พลาสมาจากเลือด ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร

ถึงแม้ว่าเลือดจะเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับมุสลิม แต่เลือดถูกนำมาใช้แปรรูปอาหารในหลากหลายรูปแบบ เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารไม่รังเกียจที่จะใช้ของเสียในอาหาร เลือดจากโรงฆ่าสัตว์ซึ่งเป็นอีกประเภทหนึ่งที่ยากต่อการกำจัด เป็นอีกประเภทที่ไม่เหลือไว้เนื่องจากได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในอาหาร

ผงพลาสมาจากเลือด (Blood plasma) คืออะไร?

          เลือดที่ได้จากโรงฆ่าสัตว์ถูกนำมาหมุนเหวี่ยงเพื่อแยกเกล็ดเลือดออก สิ่งที่เหลือไว้นั่นคือพลาสมาจากเลือดซึ่งเป็นของเหลวสีครีม หลังจากนั้นผ่านการพ่นฝอยเพื่อทำให้แห้ง (spray-dried) และนำมาใช้เป็นแหล่งของโปรตีน

น้าที่ของโปรตีนพลาสมาในอาหาร

          โปรตีนพลาสมาซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเลือด เป็นโปรตีนที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูก มีความสามารถด้านอิมัลซิไฟเออร์ และเป็นตัวถูกละลายที่ดีเยี่ยม มีควาหนืดต่ำและความสามารถในการคงรูปร่างที่แข็งแรง มีความยืดหยุ่นที่ไม่คืนรูปของเจล โดยความแข็งแรงของเจลทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น

คุณสมบัตินี้เองที่ทำให้โปรตีนพลาสมาเป็นโปรตีนที่ดีเลิศ สำหรับเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ภายใต้การควบคุมที่อุณหภูมิเบื้องต้น 80 องศา เช่น การสเตอริไลท์ หรือผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋อง โปรตีนพลาสมาสามารถปรับปรุงลักษณะเนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์และปลาที่ผ่านการแปรรูป

          ในกรณีของซูริมิ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตขึ้นโดยมีปลาเป็นองค์ประกอบหลัก พลาสมาจากเลือดซึ่งช่วยใน 2 หน้าที่ที่สำคัญนั่นคือ เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์โปรติเอสและยังทำหน้าที่เป็นตัวยึดเกาะเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของเจล

การนำโปรตีนพลาสมาจากเลือดไปใช้

      ผงพลาสมาจากเลือดนั้นถูกนำมาใช้ในการทำของผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตขึ้น เช่น ลูกชิ้นปลา เต้าหู้ปลาและเนื้อปูและกุ้งเทียม ชื่อทางการค้าของผลิตภัณฑ์เหล่านี้คือ  ซูริมิ

          ในการทำซูริมิ ปลาเกรดต่ำโดยทั่วไปได้ถูกนำมาใช้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันมีคุณภาพต่ำ เนื้อปลาจึงมีความแข็งแรงของเจลน้อย ในกรณีนี้ สารช่วยในการเกิดเจล เช่น ผงโปรตีนพลาสมาจากเลือดจึงถูกเติมลงไป

          ในปีค.ศ. 1998 สมาคมเพื่อผู้บริโภคแห่งรัฐปีนัง (Consumer Association of Penang) ได้ดำเนินการสำรวจผงโปรตีนพลาสมาจากเลือดพบมีขายในมาเลเซีย ตามที่ระบุในเอกสารผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาจากสหรัฐอเมริกา ผงพลาสมาจากเลือดเป็นโปรตีนเนื้อราคาถูก ที่มีความโด่นเด่นในการจับกับน้ำ ทำให้ผลิตภัณฑ์เหนียวแน่นมากขึ้น และคุณสมบัติของการเกิดเจลที่ยืดหยุ่น

 เอกสารยังได้กล่าวว่าอีกว่าสารดังกล่าวสมารถนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ไส้กรอก เบอร์เกอร์และเนื้ออื่นๆ ผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่และปลา แหล่งที่มา(ยกตัวอย่าง พลาสมาได้มาจากไหน) ซึ่งไม่ได้กล่าวไว้ในเอกสาร

          ต่อไปนี้ เราได้ดำเนินการสำรวจและพบว่ามีซูริมิหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาดซึ่งส่วนใหญ่ฉลากได้กล่าวถึงการใช้สารที่ทำให้เกิดเจล แต่พวกเขาไม่ได้ระบุจำเพาะเจาะจงถึงชนิดและแหล่งที่มาของสารที่ทำให้เกิดเจล

          ยังไม่มีบัญญัติใดภายใต้ข้อกำหนดด้านอาหาร 1985 (Food Regulation 1985) สำหรับผู้ผลิตในการแสดงรายละเอียดบนฉลากสำหรับชนิดและแหล่งมาของวัตถุเจือปนอาหารที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ของพวกเขา

          นอกจากโปรตีนพลาสมาจากเลือด ยังมีวัตถุเจือปนอาหารจำพวกโปรตีนอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งถูกนำมาใช้อย่างมากมายในวงการอุตสาหกรรมอาหาร

…………………………………………………………………………………………………………………………….
แปลและเรียบเรียงจาก
Consumers Association of Penang. (2006) . HARAM HARAM :an Important book for muslim consumers.  Pinang. Pulau Pinang Press. Page 136-138

ข้อมูลเพิ่มเติม
– มุมมองอิสลามที่เกี่ยวกับเลือดและปัญหาการใช้ประโยชน์จากเลือดในผลิตภัณฑ์อาหาร

จิตวิญญาณของอาหาร

ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เกี่ยวพันธ์กับหลักปฏิบัติด้วยกับกฎและหลักเกณฑ์ที่ครอบคลุมทุกๆ มิติในการดำเนินชีวิตของปัจเจกชนมุสลิม  หลักเกณฑ์นี้ไม่ได้จำกัดการมองแต่เพียงเรื่องมารยาททางสังคม แต่มันมาจากวัตถุประสงค์ในวงกว้างของศาสนา และด้วยเหตุนี้จึงเป็นความคิดและค่านิยมที่สะท้องกลับมา 

          ที่นี้เรามาพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารที่เราบริโภคกับสุขภาพทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณของเรา มุสลิมคนหนึ่งกินอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพทางร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ในการประกอบศาสนกิจทางศาสนา (อิบาดะฮฺ) และยังสนับสนุนความรู้และแรงกายของเขา เพื่อสวัสดิภาพของสังคม  ดังนั้นในบริบทของอิสลามจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจและเห็นคุณค่าของแนวคิดฮาลาลและหะรอม ซึ่งอาหารและเครื่องดื่มที่ฮาลาลนั้นเป็นที่อนุมัติสำหรับมุสลิม 

ในทางกลับกัน รายการอาหารหนึ่งจะหะรอม ก็ต่อเมื่อ  

  • เป็นอันตรายหรือรบกวนการทำงานของร่างกายและจิตใจในทางลบ 
  • มีนญิสหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากซากสัตว์หรือสัตว์ที่ตายโดยสาเหตุจากธรรมชาติ หรือจากสุกรหรือสัตว์หะรอมอื่นๆ 
  • อาหารนั้นได้มาจากสัตว์ที่อนุมัติแต่ไม่ผ่านการเชือดในวิธีการที่เป็นที่อนุมัติ หรือ หากไม่มีการ เตรียมการก่อนเชือดอย่างถูกต้อง 

       คำกล่าวที่ว่า  “คุณคือสิ่งที่คุณกิน” เป็นที่รู้จักกันดีในศาสนาอิสลาม  อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ได้กลายเป็นเพียงแค่อุจจาระ แต่ยังดูดซึมและสลายสารอาหารเข้าสู่ระบบและไหลเวียนทั่วทุกส่วนของร่างกายรวมทั้งสมองและหัวใจ  ดังนั้นความบริสุทธิ์ของร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณอย่างแท้จริงนั้นขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของอาหารที่เราบริโภค 

ดังเช่นในอัลกุรอาน ในแต่ละครั้งเมื่อเอ๋ยถึงคำว่า  “ฮาลาล”  ก็จะกล่าวถึงอาหาร และคำว่า  “ฏอยยีบัน” ก็ได้ถูกกล่าวถึงอีกด้วย

มนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติ(ฮาลาล)และที่ดี(ฏอยยิบ)จากที่มีอยู่ในแผ่นดิน”  (อัลบากอเราะฮฺ :168 )  

พวกเจ้าจงบริโภคในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า ซึ่งเป็นที่อนุมัติที่ดี(อัลนะฮฺล: 114)  

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจว่าอาหารไหนที่เหมาะสำหรับการบริโภค ควรมีการพิจารณามากกว่าฮาลาล หรือหะรอมเพียงเท่านั้น  คำว่าฏอยยีบันหมายถึงดี ซึ่งมีความหมายว่าอาหารต้องมีประโยชน์และบริสุทธิ์จากแหล่งที่มาของมัน

          จากลักษณะทางด้านกายภาพ  ข้อจำกัดทางอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อสร้างความมั่นใจว่า มุสลิมดูแลการกินเฉพาะสิ่งที่บริสุทธิ์ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคที่เกิดจากการบริโภคอาหารที่สกปรก 

อาหารที่สะอาดบริสุทธิ์นำมาซึ่งสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและสิ่งนี้จะทำให้มุสลิมสามารถเพิ่มอิบาดะฮฺตัวของเขาและปฏิบัติอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและสุขภาพสามารถถ่ายทอดไปสู่รุ่นถัดไป ในร่างกายที่บริสุทธิ์สร้างสุขภาพที่ดีสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน แน่นอนว่าความสะอาดจากภายนอกเป็นขั้นแรกต่อความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณภายใน บ่อยครั้งที่องค์ประกอบทั้งสองมักควบคู่ไปด้วยกัน ดังนั้นในศาสนาอิสลามความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา ตั้งแต่ด้านจิตวิญญาณแล้วมุสลิมก็ทำตัวเองให้บริสุทธิ์ โดยการบริโภคแต่เพียงอาหารที่สะอาดเนื่องจาก อัลลอฮฺนั้นบริสุทธิ์และรักผู้ที่ทำตัวเองให้บริสุทธิ์ จากอบูฮุร็อยเราะฮฺ กล่าวว่า : ท่านร่อซูล  (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัม) กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺนั้นบริสุทธิ์ ไม่ทรงรับสิ่งใดนอกจากที่บริสุทธิ์”

โอ้ บรรดารอซูลเอ๋ย ! พวกเจ้าจงบริโภคส่วนที่ดี (ฮาลาลและจงกระทำความดีเถิด” (อัลมุอฺมิน: 51)  

และพระองค์ยังได้กล่าวอีกว่า 

บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงกินสิ่งที่ดีและสะอาดที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้า”  (อัลบากอเราะฮฺ : 172) 

…………………………………………………………………………………………………..
แปลและเรียบเรียงจาก
Consumers Association of Penang. (2006). HARAM HARAM :an Important book for muslim consumers.  Pinang. Pulau Pinang Press. Page 12-13 

ผลิตภัณฑ์จากหมูอยู่รอบตัวเรา

  ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์หะรอม ได้รับการพัฒนาไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสุกร สุกรถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ ทางด้านเภสัช ในเครื่องสำอาง และนำมาใช้ในอาหาร

Christien Merindertsma นักออกแบบสาวชาวดัชท์ ได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า Pig 05049 – หมูอยู่รอบตัวเรา หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าส่วนต่างๆ ของหมูหนึ่งตัวถูกใช้ไปกับการผลิตสินค้าอะไรในอุตสาหกรรมได้บ้าง

Christien Merindertsma ใช้เวลาพัฒนาหนังสือเล่มนี้อยู่ 3 ปี ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิจัย โดยสืบค้นไปถึงผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ผลิตได้จากหมูหนึ่งตัว และเจ้าหมู 05049 นี้ ก็คือ หมายเลขของหมูที่มีอยู่จริง ซึ่งถูกเลี้ยงมาในฟาร์มแห่งหนึ่งในเนเธอร์แลนด์ เธอตามรอยเจ้าหมู 05049 หลังจากที่ถูกขายไป จนได้ค้นพบความจริงว่า หมูตัวหนึ่งถูกแปรรูปไปเป็นสินค้าถึง 185 ชนิด (!) ทั้งสินค้าประเภทอาหารที่คาดเดาได้อยู่แล้ว เช่นซี่โครง เบคอน แฮม ฯลฯ และสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหารซึ่งคุณไม่มีทางเดาถูก เช่น เบรครถไฟ สีพ่นรถยนต์ บุหรี่ สบู่และผงซักฟอก

จากผลงานชิ้นนี้ Christien Merindertsma ได้คว้ารางวัลชนะเลิศ รางวัล Index: Award ประจำปี 2009 สาขา “เล่น” (Play) นี้ไปครอง  แนวคิดตั้งต้นมุ่งไปที่การช่วยให้คนในโลกปัจจุบัน (ที่บริโภคสินค้าในแพคเกจจิ้งเป็นหลัก) ได้เข้าใจว่า สิ่งต่างๆ ที่เขากินเขาใช้นั้น ผลิตขึ้นมาจากอะไร และมันมาจากไหน เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ถึงคุณค่าทรัพยากรที่ถูกผลาญไป

จากงานวิจัยของ Christien Merindertsma ในการค้นกว้าผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากหมูเพียงตัวเดียวเป็นผลิตภัณฑ์กว่า 185 ผลิตภัณฑ์ที่เธอสามารถรวบรวมได้ ณ ตอนนี้….คุณ…กำลังใช้ผลิตภัณฑ์จากสุกรอยู่รึป่าว???

ที่มา
www.christienmeindertsma.com


การนำเส้นผมของมนุษย์มาเป็นส่วนประกอบในอาหาร

จะเป็นอย่างไรหากคุณเห็นเส้นผมในอาหารที่คุณรับประทาน ?
คุณคงขยะแขยงและไม่ต้องการมัน แต่พวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า เส้นผมมนุษย์นั้นได้เข้าสู่กระบวนการแปรสภาพให้เป็นส่วนประกอบจริงๆในอาหาร และสารในคำถามนี้คือ แอล-ซิสเทอีน (L-cysteine)

:: แอล-ซิสเทอีน คืออะไร? ::
แอล-ซิสเทอีน เป็นกรดอะมิโนที่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอาง ในการทำขนมปัง แอล-ซิสเทอีนถูกนำมาใช้ลดระยะเวลาการผสมเพื่อให้เกิดโด (dough) ของแป้ง (ก้อนแป้งที่มีลักษณะยืดหยุ่นได้ดี เหนียว นุ่ม ไม่ขาดง่าย….ผู้แปล ) ยับยั้งการหดตัวของหน้าพิซซ่าหลังจากกางให้เป็นแผ่นเรียบ และช่วยยับยั้งการหดตัวของโดเนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในการทำเบเกอรี่ หรือการหดตัวของโดเนื่องจากเครื่องปรับอากาศ

ยิ่งไปกว่านั้นแอล-ซิสเทอีนยังถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อผลิตเป็นสารให้กลิ่นเนื้อ (meat flavour) ในผลิตภัณฑ์อย่างเช่น ซุปก้อน

ถึงแม้ว่าแอล-ซิสเทอีนอาจจะมีอยู่ในอาหารจำนวนหนึ่ง แต่สารเหล่านี้ไม่เคยได้รับการระบุว่าเป็นส่วนประกอบในอาหาร เนื่องจากสารชนิดนี้ไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) แต่เป็นตัวช่วยหนึ่งในกระบวนการผลิต (processing aid)

:: แหล่งที่มาของ L-cysteine ::
ในปัจจุบันแอล-ซิสเทอีนมากกว่า 80% ที่นำมาใช้ทั่วโลกถูกผลิตขึ้นในประเทศจีนซึ่งได้สกัดได้จากเส้นผมของมนุษย์และขนไก่

เส้นผมของมนุษย์นั้นอุดมไปด้วยกรดอะมิโน 2 ชนิดคือ แอล-ซิสเทอีนและแอล-ไทโรซีน (L-tyrosin) มีแอล-ซิสเทอีนประมาณ 14% ในเส้นผมของมนุษย์ ในระหว่างการสกัดแอล-ซิสเทอีนนั้น โปรตีนเคราติน (keratin) จากเส้นผมมนุษย์จะถูกย่อยด้วยกรดไฮโดรคลอริกและน้ำ หลังจากผ่านหลายๆ ขั้นตอน โปรตีนเคราตินก็ได้เปลี่ยนเป็นแอล-ซิสเทอีน

:: ศาสนาอิสลามมีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับแอล-ซิสเทอีน ::
ตามกฎหมายชารีอะฮฺ สำหรับมุสลิมแล้วการบริโภคส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายมนุษย์นั้นเป็นสิ่งหะรอม จากการสัมภาษณ์มุฟตีของรัฐเปรัก (Perak) Dato’ Seri Dr Harussani bin Zakeria ทำให้ทราบว่า ทุกๆส่วนของร่างกายมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ล่วงละเมิดไม่ได้และควรได้รับความเคารพ ดังนั้น อาหารที่มีแอล-ซิสเทอีน เป็นส่วนประกอบเป็นสิ่งที่น่าสงสัย เนื่องจากแอล-ซิสเทอีน อาจจะได้มาจากเส้นผมของมนุษย์ก็เป็นได้

ในมุมมองเรื่องนี้ ผู้บริโภคมุสลิมควรระมัดระวังเมื่อเลือกซื้ออาหารในท้องตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่อาจจะมีแอล-ซิสเทอีนเป็นส่วนประกอบ (เช่น ขนมปัง พิซซ่าและอาหารที่มีกลิ่นเนื้อ)

สิ่งที่ทุกคนควรทราบนั่นคือ แอล-ซิสเทอีนที่นำมาใช้ในอาหารที่คุณซื้อ อาจจะมาจากเส้นผมของมนุษย์และอาจจะไม่ระบุไว้ในส่วนประกอบของอาหาร

……………………………………………………………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง

ข้อมูลจากหนังสือ : Consumers Association of Penang. (2006). HARAM HARAM :an Important book for muslim consumers. Pinang. Pulau Pinang Press

อาหารฮาลาล ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบที่พิถีพิถันทุกขั้นตอน เพื่อให้พี่น้องมุสลิมได้บริโภคอาหารที่ดีมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อชีวิตและยังเป็นเหตุผลสำคัญที่อัลลอฮฺจะตอบรับคำวิงวอนของเรา

รองศาสตราจารย์ ดร.วินัย ดะห์ลัน
ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

………………………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี

อาหารฮาลาล ใช่ว่าจะเป็นแค่เพียงข้าวหมก ซุปหางวัว หรือโรตีอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นอาหารจีน อาหารญี่ปุ่นหรืออาหารประเภทใดก็ได้ ขอเพียงผลิตถูกต้องตามหลักศาสนบัญญัติอิสลามก็เพียงพอ

รองศาสตราจารย์ ดร.วินัย ดะห์ลัน
ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

……………………………………………….
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี

“หลักการหะลาล-หะรอม” สอนมนุษย์ให้รู้จักจริยธรรมอันสูงส่งของอิสลาม ด้วยการเป็นห่วงเป็นใยและมอบสิ่งที่ดีๆให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

รองศาสตราจารย์ ดร.วินัย ดะห์ลัน
ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

…………………………………………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี

เจลาตินในการผลิตอาหารฮาลาล

ตอน : สถานะของเจลาตินในอิสลาม

เจลาติน (Gelatin) เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากสัตว์ จากการแปรรูปคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการสลายด้วยน้ำ (Hydrolyzed collagen) ที่มีอยู่ในส่วนต่างๆของสัตว์หลากหลายชนิด สถานะฮาลาลของเจลาตินจึงขึ้นอยู่กับธรรมชาติของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต โดยส่วนใหญ่เจลาตินจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1. เจลาตินชนิด A เป็นเจลาตินที่มาจากหนังสุกรโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) สำหรับมุสลิมที่จะนำเจลาตินชนิดนี้ไปใช้เป็นส่วนประกอบ

2. เจลาตินชนิด B เป็นเจลาตินที่มาจากหนังปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น หรือมาจากกระดูกสัตว์ที่ผ่านกระบวนการกำจัดแร่ธาตุออกแล้ว (Demineralized bones)

โดยทั่วไปกระบวนการผลิตเจลาตินที่มาจากปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหล่านี้ มักผ่านโรงงานเชือดและชำแหละของคนที่ไม่ใช่มุสลิม ส่วนเจลาตินชนิดดังกล่าวจะเป็นที่อนุมัติหรือต้องห้ามสำหรับมุสลิมหรือไม่นั้น ยังเป็นทัศนะที่ขัดแย้งกันในหมู่นักวิชาการอิสลาม อย่างไรก็ตาม เจลาตินที่มาจากกระดูกปศุสัตว์ที่ผ่านกระบวนการเชือดที่ฮาลาลถูกต้องตามหลักการนั้นถือว่านำมาใช้ได้ ส่วนเจลาตินจากหนังปลาที่ปราศจากการปนเปื้อนจากแหล่งที่มาอื่นนั้นถือว่าฮาลาลเช่นเดียวกัน โดยชนิดของปลาที่นำมาผลิตนั้นจะต้องเป็นปลาที่ได้รับการยอมรับจากมุสลิมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ด้วย ผู้ดำเนินการแปรรูปอาหารจึงควรได้รับความเข้าใจว่า เจลาตินที่ไม่ระบุประเภทหรือสถานะที่ชัดเจนจะสร้างความสับสนและข้อสงสัยมากมายถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคอาจเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนประกอบของเจลาตินที่มาจากสุกร ซึ่งเป็นปัจจัยขัดขวางที่มีอิทธิพลอย่างมากสำหรับการเลือกบริโภคของมุสลิมที่มีต่อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

………………………….
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี
แปลเรียบเรียงจากหนังสือ Halal food production
โดย Mian N. Riaz, Muhammad M. Chaudry 

อัลลอฮฺทรงสร้างเรามาพร้อมกับสร้างอาหารสำหรับเราและด้วยวิทยปัญญาอันไม่สิ้นสุดของพระองค์นั้นทรงรู้ว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อเราและสิ่งใดที่เป็นอันตรายกับเรา

ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี