ซะกาตุลฟิฏรฺ บางครั้งเรียกว่า ศอดาเกาะตุลฟิฏรฺ ทั้งสองคำนี้หมายถึง “กุศลทานเพื่อการละศีลอด” เนื่องจากเป็นการจ่ายในช่วงท้ายของเดือนรอมฎอนเมื่อฤดูกาลแห่งการถือศีลอดกำลังจะสิ้นสุดลง
ชื่อ “ซะกาตุลฟิฏรฺ” อาจหมายถึง ฟิฏเราะห์ หรือวิถีทางตามธรรมชาติ ดังที่กล่าวไว้ในโองการที่ว่า
“(โดยเป็น) ธรรมชาติของอัลลอฮฺซึ่งพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา” (30:30)
ซะกาตนี้ไม่ใช่การจ่ายภาษีตามความมั่งคั่งของบุคคล เป็นการจ่ายให้ในนามของแต่ละบุคคลคล้าย ๆ กับภาษีรายหัว แน่นอนว่าบางครั้งถูกเรียกว่า ซะกาตุลรอ (เช่น “ภาษีรายหัว”) หรือ ซะกาตุลบะดาน (“ภาษีรายตัว”)
|| วิทยปัญญาเบื้องหลังซะกาตุลฟิฏรฺ ||
ซะกาตนี้เป็นการชำระในส่วนที่ผู้ถือศีลอดบกพร่องในการถือศีลอดของเขาหรือเธอในเดือนรอมฎอน ไม่มีบุคคลใดสามารถถือศีลอดได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน เราทุกคนต่างพูดหรือทำในสิ่งที่เราไม่ควรทำ เราอาจพูดถึงคนอื่นในระหว่างเดือนนี้ หรือเราอาจมองดูบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ควรดู
ซะกาตนี้ช่วยให้คนยากจนได้ร่วมรื่นเริงในวันอีดพร้อมกับคนอื่น ๆ นี่คือเหตุผลที่ต้องจ่ายภายในเช้าของวันอีดหรือคืนก่อนหน้านั้น
อีดเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง เป็นวันสำหรับการดื่มกินและการสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ เมื่อเราจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺในช่วงเวลานี้จะทำให้คนยากจนรู้สึกร่วมเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาแห่งความสุขสันต์โดยรวมพวกเขาไว้ในจิตวิญญาณของเทศกาลในวันอีดนี้ วันนี้พวกเขาไม่ควรอดอยากหิวโหย พวกเขาไม่ควรรู้สึกว่าได้รับการละเลยกีดกันหรือถูกทอดทิ้ง
นี่คือเหตุผลที่นักวิชาการหลายท่านรวมถึง อิบนุ ตัยมียะฮ์ และ อิบนุ ก็อยยิม กล่าวว่าควรมอบซะกาตุลฟิฏรฺให้กับคนยากจนและผู้ยากไร้ขัดสนเท่านั้น ไม่ใช่ชนชั้นอื่น ๆ ที่มีสิทธิ์ได้รับซะกาตนี้
ในท้ายที่สุดซะกาตุลฟิฏรฺจะช่วยบ่มเพาะนิสัยแห่งการให้ในหมู่สมาชิกของสังคม นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมภาระผูกพันในการจ่ายเงินเพื่อการสงเคราะห์เช่นนี้จึงเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีความสามารถทุกคนโดยไม่คำนึงถึงจำนวนทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งร่ำรวยที่บุคคลนั้นมี
|| กฎเกณฑ์ของซะกาตุลฟิฏรฺ ||
ประเด็นของซากาตุลฟิฏรฺนี้เป็นฉันทามติที่เป็นเอกฉันท์ในหมู่นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ว่าการจ่ายเงินซะกาต ลฟิฏรฺเป็นภาระผูกพันทางศาสนา เรื่องนี้ถูกกล่าวโดย อิบนุ อัล-มุนซิรฺ อัล–บัยฮากี และท่านอื่น ๆ
.
ซึ่งมีหลักฐานดังนี้
1. อัลลอฮฺตรัสว่า
“แน่นอนผู้ที่ขัดเกลาตนเองย่อมบรรลุความสำเร็จ และเขารำลึกถึงพระนามแห่งผู้เป็เจ้าของเขาแล้วเขาทำละหมาด” (87: 14-15)
อิบนุ อุมัรฺ อธิบายโองการนี้ว่าเป็นการอ้างถึงซากาตุลฟิฏรฺ
2. อิบนุ อุมัรฺ รายงานว่า ท่านนบีสั่งใช้ให้จ่ายซะกาตุลฟิฏรฺ จำนวนหนึ่งศออ์ เป็นอินทผลัม หรือข้าวบาร์เลย์ในนามของชายหญิงมุสลิมทุกคน ทั้งที่เป็นอิสรชนหรือเป็นทาส พวกเขาจะต้องชำระก่อนที่ผู้คนจะออกไปละหมาดอีด” (อัล บุคอรีย์ (1053) และมุสลิม (984))
ซะกาตุลฟิฏรฺเป็นข้อผูกมัดสำหรับผู้ที่สามารถจ่ายได้เท่านั้น ซึ่งถูกนิยามว่าคือผู้ที่มีอาหารเพียงพอที่จะรับประทานสำหรับหนึ่งวันและหนึ่งคืน
ซะกาตุลฟิฏรฺจ่ายเป็นปริมาณของอาหาร มีการใช้หน่วยวัดเป็น ศออ์ เป็นการวัดความจุ (ปริมาตร) ที่เท่ากับสี่หน่วยของสองกำมือสำหรับคนทั่วไป (ประมาณ 2.7 กิโลกรัม)
|| จ่ายอย่างไร ? ||
อบู สะอีด อัล คุดรีย์ รายงานว่า
“เราเคยจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺ จำนวนหนึ่งศออ์ด้วยข้าวสาลี หรือข้าวบาร์เลย์ หรืออินทผลัม หรือเนยแข็ง หรือลูกเกด” (อัล-บุคอรีย์ (1435))
นักวิชาการส่วนใหญ่ในยุคศอฮาบะฮฺและตาบีอีนยอมรับว่า เราไม่ได้จำกัดเฉพาะอาหารที่ระบุไว้ในหะดีษเท่านั้น เป็นที่อนุญาตให้จ่ายด้วยอาหารหลักของพื้นที่ ซึ่งอาจรวมถึงข้าวหรืออาหารหลักอื่น ๆ ที่แพร่หลายในท้องถิ่น
นักวิชาการมีความเห็นต่างในการจ่ายเงินแทนอาหารว่าได้หรือไม่ นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่าซะกาตุลฟิฏรฺไม่สามารถจ่ายเป็นเงินสดได้ ทัศนะนี้เป็นทัศนะที่ยอมรับของสำนักคิดทางนิติศาสตร์ของอิหม่ามมาลีกี อิหม่ามชาฟีอีย์ และอิหม่ามฮันบาลี
สำนักคิดทางนิติศาสตร์ของอิหม่ามฮานาฟีซึ่งตามทัศนะความเห็นของอบู ฮะนีฟะห์อนุญาตให้จ่ายซะกาตุลฟิฏรฺได้ด้วยเงินสด นี่คือทัศนะความเห็นของตาบีอีนที่มีชื่อเสียงจำนวนมากรวมถึงคอลีฟะฮฺอุมัรฺ อิบนุ อับดุลอะซีส
หะซัน อัล-บัศรีย์ กล่าวว่า
“ไม่มีปัญหาอันใดที่จะจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺด้วยเงิน” (มุศ็อนนัฟ อิบนุ อบี ชัยบะฮ (10368 และ 10370))
อบู อิสฮาก อัส-สิบาอีย์ กล่าวว่า “ฉันเห็นพวกเขาจ่ายซะกาตนี้เป็นเหรียญเงินตามมูลค่าของอาหาร” (มุศ็อนนัฟ อิบนุ อบี ชัยบะฮ (10371))
นี่คือทัศนะของอิหม่ามอัซ เซารีย์ และอิหม่ามอะเฏาะ แน่นอนว่าอิหม่ามอะเฏาะเป็นที่รู้จักกันดีในการจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺของเขาด้วยเงิน คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นตาบิอีนที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากที่สุด
เมื่อไม่นานมานี้ นักวิชาการมุสตาฟา อัล ซัรฺกอ ได้ออกมาสนับสนุนอย่างหนักแน่นในทัศนะนี้ เขาปกป้องทัศนะความเห็นนี้ด้วยข้อโต้แย้งที่แข็งแรง ในบรรดาข้อโต้แย้งเหล่านั้นมีดังนี้
1. นักนิติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าไม่มีปัญหาในการจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺด้วยอาหารที่ใช้ในท้องถิ่นถึงแม้ว่าอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการกล่าวถึงในหะดีษ นี่คือเหตุผลที่พวกเขาเห็นว่าเป็นที่ได้รับอนุญาตให้จ่ายเป็นข้าว หรือข้าวโพด หรืออะไรก็ตามที่รับประทานในท้องถิ่นเป็นอาหารหลัก หากอาหารเหล่านี้ไม่ได้รับการกล่าวถึงในหะดีษนั้นได้รับอนุญาต ก็ควรจะอนุญาตให้จ่ายเป็นเงินสดได้เพราะมันจะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับคนยากจนจำนวนมากในวันอีด
นี่ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ผู้คนจ่ายด้วยอาหารท้องถิ่นของพวกเขา เรากำหนดมูลค่าเทียบเท่าของอาหารเหล่านั้นเป็นเงินสด พวกเขากำหนดอาหารที่เทียบเท่าอาหารหลักในท้องถิ่นของพวกเขา
2. การแจกจ่ายของอาหารเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องของความบริสุทธิ์ หรือการอิบาดะฮฺที่เป็นนามธรรมซึ่งไม่สามารถละทิ้งได้ แต่มีเจตจำนงที่เป็นประโยชน์ที่ชัดเจนจากการปฏิบัติเช่นนี้
|| วัตถุประสงค์หลัก ||
วัตถุประสงค์ของซะกาตุลฟิฏรฺ คือการช่วยเหลือมุสลิม ช่วยให้คนจนได้ร่วมสนุกสนานในวันอีด และมีส่วนร่วมในการฉลองความสำเร็จของการถือศีลอดในเดือนนี้กับร่วมมุสลิมคนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังช่วยผู้ให้ได้ปฏิบัติการงานที่เอิ้อเฟิ้อเผื่อแผ่นี้อีกด้วย
การให้เงินเป็นที่รักที่ชอบมากกว่าทั้งสำหรับผู้ให้และผู้รับ และยังเป็นการตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของซะกาตุลฟิฏรฺ ที่ช่วยคนยากจนและชำระขัดเกลาผู้จ่ายให้บริสุทธิ์และไม่ขัดกับตัวบทที่ชัดเจน
ข้อสงสัยนี้เป็นรายละเอียดทางนิติศาสตร์อิสลามที่นักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางท่านมีความเห็นแตกต่างกันตั้งแต่ในยุคแรกเริ่มของอิสลาม หนึ่งในนั้นคือคอลีฟะฮ์ อุมัรฺ อิบนุ อับดุลอะซิส ผู้สั่งให้คนของเขาจ่ายซะกาตุลฟิฏรฺเป็นเงินสด
วัตถุประสงค์ของเราในการกล่าวถึงความแตกต่างทางทัศนะความคิดเห็นในเรื่องนี้คือการแสดงให้เห็นว่ามีความยืดหยุ่น ไม่มีเหตุผลที่จะคับแคบและดื้อรั้น นักนิติศาสตร์อิสลามพยายามที่จะอำนวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ และสร้างความสะดวกง่ายดายให้กับผู้คน
|| จะต้องจ่ายเมื่อใด ? ||
ถือเป็นภาระหน้าที่ในช่วงเวลาที่ผู้คนยุติการถือศีลอดในช่วงท้ายของเดือนรอมฎอน นี่คือเหตุผลที่มันถูกเรียกว่าการสงเคราะห์สำหรับการยุติการถือศีลอด ชื่อของมันจึงอ้างอิงไปยังเหตุผลของมัน
นักนิติศาสตร์บางท่านรวมถึงอิหม่ามชาฟีอีย์ อิหม่ามอะฮฺหมัด อิหม่ามอิสฮาก และอิหม่ามมาลิก ระบุช่วงเวลาของภาระผูกพันไว้ระหว่างช่วงที่ดวงตะวันตกดินในคืนก่อนวันอีดในขณะที่อิหม่ามอบู ฮะนีฟะฮฺ กล่าวว่ามันกลายเป็นภาระหน้าที่ในเช้าวันอีดก่อนละหมาดอีด
อิบนุ อุมัรฺ รายงานว่า “ต้องจ่ายก่อนที่ผู้คนจะออกไปละหมาดอีด” ((อัล บุคอรีย์ (1053) และมุสลิม (984))
เช่นเดียวกัน ท่านนบี กล่าวว่า
“บุคคลใดที่จ่ายซะกาตก่อนละหมาด (อีดิ้ลฟิฏร์) ถือว่าเป็นซะกาตที่ได้รับการตอบรับ และบุคคลใดที่จ่ายซะกาตหลังละหมาด (อีดิ้ลฟิฏร์) ถือว่าเป็นการทำศอดาเกาะฮ์อย่างหนึ่ง” (สุนัน อบู ดาวุด : 1371)
ดังนั้น ทุกคนจึงเห็นพ้องว่าเวลาหลังจากฟัจญรฺและก่อนการละหมาดอีดเป็นเวลาที่ถูกต้องในการชำระซะกาต
นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ชำระซะกาตุลฟิฏรฺหนึ่งหรือสองวันก่อนอีด เนื่องจากอิบนุ อุมัรฺ ได้รายงานว่า “บางครั้งพวกเขาเคยจ่ายซะกาตหนึ่งหรือสองวันก่อนสิ้นสุดการถือศีลอด”
|| ใครที่มีสิทธิได้รับ? ||
มีความเห็นสองทัศนะในเรื่องนี้
1. สามารถจ่ายให้กับคนทั้งแปดประเภทที่มีสิทธิ์ได้รับซะกาต นี่คือทัศนะส่วนใหญ่ อันที่จริงแล้วอิหม่ามชาฟีอีย์วางกรอบไว้ไกลกว่านั้น และระบุว่าควรแบ่งและแจกจ่ายให้กับทั้งแปดประเภท
2. เฉพาะคนยากจนและคนขัดสนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับซะกาตนี้ นี่เป็นหนึ่งในทัศนะความเห็นของสำนักทางนิติศาสตร์ของอิหม่ามฮันบาลี และเป็นความเห็นที่นำมาใช้โดยอิบนุ ตัยมียะห์ และอิบนุ ก็อยยิม
ทัศนะความเห็นที่สองดูเหมือนจะดีที่สุดเนื่องจากท่านนบีเคยอธิบายว่าเป็นซะกาตที่จ่าย “เพื่อให้อาหารสำหรับคนยากจน” (สุนันอบู ดาวุด (1609))
ยิ่งไปกว่านั้นซะกาตุลฟิฏรฺนั้นแตกต่างจากซะกาตทั่วไป เนื่องจากมันไม่ได้เรียกเก็บจากความมั่งคั่งของบุคคล แต่ได้รับมาจากมุสลิมทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าจะเหมาะสำหรับการจำกัดการให้เฉพาะคนยากจนและคนขัดสน
|| เป็นข้อบังคับสำหรับใครบ้าง? ||
เนื่องจากเป็นภาษีรายหัวและไม่ใช่ภาษีสำหรับความมั่งคั่ง บุคคลที่จ่ายซะกาตุลฟิฏรฺจึงต้องจ่ายสำหรับตนเองก่อนและสำหรับผู้ที่อยู่ในความอุปถัมป์ของเขาทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ผู้ชายจะต้องจ่ายแทนภรรยา และลูก ๆ ของเขา และเขาอาจจะต้องจ่ายให้ในนามของพ่อแม่ของเขาด้วย หากท่านทั้งสองต้องพึ่งพาเขาในการจัดการซะกาตนี้ให้แก่พวกท่าน
ซะกาตุลฟิฏรฺไม่จำเป็นต้องจ่ายแทนเด็กที่ยังไม่เกิด (อยู่ในครรภ์มารดา) อย่างไรก็ตามแนะนำให้จ่ายซะกาตโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตั้งครรภ์อยู่ในช่วงที่ตัวอ่อนได้พัฒนาการมาเป็นทารกซึ่งวิญญาณได้เข้าสู่ร่างกายของเด็กแล้ว
มีรายงานว่าท่านอุษมานได้จ่ายซะกาตุลฟิฏรฺให้กับทารกในครรภ์ของภรรยาท่าน ในขณะที่ศอฮาบะห์หลายท่านแจ้งว่าท่านอุษมานไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเช่นนั้น
………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง