“การอนุญาตในสิ่งที่ต้องห้ามเมื่อมีความจำเป็น”

:: [คำถาม] ::
ฉันรู้ว่าสิ่งต่างๆที่หะรอมนั้นบางกรณีกลายเป็นสิ่งฮาลาลหากมีความจำเป็น มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ทำให้กฎเกณฑ์นี้สามารถนำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง?

:: [คำตอบ] ::
โดยหลักการพื้นฐานของหลักนิติธรรมอิสลาม นักนิติศาสรต์อิสลามมีความเห็นตรงกันว่ากรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดจะทำให้สิ่งต้องห้ามกลายเป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาต

มีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนหลักการนี้ ทั้งในอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ (วิถีปฏิบัติของท่านนบี) เช่น อายะฮฺที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า

“ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ ที่มัน (ขณะเชือด) และสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และสัตว์ที่ถูกตีตาย และสัตว์ที่ตกเหวตาย และสัตว์ที่ถูกขวิดตาย และสัตว์ที่สัตว์ร้ายกัดกิน นอกจากที่พวกเจ้าเชือดกัน และสัตว์ที่ถูกเชือดบนแท่นหินบูชา และการที่พวกเจ้าเสี่ยงทายด้วยไม้ติ้ว เหล่านั้นเป็นการละเมิด วันนี้ บรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธา หมดหวังในศาสนาของพวกเจ้าแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว ผู้ใดได้รับความคับขันในความหิวโหย โดยมิใช่เป็นผู้จงใจกระทำบาปแล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ” สูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 3

และอีกอายะฮฺที่พระองค์ทรงตรัสว่า 

“และมีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? ที่พวกเข้าไม่บริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสิ่ง ที่พระองค์ได้ทรงห้ามแก่พวกเจ้า นอกจากสิ่งที่พวกเจ้าได้รับความคับขันให้ต้องการ มันเท่านั้น” สูเราะฮฺ อัล-อันอาม อายะฮฺที่ 119

ตัวอย่างของหลักการนี้มีดังต่อไปนี้
1. การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วสำหรับคนที่ไม่สามารถพบหาสิ่งใดได้แล้ว และกลัวว่าเขาจะตายจากความหิวโหย
2. กล่าวคำพูดที่ทำให้ตกอยู่ในสภาพ “กุฟรฺ” เมื่อต้องอยู่ภายใต้การทรมาณและการบีบบังคับ 
3. การป้องกันจากผู้รุกรานแม้ว่าจะทำไปสู่การสังหารเขาก็ตาม

ความจำเป็นหมายถึงกรณีที่คนหนึ่งจะได้รับอันตรายถ้าเขาไม่เลือกทำสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ซึ่งเป็นอันตรายที่จะมีผลกระทบกับสารัตถะสำคัญ 5 ประการต่อไปนี้ ศาสนา ชีวิต เกียรติ สติปัญญาและทรัพย์สิน

สำหรับเงื่อนไขที่จะทำให้สิ่งหะรอมจะกลายเป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตในกรณีที่มีความจำเป็นนั้น ชัยคฺ มุฮัมมั ศอลิหฺ อิบนุ อุษัยมีน รหิมาฮุลลอฮฺ กล่าวถึงเงื่อนไขสองประการสำหรับกรณีนี้และเชคอธิบายอย่างละเอียดพร้อมทั้งตัวอย่างด้วย เช่นเดียวกับที่เราจะยกข้อคัดค้านของพวกเขาและข้อหักล้างของเรา ฉะนั้นเราจะวางขอบเขตด้วยการอ้างอิงคำพูดของเชค ขออัลลอฮฺทรงเมตตาแก่ท่านด้วยเถิด

หลักการนี้คือหลักการที่เป็นรากฐานทางนิติศาสตร์อิสลามอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงหลักนิติธรรมของอิสลาม ทุกสิ่งที่ถูกห้ามจะได้รับอนุมัติในกรณีที่มีความจำเป็น

ดังนั้น สิ่งที่ถูกห้ามจะกลายเป็นสิ่งที่อนุมัติในกรณีที่มีความจำเป็นแต่มีเงื่อนไขสองประการ ดังนี้

เงื่อนไขประการแรก เราจำต้องถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ต้องห้ามนี้เป็นการเฉพาะ นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถหาอะไรที่จะตอบสนองความจำเป็นนั้นได้นอกจากสิ่งที่ต้องห้าม แต่หากว่าเราสามารถหาบางสิ่งทดแทนได้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นที่อนุญาตโดยเด็ดขาด แม้ว่ามันจะสามารถตอบสนองความจำเป็นของเราได้ก็ตาม

เงื่อนไขประการที่สอง ความจำเป็นนี้ (เฎาะรูเราะฮฺ) จะต้องได้รับการตอบสนองจากสิ่งที่หะรอมดังกล่าวเท่านั้น ถ้ามันมิได้อยู่ในกรณีของความจำเป็น มันจะยังคงเป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าเราไม่แน่ใจว่ามันมีความจำเป็นหรือไม่ ฉะนั้นมันจะยังเป็นสิ่งต้องห้ามอยู่ดี นั่นเป็นเพราะการทำสิ่งที่หะรอมคือความผิดอย่างแน่นอนและการตอบสนองความจำเป็นในสิ่งที่มีความเคลือบแคลงสงสัย ดังนั้นเราจะต้องไม่ทำการฝ่าฝืน ด้วยการทำในสิ่งที่ต้องห้ามอย่างชัดเจนสำหรับบางสิ่งที่มีความเคลือบแคลงสงสัย
.
ดังนั้นกฎเกณฑ์มีความแตกต่างกันเกี่ยวกับคนที่หิวโหยที่ไม่สามารถพบเจอสิ่งใดอีกแล้วนอกจากสัตว์ที่ตาย ในกรณีนี้เราสามารถกล่าวได้ว่า “จงกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วเถิด” ถ้าเขากล่าวว่านี่คือการทำในสิ่งที่หะรอม เรากล่าวว่า มันกลายเป็นที่อนุมัติเนื่องจากความจำเป็น เพราะท่านไม่มีอะไรกินนอกเหนือจากสิ่งนี้และเนื่องจากท่านมีความจำเป็นที่จะรับประทานมัน

มีคนกล่าวกับชายคนหนึ่งว่า หากท่านดื่มแอลกฮอล์ท่านจะหายป่วย ในกรณีนี้เราสามารถกล่าวได้ว่า มันไม่เป็นที่อนุญาตให้ท่านดื่มแอลกอฮอล์แม้ว่าจะมีคนบอกท่านว่ามันจะช่วยรักษาความป่วยไข้ของท่าน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ประการแรก เนื่องจากว่าไม่มีความชัดเจนว่าเขาจะหายด้วยแอลกอฮอล์ เขาอาจดื่มมันแต่มันก็ไม่ได้ทำให้หายจากการป่วยไข้ เราเห็นคนที่ป่วยจำนวนมากใช้ยาดี ๆ โดยที่พวกเขาไม่ได้รับประโยชน์จากยานั้นแต่อย่างใด

ประโยชน์ประการที่สอง คนที่ป่วยไข้อาจฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยโดยที่ไม่ได้รับการรักษาใด ๆ ด้วยการไว้วางใจในอัลลอฮฺและการขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺผ่านการดุอาอ์ (วิงวอน) ต่อพระองค์เป็นต้น นี่คือมุมมองของเหตุผล

จากมุมมองของหลักฐาน มีรายงานในหะดีษจากท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “อัลลอฮฺไม่ทรงให้การรักษาแก่พวกท่านในสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามแก่พวกท่าน” เหตุผลเบื้องหลังหะดีษนี้มีความชัดเจน เนื่องจากอัลลอฮ์ทรงห้ามมันอันเนื่องจากมันเป็นอันตรายกับเรา ดังนั้นสิ่งต้องห้ามจะสามารถรักษาและเยียวยาได้อย่างไร?

ดังนั้น มันเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) ที่จะใช้สิ่งหะรอมในการรักษา ดังที่นักวิชาการได้กล่าวไว้ และมันไม่สามารถกล่าวได้ว่านี่คือกรณีที่มีความจำเป็นตามที่มีบางคนคิด

ถ้าบางคนกล่าวว่ามีคนกำลังสำลักและไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากไวน์แก้วหนึ่ง ดังนั้น อนุญาตให้เขาดื่มไวน์แก้วนี้เพื่อที่ทำให้การอาการสำลักของเขาหยุดได้หรือไม่?

คำตอบคือ ใช่ เนื่องจากเงื่อนไขสองประการนั้นตอบสนองในกรณีนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้และเรามั่นใจว่าความจำเป็นจะตอบสนองมัน ดังนั้น เรากล่าวว่า จงดื่มไวน์เถิด แต่เมื่ออาการสำลักหยุด เขาจะต้องหยุดดื่มทันที

ถ้าบางคนกล่าวว่ามีคนหนึ่งพบเจอเนื้อที่ถูกเชือดในวิธีการที่ฮาลาลและพบเจอเนื้อที่มาจากสัตว์ที่ตายตามธรรมชาติ เขาสามารถทานเนื้อสัตว์ที่ตายเองเนื่องจากเขาถูกบังคับให้กระทำโดยความจำเป็นได้หรือไม่?

คำตอบคือว่าเขาไม่สามารถกระทำได้ เนื่องความจำเป็นได้รับการตอบสนองจากสิ่งฮาลาล ดังนั้น มันไม่เป็นที่อนุญาตเนื่องจากเงื่อนไขประการแรกนั่นไม่ถูกตอบสนองบนความจำเป็น

ถ้ามีคนกล่าวว่า ฉันกระหายน้ำและฉันไม่มีอะไรเลยนอกจากไวน์หนึ่งแก้ว ฉันสามารถดื่มมันได้หรือไม่?

คำตอบชัดเจนว่าไม่อย่างแน่นอน ดังที่ผู้รู้กล่าวว่า เพราะกรณีนี้ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น มันจะยิ่งทำให้เขามีความกระหายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นไม่มีประโยชน์ในการฝ่าฝืนและกระทำสิ่งที่หะรอม เนื่องจากความจำเป็นหรือความหิวไม่ได้ถูกจำกัดออกไป และไม่ได้ตอบสนองในเงื่อนไขประการที่สอง

ถ้ามีคนกล่าวว่า ถ้าคนป่วยไม่มีทางเลือกนอกจากจะดื่มเลือดเพื่อการรักษาเยียวยา มันอนุญาตให้เขากระทำเช่นนั้นหรือไม่? คำตอบคือไม่อนุญาตให้เขากระทำเช่นนั้นเนื่องจากไม่ได้ตอบสนองในเงื่อนไขประการที่สอง

…………………………………………………………………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
จากหนังสือ ชัรหฺ มันซูมะฮฺ อุศูล อัล-ฟิกฮฺ วะ เกาะวาอิดิฮี หน้า 59-61