เหตุผลของการห้ามกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้เชือดให้เลือดไหลออกจากร่างกาย

มีเหตุผลสำคัญอะไรหรือไม่ที่มีการห้ามรับประทานที่ไม่ได้เชือดตามหลักชะรีอะฮฺ เช่น การฆ่าโดยการช๊อตด้วยไฟฟ้าหรือยิงด้วยปืนเป็นต้นเป็นต้น

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

อัลลอฮฺตรัสไว้มีใจความว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเองหรือเลือดที่ไหลออกหรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิด ซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน ถ้าผู้ใดได้รับความคับขัน โดยมิใช่เป็นผู้แสวงหาและมิใช่ผู้ละเมิดแล้วไซร้ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา”( อัลอันอาม 6:145)

เลือดเป็นสาเหตุของการห้ามกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ถูกเชือดตามหลักชะรีอะฮฺ ชะรีอะฮฺของเรามีเจตนาว่าสัตว์ที่ถูกเชือดจะทำให้เลือดไหลออกมาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เนื่องจากความเสียหายที่อาจเกิดจากการกินเลือดเข้าไป

มันคงดูไม่มีเหตุผลและไม่อาจยอมรับได้ ที่อิสลามได้กำหนดวิธีการเชือดตามที่กล่าวมา แล้วกลับอนุมัติให้บริโภคเลือดที่ไหลออกมาจากสัตว์ที่ถูกเชือด จากเหตุผลข้อนี้เองที่อิสลามได้กำหนดแน่ชัดมิให้บริโภคเลือดเพื่อเป็นโภชนาการของมนุษย์

“และจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย(นั่นคือสิ่งดีๆทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของ การกระทำ ความเชื่อ บุคคลและอาหาร) และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา ซึ่งสิ่งที่เลวทั้งหลาย” (อัลอะอฺรอฟ 7:157)

อัฏเฏาะบารีกล่าวไว้ในหนังสืออธิบายกุรอาน(ตัฟซีร)ของท่านว่า “คำว่า เลือดที่ไหลออก หมายถึงเลือดที่ไหลรินออกมา” นี่คือวิธีที่อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงเลือดเมื่อพระองค์ทรงแจ้งแก่บ่าวของพระองค์ว่ามันหะรอม ท่านอิกริมะฮฺกล่าวว่า ถ้าไม่ใช่เพราะอายะฮฺนี้มุสลิมคงจะทำตามแนวทางที่พวกยิวได้ปฏิบัติไว้ในการหลีกเลี่ยงเลือดที่คงเหลืออยู่ในเส้นเลือด อิมามมะวัรดีย์กล่าวเกี่ยวกับเลือดที่ไม่ได้ไหลออกมา ซึ่งกลายเป็นเกล็ดแข็งในเส้นเลือด ในตับหรือม้าม เพราะท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “ได้ถูกกำหนดหะลาลแก่เราซึ่ง สองชนิดของสัตว์ที่ตายและสองชนิดของเลือด…”

เหตุผลที่ว่าทำไมเลือดซึ่ง “ไหลออก” จึงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเรา เพราะข้อมูลซึ่งเป็นที่ทราบกันดีและเป็นที่ยอมรับกันในหมู่แพทย์และผู้ที่ทำการทดสอบทางการแพทย์และศึกษาวิจัยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กผ่านกล้องจุลทรรศน์ถือว่าเป็นเลือดมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรค ดังนั้นการทีคนหนึ่งดื่มเลือดจึงเสมือนกับการเขาดื่ม ฟาร์มเพาะเลี้ยงเพื่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ซึ่งเชื้อโรคสามารถเจริญเติบโตและแพร่ขยายได้อย่างรวดเร็ว จนอาจสร้างพิษร้าย ซึ่งส่งผลให้เชื้อโรคแพร่เข้าไปในร่างกายมนุษย์และอาจกลายเป็นโรคระบาดและเป็นอันตรายร้ายแรง

อาจมีผู้กล่าวว่าการปรุงเลือดก่อนรับประทานจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์เหล่านี้จนหมดสิ้น โดยพวกเขาหวังประโยชน์ทางโภชนาการจากเลือด คำตอบของเรานั้นถือว่าบางส่วนของสารพิษเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการต้มหรือผ่านความร้อน หรือทำให้เปลี่ยนไปในวิธีที่คล้ายคลึงกันแล้วจะกลายเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีบางอย่างที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ มันยังคงเป็นพิษแม้ว่าจะผ่านการต้มหรือผ่านความร้อน ซ้ำร้ายยังอาจทำให้เกิดอันตรายที่รุนแรงขึ้น

สำหรับประโยชน์ที่ผู้ดื่มเลือดคิดว่าจะได้รับจากการดื่มเลือดเนื่องจากเห็นว่ามีสารอาหารที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงนั้น ประโยชน์นี้ไม่มีอยู่จริงหากเราพิจารณาองค์ประกอบของเลือด เลือดเป็นสิ่งย่อยยาก ถึงขนาดว่าหากมีการกรอกเลือดลงกระเพาะมนุษย์ เขาจะอาเจียนออกมาทันที หรืออาจจะออกมากับอุจจาระของเขาโดยที่ไม่ถูกย่อยปรากฏในรูปของสารสีดำ เหตุผลที่ย่อยยากและกลายเป็นอุจจาระสีดำเพราะมีสารสีแดง(ฮีโมโกบิน)ซึ่งจะมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญ จากการที่เลือดไหลผ่านทางเดินอาหาร เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งมันจะเริ่มสลายและทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย มีการกล่าวว่าการปรุงจะช่วยทำลายส่วนประกอบของเลือดทำให้ง่ายแก่การย่อยและได้ประโยชน์คุณค่าทางโภชนาการ เราขอตอบว่า การต้มทำให้โปรตีนในเลือดเกิดการแข็งตัวและทำให้ย่อยยากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นอันตรายมากขึ้นและประโยชน์ลดลง

ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนการทดลองและการทดสอบนับเป็นร้อยๆครั้งในประเด็นเกี่ยวกับเลือด ทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าการกินเลือด ปรุงเลือดหรือต้มแล้วนำมาบริโภคเป็นการย่อยสิ่งที่เป็นพิษ จากข้อมูลทางวิทยาศาตร์ต่อไปนี้จะทำให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

1 – เลือดมีองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญสองอย่าง ได้แก่น้ำซึ่งมีอยู่ถึงร้อยละ 90 จากของเหลวซึ่งเรียกว่าพลาสมา ส่วนที่เหลือเป็นเซลล์เม็ดเลือดแดงและองค์ประกอบอื่นๆ คนที่ต้องการดื่มเลือดหรือปรุงและกินมันเพราะเขาต้องการที่จะบริโภคสิ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาจะต้องดื่มเลือดเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากโปรตีนในเลือดและธาตุเหล็กเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ควรจะเปิดโอกาสให้ตัวเองต้องเสี่ยงกับอันตรายและผลที่จะตามมา

เลือดเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่หลายคนเข้าใจ มันมีคุณค่าทางอาหารที่น้อย ดังนั้นการที่มุสลิมถูกห้ามจากการบริโภคเลือดจึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเสียโอกาสในการได้รับสารอาหารหลัก ๆ ที่เป็นประโยชน์
.
2 – อันตรายที่สำคัญอาจเป็นผลมาจากปริมาณโปรตีนในเลือดจำนวนเล็กน้อยผสมกับองค์ประกอบที่เป็นอันตรายและเป็นพิษ ซึ่งหมายความว่าการกินเข้าไปนั้นอาจเสี่ยงอย่างมากและทำให้เป็นอันตรายได้ อันตรายที่สำคัญได้แก่การที่เลือดเต็มไปด้วยแก็สพิษ ซึ่งได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ที่ไหลเวียนตามเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย

เพราะคนที่ดื่มเลือดได้นำเลือดจากสัตว์ที่ขณะนั้นมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มาก ซึ่งทำให้ร่างกายขาดอากาศหายใจ การที่ร่างกายขาดอากาศหายใจเนื่องจากการสะสมของแก็สในเลือด โดยอันตรายของมันคืออาจทำให้เสียชีวิตได้

ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนว่าการดื่มเลือดที่เต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นประจำจะนำผลร้ายสู่ร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณก๊าซนี้มีอยู่ในเลือดของสัตว์และความต้านทานของร่างกายของผู้ดื่มด้วย

ส่งที่กล่าวมาเป็นเพียงผลกระทบจากองค์ประกอบของเลือดที่คนได้ดื่มหรือรับประทานหลังจากปรุงแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีผลกระทบอื่น ๆ ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับหน้าที่ของเลือดในร่างกายของสัตว์ หน้าที่ของเลือดไม่สามารถทำงานได้ดีเว้นแต่เลือดจะอยู่ในสถานะของเหลวที่ไหลเวียนได้ หากเราเข้าใจกับผลเสียของการบริโภคเลือด นั่นน่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ประเทศต่างๆสั่งห้ามการบริโภคเลือดแม้ในประเทศที่ไม่ใช่มุสลิมก็ตาม

“พระองค์จะทรงประทานความรู้ให้แก่ผู้ที่พรองค์ทรงประสงค์และผู้ใดที่ได้รับความรู้ แน่นอนเขาก็ได้รับความความดีอันมากมายและไม่มีใครจะรำลึก นอกจากบรรดาผุ้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น” (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:269)

อัลลอฮฺทรงสอนท่านนบีมุฮัมมัดในสิ่งที่ท่านไม่รู้

“และอัลลอฮฺได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า และความเข้าใจในบทบัญญัติแห่งคัมภีร์นั้นด้วย และได้ทรงสอนเจ้าในสิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้มาก่อน และความกรุณาของอัลลอฮฺที่มีแก่เจ้านั้นใหญ่หลวงนัก” (อัล-นิสาอ์ 4:113)

พระองค์ทรงให้เกียรติกับโลกใบนี้ด้วยการมอบศาสนาที่เที่ยงแท้นี้และทรงชี้ทางมนุษย์สู่เส้นทางอันเที่ยงตรงพระองค์ตรัสว่า

“บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! แท้จริงศาสนทูตของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะแจกแจงแก่พวกเจ้า ซึ่งมากมายจากสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้จากคัมภีร์และเขาจะระงับไว้มากมายแท้จริงแสงสว่างจากอัลลอฮ์ และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว ด้วยคัมภีร์นั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแนะนำผู้ที่ปฏิบัติตามความพึงพระทัยของพระองค์ซึ่งบรรดาทางแห่งความปลอดภัยและจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดไปสู่แสงสว่างด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และจะทรงแนะนำพวกเขาสู่ทางอันเที่ยงตรง” (อัลมาอิดะฮฺ: 15-16)

…………………………………………………………….…………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.info