ในช่วงต้นของการประทานอัลกุรอาน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป บรรดาสหายของท่านนบีหลายท่านต่างก็ดื่มกันเป็นปกติ ก่อนที่คำสั่งห้ามจะได้รับการบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ซึ่งคำสั่งห้ามนั้นได้ถูกประทานลงมาเป็น 3 ขั้นตอน โดยในขั้นตอนแรก อัลกุรอานได้รับการประทานลงมาความว่า:
พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับ เคาะมัร (น้ำเมา) และการพนัน จงกล่าวเถิดว่า “ในมันทั้งสองนั้นมีโทษอันยิ่งใหญ่และมีประโยชน์[อยู่บ้าง]สำหรับมวลมนุษย์ แต่โทษของมันทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่กว่าประโยชน์ของมันมากนัก” และพวกเขาจะถามเจ้าอีกว่า อะไรที่พวกเขาจะใช้จ่าย [ในหนทางของอัลลอฮฺ] จงกล่าวเถิดว่า “สิ่งที่เหลือจากการใช้จ่าย” ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮฺได้ทำให้เป็นที่ชัดแจ้งซึ่งบรรดาสัญญาณแก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญ” สูเราะฮฺที่ 2 อายะฮฺที่ 219
จากอายะฮฺนี้ มุสลิมได้รับการแจ้งให้ทราบว่าการดื่ม เคาะมัร (สิ่งมึนเมา) นั้นมีโทษบาปอันยิ่งใหญ่ อัลกุรอานยังกล่าวถึงคุณประโยชน์ของแอลกอฮอล์ที่มีอยู่บ้าง ถึงกระนั้นอัลกุรอานก็ได้แจ้งให้เห็นถึงโทษของสิ่งมึนเมาซึ่งมีมากกว่าคุณประโยชน์ การประทานลงมาครั้งถัดไปของอัลกุรอานในประเด็นว่าด้วยแอลกอฮอล์มีความว่า:
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้การละหมาด ขณะที่พวกเจ้ากำลังมึนเมาอยู่ จนกว่าพวกเจ้าจะรู้ในสิ่งที่พวกเจ้าพูด และจงอย่าเข้าใกล้การละหมาด ขณะที่พวกเจ้ามีญะนาบะฮฺ นอกจากผู้ที่ผ่านทางไปเท่านั้น จนกว่าพวกเจ้าจะอาบน้ำ และหากพวกเจ้าป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง หรือคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้ามาจากที่ถ่ายทุกข์ หรือพวกเจ้าสัมผัสผู้หญิง แล้วพวกเจ้าไม่พบน้ำ ก็จงมุ่งสู่ดินที่ดี แล้วจงลูบใบหน้าของพวกเจ้าและมือของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงยกโทษให้และอภัยให้เสมอ” สูเราะฮฺที่ 4 อายะฮฺที่ 43
จากการประทานอัลกุรอานอายะฮฺนี้ มุสลิมได้รับคำสั่งไม่ให้ทำการละหมาดในขณะที่พวกเขายังอยู่ภายใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์ ซึ่งในสภาวะอย่างนี้จะเป็นอุปสรรคไม่ให้พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่อ่านหรือได้ยินในละหมาด เนื่องจากการละหมาดนั้นถูกบัญญัติให้มุสลิมปฏิบัติ 5 ครั้งต่อวัน ในเวลาที่กำหนดไว้ จึงอาจสรุปได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครที่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วยังสามารถทำการละหมาดได้ครบ 5 ครั้งภายใต้เวลาที่กำหนด ในสภาพที่มีสติไม่มึนเมา ถึงกระนั้นอัลกุรอานในอายะฮฺนี้ก็ยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าแอลกอฮอล์นั้นเป็นที่ต้องห้าม จึงทำให้สหายของท่านนบีบางท่านยังคงดื่มกันอยู่ จนกระทั่งสุดท้ายได้มีคำสั่งห้ามออกมาอย่างชัดเจนในเรื่องของสิ่งมึนเมาและการกระทำอีกหลายอย่างที่เป็นที่ต้องห้าม ความว่า:
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! แท้จริงเคาะมัร (น้ำเมา) และการพนัน และการบูชายัญ และการเสี่ยงติ้ว เป็นสิ่งโสมมจากการกระทำของชัยฏอน (มารร้าย) ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสีย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ” สูเราะฮฺที่ 5 อายะฮฺที่ 90
.
“แท้จริงชัยฏอนปรารถนาที่จะสร้างให้มีขึ้นมาระหว่างพวกเจ้าซึ่งความเป็นศัตรูและความเกลียดชัง โดยอาศัยเคาะมัร (น้ำเมา) และการพนัน และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺและจากการละหมาด แล้วพวกเจ้าจะยุติ[การกระทำอันเลวร้ายดังกล่าว]ไหม?” สูเราะฮฺที่ 5 อายะฮฺที่ 91
“และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และพวกเจ้าจงเชื่อฟังเราะสูล และพวกเจ้าจงพึงระวัง [อย่าล่วงละเมิดใน บทบัญญัติแห่งพระองค์] ดังนั้นถ้าหากพวกเจ้าผินหลัง [จากการภักดีต่อพระองค์] พวกเจ้าทั้งหลายก็จงทราบเถิดว่า หน้าที่ขอเราะสูลของเราคือการเผยแผ่สารอันชัดแจ้งเท่านั้น” สูเราะฮฺที่ 5 อายะฮฺที่ 92
นี่คือสาสน์สุดท้ายที่กล่าวถึงแอลกอฮอล์ในฐานะ เคาะมัร (สิ่งที่ทำให้มึนเมา) ว่าเป็นสิ่งที่ต้องหลีกห่างไม่มีความคลุมเครือหรือข้อสงสัยใด ๆ สำหรับสิ่งนี้ การบริโภคแอลกอฮอล์ทุกชนิดนั้นถือว่าเป็นที่ต้องห้ามโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับการบริโภค ไม่ว่าแอลกอฮอล์เหล่านั้นจะมีแหล่งกำเนิดมาจาก องุ่น อินทผลัม และลูกเกด ก็ตาม ถือว่าเครื่องดื่มนั้นมี นะญิส หรือ สิ่งสกปรก เช่นเดียวกัน การใช้แอลกอฮอล์จากแหล่งที่มาเหล่านี้ไม่ได้รับการอนุมัติ แม้จะไม่ได้นำแอลกอฮอล์เหล่านี้ไปใช้ในกระบวนการปรุงอาหารก็ตาม เช่น ในเครื่องสำอาง น้ำหอม หรือผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว ดังนั้น แอลกอฮอล์โดยส่วนใหญ่แล้วถือว่าเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) ทั้งในอาหาร และถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด (นะญิส) สำหรับการนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในกรณีที่แอลกอฮอล์เหล่านี้มาจากแหล่งดั้งเดิม เช่น ในองุ่นและอินทผลัม เป็นต้น หากว่าแอลกอฮอล์นั้นทำมาจากแหล่งที่มาที่ฮาลาล ก็สามารถแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ที่ฮาลาลได้เช่นกัน ในทางกลับกัน เนื้อสุกรที่แหล่งที่มาของมันมาจากสุกร ถือว่าเป็นแหล่งที่มาที่ต้องห้าม (หะรอม) ดังนั้นผลิตภัณฑ์และส่วนประกอบใด ๆ ที่มาจากเนื้อสุกรจึงนับว่าเป็นสิ่งที่หะรอมเช่นเดียวกัน
………………………………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี
แปลและเรียบเรียงจากหนังสือ Halal food production
โดย Mian N. Riaz, Muhammad M. Chaudry