:: [คำถาม] ::
อัสลามุอาลัยกุม นักวิชาการที่เคารพทุกท่าน สหภาพยุโรปเพิ่งตัดสินใจที่จะอนุมัติการใช้โปรตีนจากสัตว์และสุกรที่ผลิตขึ้นใหม่ในอาหารปลา นี่เป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ทั่วยุโรป ชาวมุสลิมจำนวนมากในยุโรปเลือกที่จะทานปลาเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปและหลีกเลี่ยงความคลุมเครือของสุกรที่อาจอยู่ในผลิตภัณฑ์ตามร้านอาหารหรือตามตลาด คำถามคือ: อนุญาตให้มุสลิมทานปลาที่ผ่านการเลี้ยงดูด้วยอาหารที่มีส่วนประกอบจากสุกรหรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ไม่อนุมัติได้หรือไม่? นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อยมุสลิมในประเทศเหล่านี้จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง? ขอขอบคุณ
:: [คำตอบ] ::
ขอความสันติ ความเมตตา และความจำเริญจากผู้เป็นเจ้าจงประสบแด่ท่าน ด้วยพระนามของผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงไพศาลในความเมตตา ผู้ทรงถ้วนทั่วในความกรุณา มวลการสรรเสริญทั้งหมดเป็นสิทธิแห่งผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ความจำเริญและความศานติจงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของเรา รวมถึงวงศ์วานของท่านและเหล่าสาวกของท่านทั้งมวล
ขอขอบคุณสำหรับคำถามและความห่วงใยในกิจการของชุมชนมุสลิม
ปัญหาการบริโภคปลาที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เกิดความท้าทายต่อชุมชนมุสลิมและชุมชนผู้ศรัทธาในความเชื่ออื่น ๆ ในยุโรป ชุมชนผู้ศรัทธาทุกท่านควรร่วมมือกันเพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน
เพื่อตอบคำถามของท่าน ชัยคฺ อะหฺมัด คุตตี อาจารย์อาวุโสและนักวิชาการอิสลามประจำสถาบันอิสลามแห่งโตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้กล่าวว่า
นี่เป็นปัญหาร้ายแรง เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อชาวมุสลิมทุกคน โดยเฉพาะผู้มีอำนาจหรือมีส่วนรับผิดชอบควรต้องหามาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหานี้ การแก้ปัญหาขั้นสุดท้ายนั้นยังคงเป็นไปได้ เมื่อเรากลับมามองยังชะรีอะฮฺ ซึ่งจริยศาตร์ หรือจริยธรรมในการเลี้ยงดูสัตว์และสิ่งแวดล้อมนั้นจะไม่สามารถแยกออกจากชะรีอะฮฺได้
เนื่องจากทั้งปลาและสัตว์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อบริโภคอาหารที่ใช้ส่วนประกอบ (ที่หะรอม) เช่นนี้ การกระทำแบบนี้จึงเหมือนเป็นการแทรกแซงกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่อัลลอฮฺได้กำหนดไว้ นี่คือโครงการเลี้ยงสัตว์แบบชัยฏอน ผู้ที่สาบานกับผู้เป็นเจ้าว่าเขาจะล่อลวงให้มนุษย์บิดเบือนและทำให้การสรรค์สร้างของผู้เป็นเจ้าต้องเสียหาย
ดังนั้น ชาวมุสลิมที่เลี้ยงปลาหรือสัตว์อื่น ๆ จึงไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ด้วยส่วนประกอบจากไขมันสุกรหรือชิ้นส่วนจากสัตว์เป็นอาหาร ดังที่อิหม่ามชาฮฺ วะลิยุลลอฮฺ ได้ชี้ให้เห็นว่าสัตว์เหล่านี้ถูกกำหนดด้วยแบบแผนการดำเนินชีวิตของตัวเอง การใช้ส่วนประกอบที่หะรอมเหล่านี้เป็นอาหารแก่มันจึงเป็นเรื่องที่ฝืนกฎธรรมชาติ
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในฐานะมุสลิม ผู้ที่มีโลกทัศน์แบบอัลกุรอานในการมองชีวิตและธรรมชาติที่จะพิจารณาการเลี้ยงสัตว์และปลาเพื่อใช้บริโภคเอง หรือหาทางเลือกด้วยการนำเข้าจากประเทศที่ไม่ใช้มาตรการดังกล่าว
นี่เป็นจุดที่ประเทศมุสลิมจำเป็นต้องให้ความสนใจเช่นกัน ด้วยการเลี้ยงสัตว์และปลาแบบเกษตรอินทรีย์โดยไม่ทำให้เกิดความผิดปกติที่ฝ่าฝืนระเบียบทางธรรมชาติเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนทั้งโลกได้ นี่เป็นความท้าทายที่เราจะต้องสนใจหากเราให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณและจริยธรรมแห่งชะรีอะฮฺ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเกรงว่าเราส่วนใหญ่มักเพ่งจุดสนใจไปยังกฎหมายมากกว่าจริยธรรม ซึ่งแท้จริงแล้วจริยธรรมนั้นเป็นสารัตถะสำคัญของชะรีอะฮฺ
หลังจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเสริมต่อว่า หากเราไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ แล้ว ก็จะไม่ถือว่าหะรอมตามหลักฟิกฮฺที่จะบริโภคปลาหรือสัตว์เหล่านี้ แม้ว่าอาหารเหล่านี้จะถือว่าหะรอมสำหรับมุสลิมในการบริโภค แต่เมื่ออาหารเหล่านั้นถูกจ่ายให้สัตว์และปลาบริโภคไปแล้ว อาหารเหล่านั้นก็จะถูกเปลี่ยนสภาพทางเคมี ตามที่นักนิติศาสตร์อิสลามได้ให้ความเห็นไว้บนพื้นฐานของหลักการอิสติฮาละฮฺหรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี สัตว์หรือปลาเหล่านั้นก็จะไม่ถือว่าหะรอม
ดร.ฮาติม อัล ฮัจญฺ คณบดีแห่งสถาบันการศึกษาชะรีอะฮฺอะเคเดมีแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวเสริมว่า
จากคำถามแรก กฎเกณฑ์ในชะรีอะฮฺที่มีหลักการห้ามบริโภคญัลลาละฮฺ (สัตว์ที่กินสิ่งสกปรกเป็นอาหาร) ก็จำเป็นต้องถูกยกเพื่อมาทำความเข้าใจ
คำตอบสำหรับคำถามนี้จึงต้องระมัดระวังกับประเด็นต่าง ๆ ที่จะกล่าวถึงดังต่อไปนี้:
1. ความหมายของคำว่า “ญัลลาละฮฺ” (สัตว์ที่กินสิ่งสกปรก)
2. ข้อตัดสินว่าด้วยการบริโภค “ญัลลาละฮฺ”
3. ข้อตัดสินที่เกี่ยวข้องกับกฎการเปลี่ยนสภาพ (อิสติฮาละฮฺ) ของสารสกปรกเป็นสิ่งใหม่
4. ฟัตวา (การวินิจฉัยคำตอบต่อปัญหา) ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้เฉพาะ โดยคำนึงถึงบริบทและปัจจัยภายนอกทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
1. ความหมายของคำว่า “ญัลลาละฮฺ” (สัตว์ที่กินสิ่งสกปรก)
แน่นอนโดยทั่วไปแล้วมันหมายถึงปศุสัตว์ เช่น วัวและแกะที่กินนะญิส (สิ่งสกปรกที่กำหนดโดยชะรีอะฮฺ) มีการถกเถียงกันว่ากฎเกณฑ์เรื่องญัลลาละฮฺจำเป็นต้องถูกนำมาใช้กับกรณีของไก่ด้วยหรือไม่ อิบนุ ฮัซมฺ แย้งว่าไม่ได้ เพราะไก่เป็นที่ทราบกันว่ามีการกินสิ่งปฏิกูลและมันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นที่ต้องห้ามนักวิชาการส่วนใหญ่มีทรรศนะว่าการพิจารณากฎเกณฑ์ญัลลาละฮฺทั่วไปนั้นใช้ได้กับเนื้อสัตว์ทุกชนิดที่เราใช้บริโภค ดังที่อิบนุ หะญัร กล่าวไว้ในตัฟสีร ฟุตฮุล บารียฺ
อีกประเด็นที่จำเป็นต้องกล่าวถึงคือ คำว่าญัลลาละฮฺจะถูกใช้กับสัตว์ที่กินอาหารส่วนใหญ่เป็นนะญีส (สิ่งสกปรกหรือสิ่งไม่บริสุทธิ์) ดังที่อิบนุ กุดามะฮฺ รายงานไว้ในหนังสือ อัล มุฆนียฺ ตามสำนักนิติศาสตร์ฮันบาลียฺ และยังเป็นทรรศนะที่ตรงกับสำนักนิติศาสตร์หะนาฟียฺ ขณะที่นักวิชาการบางท่าน เช่น อิหม่ามอัน นะวาวียฺ ก็ให้ความเห็นว่าสัตว์นั้นจะเป็นญัลลาละฮฺก็ต่อเมื่อกลิ่นของสัตว์นั้นเปลี่ยนไป ซึ่งทรรศนะนี้เป็นทรรศนะที่ถือโดยนักวิชาการส่วนใหญ่
2. ข้อตัดสินว่าด้วยการบริโภค “ญัลลาละฮฺ”
ทรรศนะส่วนใหญ่นั้นถือว่าการบริโภคญัลลาละฮฺเป็นมักรูฮฺ (พึงรังเกียจและส่งเสริมให้หลีกเลี่ยง) แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นหะรอม (บัญญัติห้ามชัดเจน) ทรรศนะนี้ถือโดยสำนักนิติศาสตร์หะนาฟียฺ สำนักนิติศาสตร์ชาฟิอียฺส่วนใหญ่ และสำนักนิติศาสตร์ฮันบาลียฺบางท่าน ขณะที่สำนักนิติศาสตร์มาลิกียฺนั้นไม่ถือทรรศนะนี้ แต่กระนั้นนักนิติศาสตร์สำนักชาฟิอียฺและฮันบาลียฺบางท่านก็ให้ความเห็นว่าการบริโภคญัลลาละฮฺนั้นหะรอม
หลักฐานของนักนิติศาสตร์ที่อ้างสถานะหะรอมนั้นมาจากการบันทึกสายรายงานหะดีษของอิหม่ามอะหฺมัดและอาบู ดาวุด ที่รายงานจากท่านอิบนุ อุมัร ว่าท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติและความจำเริญจงประสบแด่ท่าน) ห้ามมิให้บริโภคญัลลาละฮฺและดื่มนมของมัน ซึ่งมีรายงานอื่น ๆ จากศอฮาบะฮฺของท่านต่อเรื่องนี้เช่นกัน
แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้สัตว์เหล่านั้น (ญัลลาละฮฺ) เป็นที่อนุญาตแก่การบริโภค?
ตามที่ศอฮาบะฮฺได้กล่าวไว้คือต้องให้สัตว์กินอาหารที่บริสุทธิ์ (ไม่นะญีส) เป็นเวลาสามวันติดต่อกันถึงจะยกเลิกข้อห้ามได้
3. ข้อตัดสินที่เกี่ยวข้องกับกฎการเปลี่ยนสภาพ (อิสติฮาละฮฺ)
นักวิชาการหลายท่านมีความเห็นว่าการเปลี่ยนสภาพของสารที่นะญีสนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของข้อตัดสินด้วยเช่นกัน นี่คือทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ส่วนในมุมมองของข้าพเจ้า การเปลี่ยนสภาพจะต้องสมบูรณ์และต้องมั่นใจว่าสิ่งสกปรกที่เป็นอันตรายต้องถูกกำจัดให้หมดสิ้นไป หากมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตรายใด ๆ ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติและความจำเริญจงประสบแด่ท่าน) กล่าวว่า “จะต้องไม่เสียหายและไม่สร้างความอันตรายใด ๆ” (มาลิกและอิบนุ มะญาฮฺ จากอบู สะอีด อัลคุดรียฺ)
ข้อมูลจากเว็บไซต์คลีนิกมาโย (Mayo Clinic) อธิบายถึงความเป็นไปได้มากที่สุดของการเกิดโรควัวบ้าหรือ BSE นั้นมาจากวัวที่ได้รับโรคมาจากการกินอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อป่นและกระดูกป่นของสัตว์เคี้ยวเอื้องที่ติดเชื้อ นั่นเป็นเหตุผลที่รัฐบาลของประเทศส่วนใหญ่ประกาศห้ามการใช้โปรตีนหรือเนื้อเยื่อจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นอาหารวัวและสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิดอื่น
ข้าพเจ้าไม่สามารถให้คำตอบในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตอย่างละเอียดได้ว่า การเปลี่ยนสภาพของอาหารสัตว์แบบนี้ที่ให้กับปลานั้นสมบูรณ์หรือไม่? และผลิตภัณฑ์สำเร็จขั้นสุดท้ายจะปลอดภัยหรือไม่?
4. ฟัตวา (การวินิจฉัยคำตอบต่อปัญหา) ที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับประเด็นนี้
ฟัตวาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเฉพาะนี้ เมื่อคำนึงถึงบริบทและปัจจัยภายนอกทั้งหมด เรามีทรรศนะที่แตกต่างกันดังนี้
ทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ได้วินิจฉัยว่ามันเป็นข้อห้ามชัดเจน แต่มันมีสถานะมักรูฮ (พึงรังเกียจ) หากเราคำนึงถึงสถานการณ์เฉพาะที่ชี้ให้เห็นถึงความยากลำบากที่อาจเกิดขึ้นกับชาวมุสลิมหลายล้านคน ในกรณีที่มีฟัตวากำหนดให้การบริโภคปลาในตลาดหลักทั้งหมดนั้นหะรอม ข้าพเจ้าก็ขอละเว้นจากฟัตวานั้น และเชื่อว่าชาวมุสลิมอาจบริโภคปลาในสถานการณ์แบบนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าขอส่งเสริมให้ชุมชนมุสลิมสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารทางเลือก นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังสนับสนุนให้พวกเขาปรึกษาหารือกับนักกฎหมายเพื่อหาทางออกร่วมกันถึงข้อกฎหมายในประเทศยุโรปที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ต่อการเป็นอยู่ที่ดี และที่ขัดแย้งกับหลักความเชื่อในวิถีการดำเนินชีวิตของชนส่วนน้อยในประเทศ
แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง