคือการเปิดตลาดผู้บริโภคให้แกงกะหรี่สูตรคุณแม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

ฟังดูอาจเป็นสูตรอาหารเฉพาะพื้นที่แต่คุณนูร์อิศซาตีย์ก็มีความฝันที่จะเผยแพร่แกงกะหรี่ทั้ง 2 ที่ได้รับการถ่ายทอดจากคุณแม่ให้เป็นที่รู้จักของคนไทยให้มากยิ่งขึ้น ให้คนไทยได้ลิ้มลองรสชาติความอร่อยจากอาหารสูตรมลายูแท้ ๆที่แฝงไปด้วยเรื่องราว กลิ่นอายที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นผ่านทางช่องทางการขายในทุก ๆช่องทางโดยเฉพาะช่องทางการค้าออนไลน์ที่นอกเหนือไปจากการวางขายที่หน้าร้านตามปกติ
“เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าอยากทำ นั่นแหละคือสิ่งที่ควรทำ” จงเริ่มต้นทำในสิ่งที่อยากทำให้เร็วที่สุดโดยอย่าเพิ่งกังวลต่อความผิดพลาดล้มเหลว เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องพบเจออยู่แล้ว จงมองความผิดพลาดเป็นบทเรียนที่เราต้องเรียนรู้และก้าวต่อไปให้ได้ วางเป้าหมายให้ยาวแล้วเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ หากไม่มีประสบการณ์จงเร่งศึกษาเรียนรู้ ถามไถ่จากผู้มีประสบการณ์และจงเรียนรู้จากการลงมือทำ อย่ารีรอจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง

ช่องทางติดต่อ

ONLINE
สั่งซื้อได้ผ่านช่องทาง Pinsouq Lazada Shoppee
เฟซบุคเพจ : AMA Curry แกงแพะ แกงเนื้อ สำเร็จรูป ตราอามา

OFFLINE
ร้านอาหาร Myhome Restaurant สาขา ปั๊ม ปตท.ท่าสาป
ร้านอาหารMy home Café สาขามหาวิทยาลัยฟาฏอนี
D’OASIS CAFE สาขา สนามบินหาดใหญ่
D’OASIS CAFÉ สาขา แยกสนามบินหาดใหญ่
INIANIN CAFÉ สาขา หน้าโรงพยาบาลยะลา
ร้าน Insouvenir สนามบินภูเก็ต
FARM OUT LET PATTANI
FARM OUT LET HATYAI
DEEALEE MARKET

………………………………………………………………………………………

ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สำนักงานปัตตานี)
300/80 ถนนหนองจิก ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี 94000 โทร 073-333-604 แฟกซ์ 073-333-602

Facebook : ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สำนักงานปัตตานี)

#HALALSCIENCE2020
#HSCPN
#HALALPATTANI
#HALALCHULA

Tiger cry เสือร้องไห้ By Vaheda: เนื้อย่างฮาลาลสู่มาตรฐานความเป็นสากล

#BIHAPSTORY 7

เสือร้องไห้ เป็นหนึ่งในเมนูเนื้อย่างที่ถูกปากและถูกใจคอเนื้อหลาย ๆ คนเพราะด้วยรสสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์และรสชาติหอมหวานที่ยิ่งเมื่อได้ทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ด เมนูนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในเมนูมัดใจใครหลาย ๆ คนไปได้ไม่ยาก เสือร้องไห้เป็นเมนูเด็ดแนะนำประจำหลายร้านนั่นก็เพราะแต่ละร้านเองก็มีสูตรเด็ดเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของใครของมัน แต่ร้านที่เราอยากจะแนะนำให้รู้จักเป็นร้านเสือร้องไห้แบบฮาลาล ที่พัฒนารูปแบบธุรกิจมาเป็นรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์ ที่ยกระดับเมนูเสือร้องไห้ให้ขึ้นมาตามมาตรฐานในระดับสากล

จากความชอบในเมนูเนื้อสู่ธุรกิจแฟรนไชส์เนื้อย่าง “เสื้อร้องไห้”

“คุณโยฮัน สาตออุมา” Marketing Directer บริษัท Yohan Corporation เจ้าของแบรนด์ Tiger cry เสือร้องไห้ ธุรกิจแฟรนไชส์เนื้อย่างฮาลาลสายพันธุ์ไทยที่มีความทันสมัยในสไตล์โมเดิร์น เพราะจากความชอบในการทานเนื้อวัวมาตั้งแต่แรก  จึงทำให้คุณโยฮัน พัฒนาความชอบมาสู่การทำธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะอาหารในรูปแบบของฮาลาลซึ่งคุณโยฮันมีความความตั้งใจอันแน่วแน่  ที่จะพัฒนาธุรกิจอาหารฮาลาลให้เป็นสากลและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย  ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ไลฟสไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน โดยการคัดสรรวัตถุดิบในประเทศ  ให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิตไปจนถึงกระบวนการส่งต่อผลิตภัณฑ์คุณภาพไปสู่มือของลูกค้า จึงมีการพัฒนาธุรกิจให้มีมาตรฐานเป็นแบรนด์ที่เข้มแข็งขึ้นมา

เหตุที่เลือกใช้เนื้อวัวมาเป็นวัตถุดิบหลักนั้นก็เพราะเนื้อวัวเป็นเนื้อที่ได้รับความนิยมมาก  ไม่เฉพาะแต่พี่น้องมุสลิมเท่านั้น แต่คนไทยนิยมทานกันโดยทั่วไปและเมนูเสือร้องไห้ก็เป็นเมนูเด็ดที่ได้รับความนิยมของคนไทยมาอย่างยาวนานเพราะมีรสสัมผัสที่ครบในสัดส่วนที่พอดีกัน  ระหว่างไขมันและเนื้อที่อร่อยจนกระทั่งเหล่าคอเนื้ออดใจไม่ได้ต้องสั่งมาทานทุกครั้งไป คุณโยฮันจึงนำจุดเด่นทั้งหมดนี้มานำเสนอในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในชื่อ “Tiger cry เสือร้องไห้” โดยใช้กรรมวิธีในการหมักตามแบบฉบับเฉพาะที่เน้นอร่อยปาก ปราศจากอันตราย ด้วยวัตถุดิบโคเนื้อสายพันธุ์พื้นเมืองที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีถูกต้องตามหลักฮาลาล ปราศจากผงชูรสและสิ่งปนเปื้อนเพราะความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต

Tiger Cry: ชื่อแบรนด์ตรงไปตรงมาที่เน้นการติดหูมากกว่าความถูกต้องตามหลักภาษา

 Tiger cry มาจากคำสองคำคือ คำว่า tiger และ cry ที่เมื่อนำนำมาเรียงต่อกันจึงให้ความหมายที่ตรงตัวว่า “เสือร้องไห้” แม้ว่าจะไม่ถูกหลักไวยกรณ์ แต่คุณโยฮันตั้งใจให้ชื่อมีความน่าสนใจ ติดหูและเป็นที่จดจำเพียงเท่านั้น

เสือร้องไห้รสชาติที่ชวนหลงใหลและรูปแบบธุรกิจที่น่าสนใจ

เมื่อผสานทุกอย่างเข้าด้วยกันจึงพัฒนามาสู่เสือร้องไห้ย่าง น้ำจิ้มแจ่วมะนาวสด  กับจุดเด่นที่การรังสรรค์เมนูเนื้อแสนอร่อยจากวัตถุดิบเนื้อโคพื้นเมืองชั้นดี ถูกต้องตามหลักฮาลาลที่ดีต่อสุขภาพ  โดยคัดเลือกเฉพาะส่วนเนื้อหน้าอก  นำมาผ่านการหมักด้วยสูตรพิเศษ แล้วนำมาย่างบนเตาร้อนๆอย่างพิถีพิถัน  จัดเสิร์ฟพร้อมผักเคียงน้ำจิ้มแจ่วมะนาวสดนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัย ไม่ว่าใครได้ลิ้มลองต่างก็ต้องติดใจ เสือร้องไห้จานนี้จะพาให้ทุกคนดำดิ่งถึงรสชาติความเป็นไทยชวนให้น่าหลงไหล และต้องกลับมาทานทุกครั้งที่มีโอกาส
รูปแบบร้านมาในรูปแบบคีออสสีเหลืองตัดดำ  ดูเด่นสะดุดตาโดยมีภาษารองรับถึง 4 ภาษาคือ ไทย อังกฤษ จีน ยาวี นอกจากนี้ยังมีเมนูให้เลือกไปจำหน่ายเสริมทั้งเครื่องดื่มและอาหารทานเล่นเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้เติบโตต่อไป

รสชาติถูกปากที่บรรดาคอเนื้อไม่ควรพลาด

เพราะรสชาดความอร่อยจากวัตถุดิบชั้นเลิศที่นำมาผ่านกระบวนการผลิตที่ได้คุณภาพจนกลายมาเป็นเมนูเสือร้องไห้ที่มีเอกลักษณ์และกลิ่นอายของความเป็นไทย  เมนูนี้เป็นเมนูที่คนรักการทานเนื้อไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ หรือแม้กระทั่งผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพก็สามารถลิ้มลองความอร่อยจนต้องบอกต่อนี้ได้เช่นกัน เพราะความพิถีพิถันและใส่ใจในทุกขั้นตอนที่ปราศจากสิ่งปนเปื้อนตามหลักของฮาลาล ปราศจากผงชูรส  จึงทำให้แน่ใจได้ว่านอกจากรสชาติความอร่อย สิ่งที่ลูกค้าทุกท่านจะได้รับตามมาก็คือความปลอดภัยอันเป็นหัวใจหลักอันดับหนึ่งของเสือร้องไห้ของคุณโยฮัน

เป้าหมายที่อยู่สูงคือแรงผลักดันที่ต้องไปให้ถึง

คุณโยฮันตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายกลุ่มลูกค้าของร้าน Tiger cry ออกไปทั้งในและต่างประเทศ แต่จะเน้นให้ความสำคัญแก่ลูกค้าภายในประเทศก่อน โดยระยะแรกจะเน้นให้สามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยัง 14 จังหวัดภาคใต้รวมถึงมีช่องทางจัดจำหน่ายภายในกรุงเทพมหานครเสียก่อน แล้วจึงขยายต่อไปยังภูมิภาคอื่น ๆในอนาคตโดยมีเป้าหมายอยู่ที่การนำไปสู่การสร้างอาชีพสนับสนุนเกษตรกร เกิดการจ้างงานในพื้นที่ และสร้างอาชีพให้ผู้ที่สนใจต่อไป

……………………………………………………………………………………………………………..
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สำนักงานปัตตานี)300/80 ถนนหนองจิก ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี 94000 โทร 073-333-604 แฟกซ์ 073-333-602Facebook : ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สำนักงานปัตตานี)
#HALALSCIENCE2020
#HSCPN
#HALALPATTAN
I#HALALCHULA

การให้อาหารแก่สัตว์ : ประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม

โดย ดร.มุฮัมมัด มุนีร เชาดรี, ดร.ชัยค์ญะอฟัร เอ็มอัลกุเดอรี, ดร.อะหมัด ฮุซเซน ศ็อกร์

มีความสับสนและคำถามมากมายเกี่ยวกับกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ เราลองมาพิจารณาในบางประเด็นและชี้แจงคำถามบางส่วน

มีฟาร์มจำนวนมากที่มีการเติมอาหารเสริมโปรตีน (protein supplement) ในอาหารสัตว์ การปฏิบัติเหล่านั้นมิได้จำกัดเพียงแค่ฟาร์มขนาดใหญ่ที่เลี้ยงแบบเปิด แต่ยังรวมไปถึงฟาร์มที่เลี้ยงแบบปิด อาหารเสริมโปรตีนอาจใช้โดยเจ้าของฟาร์มที่อ้างว่าเลี้ยงโดยการปล่อยสัตว์ปีกและปศุสัตว์ให้อาหารอย่างอิสระ หรือการเลี้ยงนอกกรงนั่นเอง โปรตีนเสริมเหล่านี้ผลิตมาจากเศษเนื้อที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์และอาจมีส่วนประกอบอื่นๆรวมอยู่ด้วย นักวิชาการและผู้บริโภคส่วนมากรู้สึกว่าการให้อาหารด้วยเศษเนื้อดังกล่าวแก่สัตว์ที่ฮาลาลไม่น่าจะเป็นที่อนุญาต บางส่วนเห็นว่าเทียบเท่ากับอัลญะลาละฮฺ (ซากสัตว์)

อัลญะลาละฮฺได้รับการนิยามว่าหมายถึงสัตว์ที่มักจะกินของเสียเป็นหลัก ซึ่งไม่มีความเห็นแตกต่างในความหมายของคำนี้ ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ห้ามรับประทานเนื้อและนมของสัตว์ญะลาละฮฺ ท่านยังห้ามแม้แต่การขี่มัน นักนิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นแตกต่างกันต่อน้ำหนักของการห้าม ทรรศนะของอิมามชาฟิอีย์ถือว่าห้ามโดยเด็ดขาดที่จะรับประทานเนื้อของสัตว์ชนิดนี้ อย่างไรก็ตามทรรศนะของอิมามอบู หะนีฟะฮฺ, อิมามมาลิกและอิมามอะหมัด อิบนุฮันบัลถือว่าการห้ามนี้มิได้ถึงขั้นเด็ดขาดโดยถือเป็นมักรูฮฺ (ไม่ควรรับประทานแต่ไม่ถึงขั้นต้องห้าม)

สำหรับผู้ที่ถือว่าอาหารเสริมโปรตีนเหล่านี้เป็นญะลาละฮ์เชื่อว่าสัตว์ใดก็ตามที่กินอาหารเสริมนี้ถือว่าสัตว์ตัวนั้นเป็นญะลาละฮฺ เนื่องจากอาหารสัตว์ส่วนใหญ่ในตะวันตกมักจะมีสารกสัดจากสัตว์ พวกเขาสรุปว่ามุสลิมไม่สามารถบริโภคเนื้อที่มาจากอเมริกาเหนือ

ในความเป็นจริงสัตว์จำพวกญะลาละฮฺเป็นสัตว์ที่มักจะอยู่ใกล้ ๆ กับกองขยะหรือบ่อน้ำทิ้ง อาหารส่วนใหญ่ของพวกมันคือ “ญุลละฮ์” หมายถึงอุจจาระ ของเสียต่าง ๆ ตลอดจนซากสัตว์ตายหรืออื่น ๆ ที่คล้ายกัน พวกสัตว์เหล่านี้มักจะมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เนื้อและนมตลอดจนกลิ่นประจำตัวที่แรง อย่างไรก็ตามหากสัตว์ญะลาละฮ์ได้รับการกักและให้อาหารที่สะอาด, เป็นอาหารทั่วไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นเนื้อของมันสามารถนำมารับประทานได้ ช่วงเวลาดังกล่าวอาจมีระยะเวลาตั้งแต่ 3 วันจนไปถึง 40 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของสัตว์ตัวนั้น

สิ่งที่ควรทราบคือสัตว์ทุกชนิดจะกินสิ่งสกปรกหรือชองเสียบางอย่าง แม้ว่ามันจะกินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าหรือทุ่งเลี้ยงสัตว์เป็นหลักก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองนักนิติศาสตร์จึงได้เน้นว่า ญะลาละฮฺเป็นสัตว์ที่กินของเสียเป็นหลัก อย่างไรก็ตามหากพวกมันกินอาหารเหล่านั้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือกินเพียงเล็กน้อย เนื้อของมันจะไม่ถือว่าหะรอม จากหลักการนี้จะเห็นว่าการสรุปว่าเนื้อทั้งหมดที่มาจากอเมริกาเหนือเป็นญะลาละฮฺนั้นเป็นการสรุปที่เลยขอบเขตมากไป เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วอาหารของพวกมันเป็นธัญพืช หญ้าแห้งหรือเมล็ดพืชต่างๆ

เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดเปอร์เซ็นต์วัตถุดิบผลพลอยได้ (by-products) จากสัตว์ที่จะใช้ในอาหารสัตว์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่นชนิดของสัตว์ที่จะให้อาหาร จุดประสงค์ของการให้อาหาร ราคาของวัตถุดิบผลพลอยได้ คุณภาพของโปรตีนและลักษณะการเลี้ยงว่าเลี้ยงในคอกหรือที่ขุนอาหารสัตว์หรือไม่ นอกจากนั้นแล้วประเทศกำลังพัฒนาจะใช้ผลพลอยได้จากสัตว์น้อยมากในการให้อาหารและประเทศยุโรปบางประเทศได้ห้ามนำเข้าด้วยเหตุผลว่ามีการกระทำทารุณต่อสัตว์ เพื่อป้องกันการเกิดและระบาดของโรควัวบ้าในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลได้ออกกฎหมายห้ามใช้โปรตีนส่วนใหญ่ที่มาจากสัตว์ในการให้อาหารแก่สัตว์เคี้ยวเอื้อง แต่อย่างไรก็ตามกฏหมายนี้มิได้นำไปใช้กับสัตว์ปีก

เมื่อวัตถุดิบผลพลอยได้จากสัตว์ถูกนำไปใช้ มันจะผ่านกระบวนการจัดเตรียมที่ใช้เวลานาน ซึ่งรวมไปถึงการการให้ความร้อนภายใต้แรงดันสูง การบดและการสกัด สัตว์ที่เป็นอาหารมนุษย์นี้จะไม่กินสัตว์ด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาอาจให้อาหารที่เป็นชิ้นเนื้อดิบๆจากวัตถุดิบผลพลอยได้แล้วผ่านการแปรรูปเป็นอาหารเสริมแล้วนำไปเติมในอาหารสัตว์ในปริมาณที่มากนัก

โดยสรุป การใช้วัตถุดิบผลพลอยได้เพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์มิได้ทำให้อาหารนั้นเป็น “ญุลละฮ์” ดังนั้นสัตว์ที่กินอาหารเหล่านี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็น ญะลาละฮฺ ขณะที่มีความแตกต่างทางความเห็นว่าสัตว์ญะลาละฮ์หะรอมหรือไม่ ผู้บริโภคจำนวนมากไม่นิยมรับประทานสัตว์ที่อาหารของมันเป็นวัตถุดิบผลพลอยได้จากสัตว์ (เศษซาก) แม้แต่หน่วยงานด้านเกษตรกรรมของรัฐบาลบางหน่วยงานรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจเจอโรคเนื่องจากวัตถุดิบที่เติมในอาหารสัตว์ดังกล่าว จนทำให้นักวิชาการมุสลิมต้องออกมาฟัตวาในเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องยากในการที่จะรับรองเนื้อและสัตว์ปีกดังกล่าวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้บริโภคจำนวนมากจึงหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ออแกร์นิกเช่นเนื้อหรือสัตว์ปีกออแกร์นิก นี่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคอาหารฮาลาล ตราบใดที่กระบวนการจัดการมีความสอดคล้องกับแนวทางทีอิสลามได้กำหนดไว้ เมื่อผู้บริโภคหันมาบริโภคอาหารออแกร์นิกมากขึ้น กฏของอุปสงค์อุปทานจะเปลี่ยนทิศทางของตลาดจากเดิม สิ่งที่เราหวังไว้อย่างสูงคือการเปิดเผยกระบวนการในการผลิตอาหารเพื่อที่ผู้บริโภคแต่ละคนจะสามารถตัดสินใจเลือกผ่านข้อมูลไม่ว่าจะยอมรับหรือปฎิเสธอาหารประเภทนี้

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา www.eat-halal.com


หลักการให้อาหารแก่สัตว์ในอิสลาม

“พวกเจ้าจงกินและจงดื่มจากปัจจัยยังชีพของอัลลอฮฺ และจงอย่าก่อกวนในผืนแผ่นดิน ในฐานะผู้บ่อนทำลาย” (อัล บะเกาะเราะฮฺ 2:60)

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มุสลิมในอเมริกาเหนือเปิดร้านอาหารที่ยึดตามหลักการอิสลามเพิ่มจำนวนสูงขึ้น หากขับไปตามถนนดันดัส (Dundas) ในมิสซิสซอกา (Mississauga) ประเทศแคนาดา หรือจะเดินเล่นที่เดียร์บอร์น (Dearborn) มิชิแกน (Michigan) คุณจะเห็นร้านอาหารและร้านขายเนื้อสัตว์ฮาลาลนับร้อยแห่งในพื้นที่เหล่านี้

ในทศวรรษที่ผ่านมา บางรัฐอย่าง นิวเจอร์ซี (new jersey) กลายเป็นรัฐแรกที่ผ่านกฏหมายคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับอาหารฮาลาล กฏหมายได้บัญญัติเพื่อเป็นแนวทางแก่พ่อค้าหรือผู้จัดจำหน่ายที่จะต้องปฏิบัติตามเมื่อมีฉลากฮาลาลติดบนสินค้า

ในปี 2003 ทางหน่วยงานในแคนาดาได้ประกาศว่า วัวอายุ 8 ปี ในรัฐแอลเบอร์ตา Alberta ได้ล้มตายจากโรควัวบ้า(Bovine Spongiform Encephalopathy : BSE) ทางด้านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของแคนาดา นาย Lyle Vanclief ได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ทันที เพื่อยืนยันว่า วัวในรัฐแอลเบอร์ตา(Alberta) นั้นจะไม่หลุดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหารได้

วัวและปศุสัตว์นับพันในแคนาดาได้ถูกทำลายในเวลาต่อมา ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐออเมริกาและประเทศอื่น ๆ ได้สั่งห้ามการนำเข้าเนื้อวัวจากแคนาดา

ขณะที่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า วัวหนึ่งในล้านตัวอาจมีการเจริญเติบโตของโรควัวบ้าเมื่อโปรตีนในสมองของวัวเป็นพิษ การระบาดของโรควัวบ้าในประเทศอังกฤษในช่วงปลายปี 1980 เป็นผลมาจากการให้อาหารที่ไม่ถูกต้อง วัวและปศุสัตว์ถูกเลี้ยงโดยให้กินซากสัตว์จากฟาร์มอื่นเป็นอาหาร

เมื่อมนุษย์บริโภคเนื้อสัตว์ที่มีโรควัวบ้าเข้าสู่ร่างกาย พวกเขาก็จะติดเชื้อ และจะเป็นโรคสมองเป็นเป็นรูพรุนหรือโรคสมองฝ่อ (Creutzfeldt-Jakob disease) จะกลายเป็นอัมพาตจนเสียชีวิตในที่สุด

ตั้งแต่ปี 1997 ประเทศแคนาดาได้สั่งห้ามการให้อาหารสัตว์ที่จำพวกโปรตีนที่มาจากสัตว์เคี้ยวเอื้องด้วยกันเอง (เช่น วัว ควาย แกะ แพะ กระทิง หรือกวาง) แก่สัตว์ประเภทอื่น

อาหารที่ถูกห้ามแก่ปศุสัตว์หรือสัตว์ที่เคี้ยวเอื้องนั้นจะมีคำเตือนเขียนไว้ว่า “ห้ามให้แก่วัว แกะ กวาง หรือสัตว์เคี้ยวเอื้องอื่น ๆ กินเป็นอาหาร”

การคาดการณ์ที่จะเกิดโรควัวบ้าในปศุสัตว์ของแคนาดาและการกักบริเวณวัวนับพันตัว นับเป็นการเตือนให้เท่าทันภัยแก่ชุมชนมุสลิมทั้งแคนาดาเป็นอย่างดี

ในขณะที่มาตรฐานฮาลาลมีการตรวจสอบและวินิจฉัยการเชือดวัวตามบทบัญญัติอิสลามอย่างเคร่งครัด แต่กลับไม่มีกลไกเพื่อตรวจสอบการให้อาหารสัตว์ในแต่ละวันอย่างเป็นทางการจนถึงทุกวันนี้

ความจริงแล้ว มุสลิมจำนวนมากไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องวิธีการจำแนกอาหารฮาลาลมากนัก ตามกฏหมายชะรีอะฮฺนั้นยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องการตรวจสอบวิธีการเชือดสัตว์ที่ถูกต้องเสียอีก

ตามกฏชะรีอะฮฺ สัตว์ที่ถูกเชือดจะถือว่าฮาลาลก็ต่อเมื่ออาหารที่ถูกให้นั้นฮาลาล ดังนั้นการให้อาหารสัตว์จึงมีบทบาทสำคัญในการจำแนกอาหารฮาลาล

อาหารสัตว์จะต้องมาจากพืชผัก ไม่อนุญาติให้มีการให้อาหารจากเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ ยาโกรทฮอร์โมน (Growth Hormones) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะยาโกรทฮอร์โมนทำมาจากสุกร การทำให้สลบในสัตว์ที่ทำกันอย่างแพร่หลายนั้นควรหลีกเลี่ยง เลือดก็ต้องมีการไหลออกมาให้หมดจากตัวสัตว์ที่ถูกเชือด

เชค อะหมัด คุตตี้ ผู้รู้ชาวแคนาดากล่าวว่า ประเด็นปัญหาการให้อาหารของปศุสัตว์นั้น ไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเองหรือหน่วยงานมุสลิมก่อนหน้าจะมีการระบาดของโรควัวบ้า (BSE)

“ปัญหานี้มีความท้าทายต่อเราผู้ที่เป็นมุสลิมที่จะต้องสร้างความมั่นใจว่ามาตรฐานฮาลาลของเรานั้นสามารถดำเนินการได้ไม่เฉพาะในเรื่องการเชือดสัตว์เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญมากในเรื่องของการเลื้ยงดูและการขยายพันธุ์”

เชค อะหมัด คุตตี้ กล่าวว่า การให้อาหารสัตว์เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง และควรให้ความสำคัญเหนือกว่าเรื่องถกเถียงต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การพิจารณาว่าฮาลาลหรือไม่

“การให้อาหารสัตว์มีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่มุมทางกฏหมายชะรีอะฮฺ มากกว่าปัญหาที่มุสลิมได้ถกเถียงกันในเรื่องการเชือดด้วยเครื่องจักรดีกว่าการเชือดด้วยมือหรือไม่ ? การทำให้สัตว์สลบก่อนเชือดดีกว่าหรือไม่? มุสลิมสามารถบริโภคสัตว์จากการเชือดของชาวคริสเตียนหรือยิวได้หรือไม่?” เชค อะหมัด คุตตี้กล่าว

อะหมัด ศ็อกร์ จากแคลิฟอเนีย ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) และผู้ประพันธ์หนังสือ “Understanding Halal Food”และ “A Muslim Guide to Food Ingredients” ได้กล่าวในเว็บไซท์ soundvision.com ว่า มีเนื้อฮาลาลบางส่วนที่ไม่ฮาลาล โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะอาหารที่สัตว์ได้กินเข้าไป

“ศาสนาอิสลามได้บัญญัติว่า หากสัตว์ตัวหนึ่งได้รับเนื้อสดหรือเลือดเข้าไปขณะตัวของมันนั้นฮาลาล มันจะกลายเป็นสิ่งที่หะรอม และเพื่อให้มันฮาลาล ท่านจะต้องกักบริเวณสัตว์ตัวนั้นเป็นเวลา 40 วัน ก่อนที่จะนำมาเชือดเพื่อทำให้มันฮาลาล”

:: ชุมชนมุสลิมได้ดำเนินการใด ๆ บ้างหรือไม่ ในการตรวจสอบการให้อาหารสัตว์ ? ::
ชุมชนมุสลิมในออนตาริโอได้รับการกำชับไม่ให้เกิดการไขว้เขวระหว่างปัญหาของโรควัวบ้ากับเรื่องของฮาลาล ซึ่งมีวัวเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้นที่ติดเชื้อจากโรควัวบ้าในพื้นที่แถบอเมริกาเหนือ (Alberra) จนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม ทั้งแคนาดาและอเมริกาได้อนุญาตอย่างลับ ๆ ให้นำสัตว์ที่ตายแล้วมาเป็นอาหารของสัตว์เป็นโดยในบางพื้นที่มีการเก็บค่าบริการ

ปี 2003 วอร์ชิงตันโพสท์รายงานว่า เกิดช่องโหว่ที่ปล่อยให้นำสัตว์ที่ตายแล้วมาบดเป็นผงและนำมาเป็นอาหารแก่ปศุสัตว์

การประกาศห้ามในปี 1997 ไม่ได้ช่วยป้องกันการนำโปรตีนจากสัตว์ที่ตายแล้วมาเป็นอาหารแก่สัตว์ปีกและสุกร

วันที่ 28 พฤษภาคม 2003 สำนักงานตรวจสอบอาหารแห่งแคนาดารายงานว่า “เนื้อและกระดูกของวัวที่อาจติดเชื้อที่ถูกผลิตเป็นอาหารสุนัขนั้น ไม่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์จากการสัมผัสสินค้า”

ฟาร์มกักกันในบริติชโคลัมเบีย 3 แห่ง ซึ่งอยู่ใน “ระหว่างการตรวจสอบอาหารสัตว์” มีสัตว์ (60 ตัว) ถูกกำจัดเนื่องจาก ไม่สามารถสรุปได้ว่าสัตว์เคี้ยวเอื้องในสถานที่เหล่านี่สัมผัสกับอาหารของสัตว์ปีกหรือไม่”

“เราในฐานะมุสลิมได้รับอนุญาติเพียงแค่ให้อาหารวัวหรือสัตว์เลื้ยงที่เป็นไปตามธรรมชาติของสัตว์แต่ละประเภท ไม่สามารถนำเศษซากของสัตว์อื่นหรืออาหารที่ทำมาจากไขมันสัตว์นำมาเป็นอาหารของมันได้”

ปัญหาของโรควัวบ้าจะยังคงเปิดพื้นที่ในการถกเถียงกันในหมู่มุสลิมแคนาดา ตราบใดที่ยังให้ความสำคัญกับการกำหนดวิธีการเชือดมากกว่าการพิจารณาเนื้อที่ฮาลาล

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net

เส้นผมมนุษย์ในอาหาร

  จะเป็นอย่างไรหากคุณเห็นเส้นผมในอาหารที่คุณรับประทาน ? คุณคงขยะแขยง แต่ทว่าพวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเส้นผมมนุษย์ได้เข้าสู่กระบวนการแปรสภาพเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร และสารในคำถามนี้คือ L-cysteine

L-cysteine คืออะไร?

   L-cysteine เป็นกรดอะมิโน ที่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เภสัชกรรมและเครื่องสำอาง ในการทำขนมปัง L-cysteine เป็นตัวช่วยในการลดระยะเวลาการเกิดโด (การพองตัวของแป้ง) ในแป้ง ยับยั้งการหดตัวของหน้าพิซซ่าหลังจากที่เป็นแผ่นเรียบ และช่วยยับยั้งการหดตัวของโดของผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ในขณะที่ผ่านการอบ อย่างไรก็ตาม L-cysteine ยังเป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร สำหรับผลิตเป็นสารให้กลิ่นเนื้อ (meat flavour) ในผลิตภัณฑ์ จำพวก ซุปก้อนถึงแม้ว่า L-cysteine อาจจะมีอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหาร แต่สารเหล่านี้ไม่ถูกระบุว่าเป็นส่วนประกอบในอาหาร เนื่องจากสารนี้ไม่ถือว่าเป็นสารเจือปนอาหาร แต่เป็นตัวช่วยในกระบวนการผลิต

แหล่งที่มาของ L-cysteine
ปัจจุบันมากกว่า 80% ของ L-cysteine ที่ถูกนำมาใช้ทั่วโลกนั้น ถูกผลิตขึ้นในประเทศจีน ซึ่งสกัดมาจากเส้นผมมนุษย์และขนไก่ เส้นผมมนุษย์อุดมไปด้วยกรดอะมิโน 2 ชนิด คือ L-cysteine และ L-tyrosin มี L-cysteine ประมาณ 14 % ในเส้นผมมนุษย์ ในระหว่างการสกัด L-cysteine นั้นโปรตีน keratin จากเส้นผมมนุษย์จะถูกย่อยด้วยกรดไฮโดรคลอริกและน้ำ หลังจากผ่านหลายๆขั้นตอนของการสกัดโปรตีน Keratin ก็ได้กลายเป็น L-cysteine

ศาสนาอิสลามมีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับ L-cysteine

 สอดคล้องกับกฎหมายอิสลาม(ชารีอะฮฺ) การบริโภคส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายมนุษย์นั้นเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม)สำหรับมุสลิม จากการสัมภาษณ์กับมุฟตีของรัฐเปรัก (Perak)  Dato’ Seri Dr Harussani bin Zakeria ทำให้ทราบว่า ทุกๆส่วนของร่างกายมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ล่วงละเมิดไม่ได้และควรเคารพ ดังนั้น อาหารที่มี L-cysteine เป็นส่วนประกอบเป็นสิ่งที่น่าสงสัยเนื่องจาก L-cysteine อาจจะได้มาจากเส้นผมของมนุษย์ก็เป็นได้

    ในประเด็นเรื่องนี้ ผู้บริโภคมุสลิมควรมีความรอบคอบเมื่อพวกเขาต้องการเลือกซื้อสินค้าประเภทอาหารในตลาด โดยเฉพาะอาหารที่อาจมี L-cysteine (เช่น ขนมปัง, พิซซ่าและอาหารที่มีกลิ่นเนื้อ)

สำหรับสิ่งที่ทุกคนควรทราบคือ L-cysteine ที่ใช้ในอาหารที่คุณซื้อนั้น อาจมาจากเส้นผมมนุษย์ และอาจไม่ถูกระบุบนฉลากในส่วนประกอบอาหาร

………………………………………..
ที่มา : จากหนังสือ 
Halal haram: an important book for Muslim consumers : a guide by Consumers Association of Penang

เครื่องมือตรวจจับเนื้อสุกรแบบเคลื่อนที่

เมื่อเร็วๆนี้ สถาบันวิจัยผลิตภัณฑ์ฮาลาล (HPRI) มหาวิทยาลัยปุตรามาเลเซีย ได้พัฒนาเครื่องมือพิเศษเพื่อใช้ตรวจจับ DNA จากเนื้อหมู ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมีชื่อว่า “HaFyS”  เพื่อนำมาใช้ในการทวนสอบย้อนกลับระบบการผลิตอาหารฮาลาล โดยสามารถตรวจหา DNAจากเนื้อหมูทั้งในเนื้อดิบและเนื้อปรุงสุก นี่คือเครื่องมือตรวจจับเนื้อสุกรแบบเคลื่อนที่เครื่องแรกของโลกที่สามารถตรวจติดตามร่องรอยการปนเปื้อนจากเนื้อสุกร เช่น ในอาหาร เครื่องสำอางและวัตถุดิบอื่นๆที่สามารถนำมาสกัด ดีเอ็นเอได้

                อุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ทราบกันว่าเป็น polymerase chain reaction (PCR) และเป็นเครื่องกลไกที่ได้รับการพัฒนาในอเมริกา เดิมใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรค ได้แก่ มาลาเรีย ไข้เลือดออก และไข้หวัดใหญ่ องค์ประกอบที่มีอยู่ในระบบเจ้าเครื่อง HaFyS เป็นเครื่องวิเคราะห์ real-time PCR แบบเคลื่อนย้ายได้สะดวก  test module ใช้แล้วทิ้ง สาร lyophilized PCR และ ชุดสกัดDNA ความแตกต่างระหว่างเครื่องมือ HaFyS และเครื่อง PCR ทั่วไปนั่นคือ มันบรรจุ primer และ probe สำหรับตรวจจับ DNA จากเนื้อหมูโดยเฉพาะ อุปกรณ์นี้ยังแสดงให้เห็นถึงข้อดีหลายอย่าง เช่น สามารถตรวจสอบได้ทั้งทางตรง (ไม่ต้องสกัด DNA) และทางอ้อม(ด้วยการสกัด DNA) รวดเร็ว สามารถส่งข้อมูลหลายๆตัวได้พร้อมกัน ง่ายต่อการใช้งาน เชื่อถือได้สำหรับการแยกแขนงสปีชีย์ของสัตว์ และยังแข็งแรงทนทานอีกด้วย

การใช้เครื่อง ELECTRONIC NOSE ในการตรวจจับไขมันสุกร

เครื่องมือนี้ประกอบด้วยการผสมผสานของชุดเซ็นเซอร์เคมีอิเล็กทรอนิกส์และระบบการจดจำรูปแบบกลิ่นที่มีความสามารถในการแยกแยะกลิ่นเชิงเดี่ยวและกลิ่นที่มีความซับซ้อน รายละเอียดของกลิ่นได้ถูกนำเสนอเป็นรูปภาพที่เฉพาะเจาะจงในรูปแบบ VaporPrint ที่จะให้คำอธิบายลักษณะของกลิ่น ภาพนี้จะช่วยให้ผู้ใช้เครื่องแยกแยะระหว่างกลิ่นที่ต้องการและกลิ่นที่ไม่ต้องการในความเข้มข้นที่แตกต่างกัน  ซึ่งเป็นเทคนิคหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นที่สถาบันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาลาล ด้วยการใช้เครื่อง Electronic Nose  ที่มีพื้นผิวในการตรวจจับแบบ acoustic wave sensor เพื่อตรวจจับการเจือปนของน้ำมันหมูในน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร

ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่ารูปแบบการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นมีความสัมพันธ์กับจำนวนที่เพิ่มขึ้นของน้ำมันหมูที่ปรากฏในตัวอย่างอาหาร  ประโยชน์ของเครื่องมือนี้คือ มันไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนการเตรียมการก่อนการตรวจสอบ เป็นวิธีการตรวจสอบที่รวดเร็ว (ภายใน 15 วินาที) และไม่จำเป็นต้องใช้ตัวทำละลายสารเคมีใด ๆ  ผลการศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นว่า Peak ที่มีความจำเพาะจาก chromatogram ของเครื่อง Electronic Nose สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดการมีอยู่ของน้ำมันหมูในตัวอย่างอาหาร ซึ่งสามารถตรวจพบได้ที่ระดับต่ำสุดที่ 1%

…………………………………………………………………………………………………………..
งานวิจัยที่ผ่านมา

  • Detection of lard in food product model (chocolate, cake and biscuit), RBD palm oil, fried and bakery products using FTIR spectroscopy, DSC, ELISA and electronic nose
  • Screening and classification of animal and plant based oil and fat samples using FTIR spectroscopy
  • Detection of alcohol in bicarbonate drinks using GC and GC-MS techniques
  • Characterization of animal based gelatin using HPLC and electrophoresis

ที่มา :  Halal Products Research Institute.  Scholar’s Note.  Info Halal. Special Edition 2007

ผลิตภัณฑ์ยาปลอดหมู

  ถึงเวลานี้ประชากรโลกไต่ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 7 พันล้านคนแล้ว ในจำนวนนี้มีอยู่กว่า 3 พันล้านคนที่ไม่บริโภคสุกรหรือหมู กลุ่มที่รู้จักกันดีที่สุดคือมุสลิมหรือคนที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งหลักการในศาสนาห้ามการบริโภคหมู คนกลุ่มนี้มีอยู่ 2 พันล้านคนทั่วโลก กลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่บริโภคหมูคือพวกที่ถือมังสะวิรัติ กลุ่มนี้อาจนับถือศาสนาหรือความเชื่ออะไรก็ได้แต่ไม่นับรวมมุสลิมบางคนที่ถือมังสะวิรัติรวมแล้วมีประมาณ 1 พันล้านคน นอกจากนี้ยังมีคนยิวซึ่งไม่บริโภคหมูเหมือนกัน กลุ่มหลังนี้มีไม่มากนักแค่ 14 ล้านคนเท่านั้น

          ถึงแม้ไม่บริโภคหมูแต่ภายใต้ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในโลก ความซับซ้อนของกระบวนการผลิตซึ่งผู้ค้นคว้าพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมทั้งผู้ผลิตส่วนใหญ่เป็นคนที่บริโภคหมูทั้งฝรั่ง ทั้งญี่ปุ่นทั้งจีน จึงบอกได้เลยว่ายากเหลือเกินที่คนที่ไม่บริโภคหมูจะหลีกเลี่ยงหมูไปได้ เพราะมีผลิตภัณฑ์มากมายทั้งที่เป็นอาหาร ยา รวมทั้งผลิตภัณฑ์บริโภคอีกจำนวนมหาศาลที่มีหมูเป็นองค์ประกอบ ที่อยู่ในรูปเนื้อหมูเห็นกันจะจะเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่อยู่ในรูปสารเคมีที่สกัดได้จากหมู จะมองด้วยตาเปล่าอย่างไรก็มองไม่เห็น  

         ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของหมูในรูปแบบใดแบบหนึ่งเมื่อพัฒนาขึ้นมาแล้ว ย่อมแน่นอนที่ผู้คนทั้งโลกมีโอกาสได้ใช้ด้วยความไม่รู้หรืออาจจะด้วยหาหนทางเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ส่งผลให้สุดท้ายแล้วผู้ที่ปฏิเสธหมูเองต้องบริโภคหมูด้วยความจำใจ กระทั่งกลายเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคที่พบได้บ่อย เรื่องราวเช่นนี้ดูเหมือนกำลังจะได้รับการแก้ไขแล้วล่ะครับ ไม่ใช่เพราะคนที่ไม่บริโภคหมูลุกขึ้นมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะนักพัฒนาที่บริโภคหมูนั่นแหละเริ่มตระหนักถึงปัญหาและพยายามแก้ไข

             ตัวอย่างปัญหาที่ว่านี้ที่เห็นชัดเจนและเจอะเจอบ่อยที่สุดคือผลิตภัณฑ์ยา เนื่องจากเนื้อเยื่อของหมูมีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุดอีกทั้งการผลิตหมูจำนวนมากในฟาร์มใช้เวลาน้อย ต้นทุนต่ำ ความนิยมใช้เนื้อเยื่อและอวัยวะหมูเพื่อพัฒนาและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จึงมีสูง เกิดเป็นเวชภัณฑ์จำนวนมากมายที่วางขายกันกลาดเกลื่อนในตลาด เห็นกันบ่อยที่สุดคือเจลาตินจากหนังหมูที่นิยมนำมาใช้ผลิตแคปซูลยาทั้งชนิดแข็งและชนิดนิ่ม ฮอร์โมนอินสุลิน เอนไซม์รวมทั้งสารชีวเคมีสารพัดชนิดที่สกัดมาจากอวัยวะต่างๆของหมู ทั้งตับ ไต ตับอ่อน หัวใจ ม้าม ลำไส้ หนัง เนื้อ เลือด สมอง ของหมู

       การหาเนื้อเยื่อสัตว์อื่นที่ไม่ใช่หมูหรือแม้กระทั่งพืชเพื่อใช้ทดแทนหมูมีการทำกันนานแล้วแต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ เนื่องจากคุณภาพต่ำทั้งราคายังแพงมากอีกต่างหาก อย่างเช่น เจลาตินหรือคอลลาเจนจากกระดูกและเนื้อเยื่อของวัวควายหรือแพะแกะหรือแม้กระทั่งจากปลาที่พบได้มากขึ้น ปัญหาคือหาได้ยาก ราคาแพงทั้งยังมีคุณภาพสู้ผลิตภัณฑ์จากหมูไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะหมดความพยายาม เนื่องจากหากพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลอดหมูขึ้นมาได้สำเร็จด้วยคุณภาพที่ดี ราคาถูก ตลาดใหญ่มหาศาลรออยู่เบื้องหน้าแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักวิจัยจำนวนไม่น้อยหันมาสนใจพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนหมูกันมากขึ้น

          ดร.เจียน หลิว (Jian Liu) นักวิจัยด้านเคมีทางการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลน่า เมืองชาเปลฮิลล์ รัฐนอร์ทแคโรไลน่า สหรัฐอเมริกา สนใจพัฒนาสารเฮปารินซึ่งเป็นยาที่ใช้ในทางการแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อนใช้กันมากในโรงพยาบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องผ่าตัด นอกจากนี้ยังนิยมใช้เป็นยารักษาบางโรคบาง อย่างเช่น หอบหืด สารเฮปารินที่ว่านี้อาจผลิตมาจากปอดของวัวก็ได้ แต่ที่นิยมกันมากที่สุดคือเฮปารินที่สกัดจากลำไส้ของหมู

          ปัจจุบันความต้องการใช้เฮปารินมีสูง ทำให้ต้องใช้หมูถึง 700 ล้านตัวต่อปี หมูเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้มาจากประเทศจีนที่มักมีปัญหาด้านคุณภาพการผลิต เมื่อปี 2008 เฮปารินหมูจากประเทศจีนคร่าชีวิตผู้ป่วยไปกว่า 200 รายทั่วโลก ส่งผลให้แพทย์และนักวิทยาศาสตร์เริ่มเรียกร้องสารทดแทนเฮปารินมากขึ้น เคยมีผู้พัฒนาสารเฮปารินสังเคราะห์ขึ้นมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่มีปัญหาคือราคาแพงมาก 50-60 เหรียญสหรัฐต่อโดสหรือการใช้หนึ่งครั้งเมื่อเทียบกับเฮปารินจากลำไส้หมูที่มีราคาเพียง 5-35 เหรียญสหรัฐ สู้อุตส่าห์ผลิตขึ้นมาแล้วแต่ราคาแพงขนาดนั้นก็แทบไม่มีใครอยากจะใช้

         งานพัฒนาวิจัยที่ ดร.หลิวนำเสนอและตีพิมพ์ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อดัง Science ปลายปี 2011 คือการต่อยอดงานสังเคราะห์เฮปารินที่นักวิทยาศาสตร์ก่อนหน้านี้ลดขั้นตอนทางเคมีจาก 50 ขั้นตอนลงเหลือแค่ 12 ขั้นตอน เพียงแต่เป็นขั้นตอนทางเคมีล้วนๆ ดร.หลิวหันมาใช้แบคทีเรียตัดแต่งพันธุกรรมเป็นตัวทำงานตัดหมู่ซัลเฟตออกจากโมเลกุล โดยแค่กำหนดสารตั้งต้นรวมทั้งกำหนดเอนไซม์และโคแฟคเตอร์จากนั้นจึงใช้แบคทีเรียตัดแต่งพันธุกรรมเป็นตัวทำงานในขั้นตอนต่างๆ ผลคืดงานเดินหน้าไปได้เร็วกว่าการสังเคราะห์ทางเคมีมาก แถมราคายังถูกกว่ากันแยะ

       การสังเคราะห์โดยใช้แบคทีเรียที่ว่านี้เรียกกันว่าการสังเคราะห์แบบเอนไซม์และเคมีหรือ chemoenzymatic มีประสิทธิภาพในการผลิตยาได้มากถึง 40% ค่าใช้จ่ายลดลงมหาศาล สารสุดท้ายที่ผลิตขึ้นมาได้คือ Arixta ที่มีโครงสร้างคล้ายอินสุลิน ทดสอบในสัตว์ทดลอง แล้วพบว่าปลอดภัยทั้งยังแสดงคุณสมบัติของเฮปารินได้ดี แต่นักวิทยาศาสตร์ต้องทำการทดสอบต่อในมนุษย์ว่าประสิทธิภาพเป็นอย่างไร ปลอดภัยหรือเปล่า

            หากทดสอบในมนุษย์ได้ผลตามที่ต้องการแล้ว สิ่งที่ต้องพัฒนาขั้นต่อไปคือการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมให้ได้ปริมาณมากโดยยังมีคุณภาพเทียบเท่ากับเฮปารินที่ผลิตขึ้นในห้องทดลอง งานหลังนี้ท้าทายสุดๆ ดร.หลิวกล่าวยืนยันว่าเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้เป็นการเปิดประตู บานใหม่ให้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาปลอดหมู ซึ่งหากภาคอุตสาหกรรมเห็นประโยชน์รวมถึงขนาดของตลาดในอนาคตแล้วคงเข้ามาช่วยทางด้านการพัฒนาทำให้การผลิตยามีประสิทธิภาพมากขึ้น

          ดร.เจเรมี เทิร์นบูล (Jeremy Turnbull) ผู้เชี่ยวชาญด้านเฮปามินแห่งมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล สหราชอาณาจักร ให้ข้อมูลสนับสนุนว่าหากภาคอุตสาหกรรมโดดเข้ามาช่วยเต็มที่เชื่อได้ว่าการใช้เนื้อเยื่อสัตว์ในการผลิตยาสารพัดชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เนื้อเยื่อจากหมู คงถึงเวลาสิ้นสุดลงภายในเวลาแค่สิบปี ยิ่งไปกว่านั้นคือการรักษาสารพัดโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งนอกจากจะพัฒนาได้ยาใหม่ๆเข้ามาช่วยในการรักษาแล้ว ยังทำให้ยาเหล่านั้นมีราคาถูกลงอย่างมากอีกต่างหาก อันเป็นความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจอยู่แล้ว

            ปฏิกิริยาผสมผสานเอนไซม์-เคมีที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้จะกลายเป็นทางออกในการแก้ปัญหายาที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากหมูที่กลายเป็นปัญหาสำหรับสังคมที่รังเกียจหมูมาโดยตลอด หลังจากประสบความสำเร็จกับตลาดยาแล้ว สารเคมีที่พัฒนาขึ้นจะกลายเป็นทางออกให้กับ อุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นๆพร้อมกันไปด้วย โลกในอนาคตคงจะเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคหมูได้เสียที

………………………………………………………………………………………….
รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน
13 พฤศจิกายน 2554
ที่มา : http://www.halalscience.org/th/main2011/content.php?page=sub&category=85&id=980

มหัศจรรย์ ประเทศจีน !!! ล้ำโลกด้วยการผลิตเนื้อวัว(ปลอม) จากเนื้อหมูธรรมดา ได้ไง ??

มีข่าวว่า ในเมือง Hefei ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑล Anhui ทางตะวันออกของประเทศจีน ได้มีการพบ ” วางขายกันอย่างเปิดเผยในตลาด สารสกัดดังกล่าว ผลิตออกมา เพื่อช่วยในการ “ปลอมแปลง” เนื้อหมู หรือ เนื้อไก่ ให้ดูคล้าย “เนื้อวัว” (ในประเทศจีน เนื้อวัวมีราคาแพงกว่าเนื้อหมูมาก ซึ่งก็คงเป็นเช่นเดียวกับประเทศอื่นในโลก) ประชาชนในเมือง เปิดเผยว่า สารสกัดดังกล่าว นอกจากใช้ในการผลิต “เนื้อเส้น” แล้ว ยังใช้กันอย่างกว้างขวางในร้านอาหารขนาดเล็กแพทย์ให้ความเห็นว่า การนำสารสกัดและสารปรุงแต่งมาใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะมีผลต่อสุขภาพ และอาจเป็นเหตุของโรคมะเร็งได้

เมื่อเดือนเมษายน นักข่าว จึงได้ไปสังเกตุการทดลอง เพื่อแสดงให้เห็นว่า จะสามารถเปลี่ยนเนื้อหมู ให้เป็น “เนื้อวัว” ภายใน 90 นาทีได้อย่างไร

สารสกัดจากเนื้อวัวชั้นดี ซึ่งใช้เพื่อเปลี่ยนเนื้อหมูให้เป็นเนื้อวัว

สารปรุงแต่ง เพื่อกำจัดรสและกลิ่นของเนื้อหมู ถุงเล็กๆแค่นี้ สามารถใช้กับเนื้อหมูได้ถึง 50 กิโลกรัม

ภายหลังจากเติมสารสกัดจากเนื้อวัว และสารปรุงแต่งแล้ว ทำการหมักเนื้อหมู

การเปรียบเทียบหมูในสภวะปรกติ กับหมู ที่ผ่านขั้นตอนการ “ปลอมแปลง” แล้ว

ภายหลังจากการหุง แล้วนำเนื้อหมูจริง และ “เนื้อวัวปลอม” มาเทียบกัน เนื้อหมูที่มีการเติมสารปรุงแต่ง ดูคล้ายกับเนื้อวัวมาก

เนื้อหมู และ “เนื้อวัวปลอม” ถ่ายภาพร่วมกับ อุปกรณ์ในการปลอมแปลง

……………………………………………………………………………………………………….
ที่มา : สืบค้นจาก http://www.oknation.net/blog/StayFoolish/2011/04/29/entry-1  วันที่ 31 พฤษภาคม 2554