การถือศีลอด สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในช่วงรอมฎอน

รอมฎอนเป็นเดือนที่เก้าในปฏิทินฮิจเราะห์ เป็นเดือนที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและความดีงามที่บริสุทธิ์ ซึ่งบรรดาผู้ศรัทธาในอิสลามได้ถือศีลอดเพื่อฝึกฝนการระงับยับยั้งตนตั้งแต่ช่วง สะฮูร หรือช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนถึงช่วง อิฟฏอร หรือช่วงที่ดวงอาทิตย์ตก

การถือศีลอด คือ การงดบริโภคน้ำและอาหารตลอดช่วงเวลาที่ถือศีลอดไปพร้อม ๆ กับการรักษาความคิดให้บริสุทธิ์ การรำลึกถึงผู้เป็นเจ้า และปฏิบัติการงานต่าง ๆ

การถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเป็นการพยายามฝึกฝนเพื่อเสริมสร้างอุปนิสัยที่บริสุทธิ์งดงาม และความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยเป็นการปฏิบัติเพื่อเคารพสักการะต่ออัลลอฮฺ มุสลิมจากทั่วทุกมุมโลกต่างร่วมกันถือศีลอดในช่วงเดือนอันจำเริญนี้

ผู้ถือศีลอดนั้นมีทั้งคนที่ร่ำรวยและยากจน คนสุขภาพดีหรือคนป่วย มีทั้งวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ ทุกคนต่างก็ถือศีลอด แต่ผู้คนบางส่วนได้มองข้ามผลกระทบของการอดอาหารที่อาจจะมีต่อสุขภาพของพวกเขา

เนื่องจากรอมฎอนเป็นเดือนแบบจันทรคติจึงมีระยะเวลาที่แตกต่างกันไประหว่าง 29 ถึง 30 วัน และระยะเวลาของการถือศีลอดนั่นขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาลและสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ 9 ถึง 22 ชั่วโมง

การอดอาหารในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายที่แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะมีผลกระทบกับโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวานซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่พบได้บ่อยที่สุดที่เกิดจากการรวมกันของปัจจัยต่าง ๆ

เราจึงช่วยชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ผลกระทบจากการอดอาหารด้วยโรคเบาหวาน และข้อควรระวังในการรักษาสุขภาพในรอมฎอน

โรคเบาหวานสามารถแบ่งได้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ซึ่งรวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ต้องใช้อินซูลิน หรือชนิดที่ 2 ที่ใช้ยาผสมอินซูลิน หรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำมาก

โดยปกติแล้วผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องรับประทานอาหารทุกสามชั่วโมง และหลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน และอาหารหวาน พร้อมกับการรับประทานยาให้ตรงเวลา

แต่นี่เป็นเรื่องยากมากที่จะปฏิบัติได้ในระหว่างการถือศีลอดที่กำหนดให้ผู้ป่วยรับประทานยาแค่ในช่วงสะฮูรฺ และช่วงอิฟฏอร

ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งหากต้องอดอาหาร และควรทำภายใต้การกำกับดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

เนื่องจากการถือศีลอดอนุญาตอาหารหลักรวมทั้งยาเพียงสองมื้อในระหว่าง 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องปรับแผนการรักษาตามการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภค ซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเผาผลาญอาหาร

การอดอาหารอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ซึ่งเป็นภาวะขาดกลูโคสในกระแสเลือด ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น หรือภาวะขาดน้ำ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ได้รับการกล่าวถึงในรูปแบบใดก็ตามจำต้องงดการอดอาหารทันที

ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงอีกประเภทหนึ่งที่อาจทำให้มีอาการอาเจียน ขาดน้ำ หายใจไม่ออก และอาจมีแม้กระทั่งอาการโคม่าเกิดขึ้นได้

ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 1 ที่มีประวัติภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกำเริบจะมีความเสี่ยงสูงมากหากพวกเขาถือศีลอด

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้เช่นกัน แต่โดยทั่วไปมักพบได้น้อยกว่าและมีผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดอาการชักและหมดสติ

::ข้อควรระวังในช่วงเดือนรอมฎอน::
ในกรณีที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องการจะอดอาหาร เขาต้องทำตามคำแนะนำและปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญ และควรที่จะยุติการอดอาหารในทันทีหากมีสัญญาณเตือนใด ๆ ก็ตามปรากฏขึ้น

ถือเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องเข้ารับการตรวจประเมินสุขภาพก่อนช่วงรอมฎอนหนึ่งเดือน เพื่อปรึกษาหารือถึงรูปแบบของอาหารและยาของผู้ป่วย

นอกจากนี้ ยังควรมีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมออย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง

ถึงแม้จะมีการอดอาหารแต่พึงรำลึกว่ารอมฎอนเป็นเดือนแห่งเทศกาล ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในภูมิภาคใด ทุก ๆ เทศกาลมักจะมีอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและโคเลสเตอรอลสูงอยู่ด้วยเสมอ

ด้วยเหตุนี้จึงต้องหลีกเลี่ยงทุกสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคอาหารที่มีการแปรสภาพ และมีไขมันสูง

ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรบริโภคคาร์โบไฮเดรต และอาหารแคลอรี่สูง พร้อมกับผลไม้สดและผักสีเขียว ธัญพืช มัลติเกรนและโฮลเกรน พร้อมเพิ่มปริมาณน้ำดื่มในช่วงสะฮูร

ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนและอาหารทอดมัน เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะการขาดน้ำ

นอกเหนือจากข้อควรระวังในมื้ออาหาร การนอนหลับยังเป็นปัจจัยสำคัญอีกด้วย โดยเฉลี่ยคนหนึ่งควรได้หลับอย่างน้อยหกชั่วโมงทุกวัน แนะนำให้มีการนอนหลับอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงหลังจากช่วงเวลาสะฮูร

ในขณะที่ผู้คนบางส่วนเลือกที่จะมองข้ามภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพของตนเพื่อที่จะถือศีลอด โปรดอย่าลืมว่าแนวคิดของการถือศีลอดจะไม่สร้างความยากลำบากเกินความจำเป็นสำหรับปัจเจกชนมุสลิมทั่วไป ฉะนั้นแทบจะไม่ต้องกล่าวถึงผู้คนที่ทุกข์ทรมานจากภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ และโรคต่าง ๆ รวมถึงผู้ที่ชีวิตถูกคุกคามด้วยโรคเบาหวาน 

อัลกุรอานได้ยกเว้นผู้ป่วยจากการถือศีลอดเป็นการเฉพาะหากการถือศีลอดสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายสำหรับบุคคลนั้น ๆ ได้

โรคเบาหวานเป็นความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญอาหารเรื้อรังทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ หากว่าการอดอาหารได้รับพิจารณาว่ามีความแตกต่างของปริมาณอาหารและของเหลวรวมทั้งรูปแบบและช่วงเวลาการรับประทานที่เปลี่ยนไป

ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติภาพและความจำเริญจงมีแด่ท่าน) กล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงรักที่จะทำให้การอนุมัติของพระองค์นั้นได้รับการปฏิบัติ ดังที่พระองค์ทรงรักที่จะทำให้เจตนารมณ์ของพระองค์ได้รับการสนองตอบ” ดังนั้นการได้รับการยกเว้นนั้นจึงเป็นมากกว่าการอนุโลมทั่ว ๆ ไปที่จะไม่ต้องอดอาหาร

สุขภาพจิตที่สดใสย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแรงเพื่อที่จะได้ใช้มันในการเคารพสักการะและอุทิศตนปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนรอมฎอนที่ผู้เป็นเจ้าทรงประทานมาให้กับพวกเรา

……………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net by Raisa Ladji

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *