ความหมายของอุฎฮียะฮ์ (เนื้อกุรบาน) และกฎเกณฑ์ของมัน

อุฎฮียะฮฺ (กุรบาน) หมายความอย่างไร มันเป็นวาญิบหรือซุนนะฮฺ ?

คำว่า อุฎฮียะฮ์ หมายถึง สัตว์ที่อยู่ในชั้นของ อันอาม (เช่น อูฐ วัว แกะหรือแพะ) ซึ่งถูกเชือดในช่วงวันอีดอัฎฮาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและเป็นการทำอิบาดะฮฺ เพื่อหวังความใกล้ชิดและโปรดปรานจากอัลลอฮฺ

นี่เป็นศาสนกิจอย่างหนึ่งในอิสลามที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺและแบบแผนการปฏิบัติของศาสนทูต (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) ตามมติเอกฉันท์ของประชาชาติมุสลิม

:: ในอัลกุรอาน ::
1 – อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า 
“ดังนั้นเจ้าจงละหมาดเพื่อพระเจ้าของเจ้าและจงเชือดสัตว์พลี” [อัลเกาษัรฺ 108:2]

2 – พระองค์ทรงกล่าวไว้อีกว่า 
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ (นุสุก) ของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น”[อัลอันอาม 6:162]

คำว่านุสุก (สามารถแปลได้ว่าเป็นการเชือดพลี) หมายถึงการกุรบาน; นี่เป็นมุมมองของ สะอีด อิบนุญุบัยร์ และยังหมายถึงการปฏิบัติทุกอย่างที่เป็นบัญญัติศาสนา, รวมทั้งการเชือดพลีซึ่งมีความหมายลึกยิ่งขึ้น 

3 – พระองค์ยังตรัสอีกว่า: 
“และสำหรับทุก ๆ ประชาชาติเราได้กำหนดสถานที่ทำพิธีกรรมเพื่อพวกเขาจักได้กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา คือสัตว์สี่เท้า (เช่น อูฐ วัว แพะ แกะ) ฉะนั้นพระเจ้าของพวกเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้นสำหรับพระองค์เท่านั้น พวกเจ้าจงนอบน้อมและจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้จงรักภักดีนอบน้อมถ่อมตนเถิด” [อัลหัจญ์ 22:34]

:: ในหะดีษของท่านนบี :::
1 – มีรายงานใน เศาะฮีฮฺบุคอรีย์ (5558) และเศาะฮีฮฺมุสลิม (1966) ว่า ท่านอนัส บินมาลิก (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน) กล่าวว่า “ท่านนบี (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) เชือดแกะสีเทาสองตัว ท่านเชือดด้วยมือของท่านเอง ท่านได้กล่าวว่า “อัลลอฮุอักบัรฺ” และวางเท้าของท่านบนคอ (สีข้าง) ของมันทั้งสอง”

2 –มีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัร (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน) กล่าวว่า “ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อาศัยอยู่ในมะดีนะฮฺเป็นเวลาสิบปี ท่านได้เชือดกุรบาน (ทุกปีของวันอีด) รายงานโดยอะหมัด (4938) อัตติรฺมิซีย์ (1507) อัลบานีย์กล่าวว่าเป็นหะดีษเศาะฮีฮฺใน มิชกาต อัลมะศอบีฮฺ 1475

3 – รายงานจากอุกบะฮฺ บินอามีรฺ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน)เล่าว่าท่านนบี (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) ได้แจกจ่ายสัตว์สำหรับอุฎฮียะฮ์ให้แก่บรรดาเศาะฮาบะฮ์ โดยอุกบะฮฺได้รับแกะอายุหกเดือน ท่านได้กล่าวว่า “โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮฺ ฉันได้รับแกะอายุหกเดือน” นบีจึงกล่าวว่า “จงนำมันเพื่อเชือดอุฎหิยะฮ์” รายงานโดยบุคอรีย์ (5547)
.
4 –อัลบัรรออ์ บินอาซิบ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน)รายงานว่าท่านนบี (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) กล่าวว่า “ผู้ใดเชือดหลังละหมาดอีด ถือว่าการเชือดอุดฮียะฮฺของเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว และถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติของมุสลิม” (รายงานโดยบุคอรีย์, 5545)

ท่านนบี (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) ได้ทำอุฎฮียะฮ์ และบรรดาเศาะฮาบะฮ์ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจพวกเขา) ก็เช่นเดียวกัน และท่านยังกล่าวด้วยว่านี่เป็นแนวทางของมุสลิม

ดังนั้น มุสลิมต่างเห็นตรงกันว่านี้เป็นบัญญัติหนึ่งในอิสลาม ซึ่งนักวิชาการรายงานไว้หลายท่าน แต่สิ่งที่แตกต่างคือกันความเห็นที่ว่านี่เป็น สุนนะฮ์มุอักกะดะฮ์ (สุนนะฮ์ที่สมควรปฏิบัติอย่างยิ่ง) หรือว่าเป็นสิ่งวาญิบ (บังคับ) หรืออนุญาตให้ละเว้นที่จะไม่ทำก็ได้

นักวิชาการส่วนใหญ่มีทรรศนะว่านี่เป็นสุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺ นี่เป็นความเห็นของอิมามชาฟิอีย์ อิมามมาลิกและอิมามอะหมัดซึ่งเป็นทรรศนะที่รู้จักกันดี

นักวิชาการอื่นเห็นว่าเป็นสิ่งวาญิบ นี่เป็นความเห็นของอิมามอบูหะนีฟะฮฺและยังเป็นความเห็นหนึ่งของอิมามอะหมัด และยังเป็นความเห็นที่อิบนุตัยมิยะฮ์สนับสนุนมากที่สุดซึ่งได้กล่าวว่า “นี่เป็นความเห็นหนี่งจากสองความเห็นที่รายงานในมัซฮับมาลิกีย์ หรือเป็นความเห็นของอิมามมาลิก”

ในหนังสือ ริสาละฮฺ อะห์กาม อัลอุฎฮียะฮฺ วัลซะกาฮฺ อิบนุอุษัยมีน (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า “อุฎฮิยะฮ์เป็นซุนนะฮ์มุอักกะดะฮ์สำหรับผู้ที่มีความสามารถที่จะทำ ดังนั้นเขาควรจะทำการเชือดในนามของตนเองและสมาชิกในครอบครัว”

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก islamqa.info

#อีดอัฎฮา #ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำนักงานปัตตานี

ความสุรุ่ยสุร่ายและอาหารเหลือทิ้งในเดือนรอมฎอน

ในเดือนรอมฎอน มุสลิมได้รับการส่งเสริมให้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในระหว่างการละศีลอดและรับประทานอาหารสะหูรฺ ขณะเดียวกันให้ละเว้นจากการกระทำบาปด้วยการรับประทานอาหารอย่างทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ

แม้ว่ารอมฎอนเป็นเดือนแห่งการถือศีลอด แต่ครัวเรือนส่วนใหญ่กลับเตรียมอาหารเป็นจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าโภชนาการของอาหาร ยิ่งไปกว่านั้น อาหารจำนวนมากถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ซึ่งไม่เป็นที่อนุญาตในศาสนาอิสลาม อาหารที่ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์นั้นเป็นบาปในศาสนาอิสลามและยังเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของเดือนรอมฎอนอย่างยิ่ง 

ในเดือนรอมฎอน เราจะเห็นภัตตาคาร และโรงแรมหลายแห่งเตรียมอาหารบุฟเฟ่ต์เพื่อให้มุสลิมได้ทำการละศีลอด ซึ่งอาหารบุฟเฟ่ต์โดยทั่วไปนำเสนออาหารที่น่ารับประทานเป็นจำนวนมาก รวมทั้งอาหารเรียกน้ำย่อยและ “ขนมหวานล่อใจ” ซึ่งแต่ละคนสามารถรับประทานได้มากเท่าที่ปรารถนา

บรรดาอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เตรียมไว้เหล่านี้ จะล่อใจด้วยอาหารที่มีกลิ่นและลักษณะที่ดูดี การล่อใจด้วยประสาทสัมผัสทางกลิ่นและภาพของอาหาร บ่อยครั้งทำให้มีการตักอาหารเกินความจำเป็น แม้ว่าการกินและดื่มมากเกินไปไม่เป็นที่อนุญาตในศาสนาอิสลาม แต่ลูกค้าบุฟเฟ่จำนวนมากยอมให้ความอยากของเขาครอบงำในเวลาละศีลอด ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีความรู้สึกว่า ควรตักอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้บนจานอาหารของพวกเขาเพื่อความคุ้มค่ากับเงินที่เขาจ่ายไป

มีการจัดอาหารให้มีอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อสนองความหิวกระหาย ซึ่งเป็นแบบฉบับของอาหารบุฟเฟ่ย์ นำไปสู่การเหลือทิ้งบนจานอาหารเป็นจำนวนมากที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดก็ไม่สามารถบริโภคได้จนหมด ที่เหลือก็จะถูกโยนทิ้งไป

เพราะเหตุใดมุสลิมจึงทิ้งอาหารไปอย่างปล่าวประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนรอมฎอน? หรือว่านี่เป็นการตอบสนองทางจิตใจที่รู้สึกว่า ฉันไม่ใช่คนจนเนื่องจากฉันสามารถจ่ายอาหารอย่างทิ้งขว้างได้? หรือบางทีอาหารที่ทิ้งไป (หรือน้ำ) เป็นเพียงความเลินเล่อจนเคยชิน? มุสลิมไม่ตระหนักหรือว่าอาหารเป็นปัจจัยยังชีพที่ทรงประทานมาจากอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) และสักวันหนึ่ง เราจะถูกสอบสวนเกี่ยวกับสิ่งที่เราทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์

อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงตรัสความว่า

“พวกเจ้าจงกินจากสิ่งที่ดีทั้งหลาย ที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าอย่าได้ฝ่าฝืน มิฉะนั้น ความกริ้วของข้าจะเกิดขึ้นแก่พวกเจ้า และผู้ใดที่ความกริ้วของข้าเกิดขึ้นแก่เขาแน่นอนเขาจะประสบความพินาศ” (ฎอฮา : 81)

“…และจงกินและจงดื่ม และจงอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ไม่ชอบบรรดาผู้ที่ฟุ่มเฟือย” (อัลอะอฺรอฟ : 31)

“… แท้จริง บรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของเหล่าชัยฏอน และชัยฏอนนั้นเนรคุณต่อพระเจ้าของมัน” (อัลอิสรออฺ : 26 – 27)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
จากหนังสือ Halal Haram : An Important book for muslim consumers โดย Consumers Association of Penan g

ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์และเนื้อสัตว์แปรรูปกับมะเร็งกระเพาะอาหาร

ไม่ว่าจะเป็นการดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูป และการมีน้ำหนักเกิน ต่างก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ตามรายงานทางวิทยาศาสตร์ฉบับใหม่ที่จัดทำโดยสถาบันวิจัยโรคมะเร็งแห่งชาติอเมริกัน (American Institute for Cancer Research) และกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (World Cancer Research Fund)

รายงานจากโครงการอัปเดตปรับปรุงต่อเนื่อง (The Continuous Update Project) จัดทำขึ้นโดยสถาบันวิจัยโรคมะเร็งแห่งชาติอเมริกัน (American Institute for Cancer Research) และกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (World Cancer Research Fund)

นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอย่างเป็นระบบ หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติได้ประเมินผลอย่างเป็นอิสระ พบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารจำนวน 952,000 ราย ในปี 2012 หรือ 7% ของผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ทั้งหมด

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นสาเหตุอันดับที่สามของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง มีผลต่อผู้ชายเป็นสองเท่าเทียบกับผู้หญิง และเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติในหมู่ผู้สูงอายุ ซึ่งอายุเฉลี่ยของการวินิจฉัยผู้ป่วยเป็นโรคในสหรัฐอเมริกานั้นอยู่ที่ 72 ปี 

ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาอัตราการมีชีวิตรอดจากโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอยู่ที่ 25 – 28% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 63% หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งอาการจะไม่ปรากฏให้เห็นในระยะเริ่มแรกจนกว่ารอยโรคจะมีการเจริญเติบโตมากขึ้น และ 70% ของผู้ป่วยทั่วโลกจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเมื่ออยู่ในระยะท้าย ๆ ซึ่งส่งผลให้อัตราการรอดชีวิตลดลง โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกและจีน

การจำแนกโรคมะเร็งกระเพาะอาหารขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการเจริญเติบโตของเนื้องอก มะเร็งบริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (cardia stomach cancer) เกิดขึ้นบริเวณด้านบนสุดของกระเพาะอาหารใกล้หลอดอาหาร ส่วนมะเร็งที่ไม่ได้อยู่บริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (non-cardia cancer) นั้นเกิดขึ้นนอกเหนือจากบริเวณดังกล่าว

โรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่ไม่ได้อยู่บริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (non-cardia cancer) จะพบมากกว่าในทวีปเอเชีย แต่อัตราการเกิดโรคนั้นลดลง อาจเป็นเพราะอัตราการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) นั้นลดลง และผู้คนก็เริ่มใช้เครื่องทำความเย็นมากกว่าการใช้เกลือในการถนอมและรักษาอาหาร

อย่างไรก็ตาม มะเร็งบริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (cardia stomach cancer) เป็นโรคที่พบมากกว่าในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น

ผลการวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่า 11% ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารทั่วโลกนั้นมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่

การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (H. pylori) เป็นที่ทราบกันว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่ไม่ได้อยู่บริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (non-cardia cancer) และมีการศึกษาตรวจสอบที่อยู่ในระหว่างกระบวนการว่าสาเหตุของโรคอาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสเอปสตีนบาร์ หรือย่อว่า อีบีวี (Epstein-Barr virus: EBV) 

การรับการสัมผัสของสารเคมีในอุตสาหกรรมและการสัมผัสกับฝุ่นและอุณหภูมิสูงในสถานที่ทำงานก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน ผู้ที่ใช้เครื่องจักรในการผลิตอาหาร ผลิตยางพารา การแปรรูปไม้หรือโลหะ การผลิตโครเมียม และการทำเหมืองถ่านหินถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสูง

การศึกษาในปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของปัจจัยการดำเนินชีวิตบางอย่างที่มีต่อความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ข้อมูลนี้มีการสังเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์อภิมานข้อมูลกว่า 89 เรื่องจากผู้ใหญ่จำนวน 17.5 ล้านคน และผู้ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารอีก 77,000 คน

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
โดย Yvette Brazier จาก MedicalNewsToday.com:

ความคลุมเครือระหว่างสิ่งที่ฮาลาลและหะรอม

ในหะดีษของอบู อับดุลลอฮฺ อัล-นุอฺมาน อิบนุ บาชีร เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุมา กล่าวว่า จากอบูอับดุลลอฮฺ (อัน-นุอฺมาน บิน บะชีร) กล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงสิ่งที่อนุมัติ (หะลาล) นั้นชัดเจนและสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ก็ชัดเจนเช่นกัน และในระหว่างทั้งสองนั้นคือสิ่งที่คลุมเครือ ซึ่งผู้คนส่วนมากไม่รู้ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ระแวดระวังและปกป้องตัวเขาจากสิ่งที่คลุมเครือ แท้จริงเขาได้ให้ศาสนาและเกียรติของเขาบริสุทธิ์ และใครก็ตามที่ตกอยู่ในสิ่งที่คลุมเครือ ก็เสมือนกับว่าเขาได้ตกอยู่ในสิ่งที่ต้องห้าม เปรียบดังเช่นผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์อยู่รอบ ๆ บริเวณเขตหวงห้าม ซึ่งมันเกือบจะเล็ดลอดเข้าไปกินในเขตหวงห้ามอยู่แล้ว พึงทราบเถิดว่าทุก ๆ กษัตริย์ย่อมมีเขตหวงห้าม และพึงทราบเถิดว่า แท้จริงเขตหวงห้ามของอัลลอฮฺคือบรรดาสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย พึงทราบเถิดว่า ในร่างกายมนุษย์นั้น มีก้อนเนื้อชิ้นหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทั้งหมดก็จะดีตามไปด้วย และถ้าหากว่ามันเสีย ร่างการทั้งหมดก็จะเสียตามไปด้วย พึงทราบเถิดว่า มันคือ หัวใจ” (รายงานโดยอิหม่ามบุคอรียฺและมุสลิม)

:: คำศัพท์ ::
คำว่า ฮาลาล ได้เข้าไปอยู่ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษแล้ว ซึ่งในทางภาษาคำนี้หมายถึง อนุมัติ หรือ อนุญาต ส่วนคำศัพท์ทางเทคนิคจะหมายถึงชื่อที่กำหนดหมวดทางกฎหมายของสิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาตในอิสลาม ฮาลาลคือสิ่งที่ได้รับการอนุมัติด้วยอัล-กุรอานหรือสุนนะฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม

1.ฮาลาล
ตามข้อกำหนดของอิสลาม หลักการพื้นฐานแรกที่อิสลามได้วางไว้คือการถือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺทรงสร้างและประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากมันนั้นล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญกับมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นที่อนุมัติ ไม่มีสิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) นอกจากว่าตัวบทที่มีความถูกต้องและชัดเจนกล่าวว่ามันเป็นที่ต้องห้าม (นั่นหมายถึง อายะฮฺอัล-กุรอานที่รัดกุมชัดเจนกับหะดีษที่ศอเฮี้ยะฮฺ) 

ดังกล่าวนี้นำเราไปสู่ความเข้าใจที่ว่าขอบเขตของสิ่งหะรอม (สิ่งที่ต้องห้าม) นั้นเล็กน้อยมากในขณะที่ขอบเขตของสิ่งที่ฮาลาล (สิ่งที่อนุมัติ) นั้นกว้างขวางมาก

หะรอม ในทางภาษานั้น หมายถึง สิ่งต้องห้ามหรือผิดกฎหมาย ในศัพท์ทางเทคนิคหมายถึงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้อย่างชัดเจน ซึ่งปรากฎในอัล-กุรอานหรือในวจนะของท่านนบี มุฮัมมัด สำหรับคนที่ยุ่งอยู่กับมันนั้นมีแนวโน้มว่าจะประสบกับความเสียหาย

2.หะรอม
อันที่จริงแล้ว ตัวบทที่ชัดเจนและถูกต้อง (ทั้งในอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ) ในประเด็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในหลักนิติธรรมของอิสลามนั้นมีระดับที่แตกต่างกันกันในเรื่องหะรอม (สิ่งต้องห้าม) มีทั้งเรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก และเรื่องที่น่ารังเกียจ

อย่างไรก็ตาม ความชอบธรรมในการกำหนดฮาลาลและหะรอมนั้นเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว

3. ฮิมัน
ตามพจนานุกรมของอิสลามแล้ว “ฮิมัน” ในทางภาษาหมายถึง “ปกป้อง ห้าม” การที่ผู้ปกครองประเทศได้สงวนที่ดินส่วนหนึ่งเพื่อให้เป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์ส่วนตัว เจ้าชายทุกคนล้วนมี “ฮิมัน” ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามแก่ประชาชน และ “ฮิมัน” ถูกห้ามโดยเจ้าชายแก่คนทั่วไป กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นบริเวณสงวนไว้สำหรับสัตว์เลี้ยงของกษัตริย์อันเป็นที่ต้องห้ามสำหรับสัตว์อื่น ๆ ดังนั้นหากว่าสัตว์อื่น ๆ ละเมิดขอบเขตต้องห้ามของสัตว์โดยเข้าไปกินหญ้าผู้เป็นเจ้าของสัตว์นั้นย่อมจะถูกลงโทษ

นี่คือการเปรียบเทียบที่สวยงามที่แสดงให้เราเห็นว่าผู้ที่ฝ่าฝืนข้อต้องห้ามของอัลลอฮฺนั้นจะได้รับการลงโทษ

หะดีษเน้นย้ำจิตสำนึกของผู้ศรัทธา ซึ่งจะคอยตรวจสอบผู้ที่มีหน้าที่ดูแลที่จะต้องรับผิดชอบการงานและมองดูว่าได้ดำเนินการไปอย่างถูกต้องเหมาะสม พูดง่าย ๆ คือ มันเป็นเกณฑ์ที่จะแสดงให้เห็นถึงการยึดมั่นของมุสลิมในเรื่องฮาลาล ด้วยการหลีกห่างเรื่องหะรอม ตลอดจนการออกห่างจากการกระทำที่มีความคลุมเคลือ

:: ทางนำและศีลธรรม ::
หะดีษนี้กระตุ้นให้มุสลิมหลีกเลี่ยงการกระทำที่คลุมเครือ อันเนื่องจากว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะล่อลวงให้พวกเขากล้าที่จะกระทำสิ่งที่ต้องห้ามก็เป็นได้

หะดีษที่สำคัญนี้นำเราไปสู่การอ้างถึงหลักการเกี่ยวกับพฤติกรรมของมุสลิมและคอยมาควบคุมทั้งในแง่ปัจเจกบุคคลและในสังคม ส่วนหนึ่งได้แก่

1. ฮาลาลนั้นชัดเจนในอิสลาม เช่น สิ่งที่มีประโยชน์ทั้งหมดครอบคลุมถึงอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องประดับประดาที่ดี การแต่งงาน เป็นต้น เนื่องจากว่าหลักการพื้นฐานพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นที่อนุญาตตราบใดที่ไม่มีตัวบท (อัล-กุรอานและสุนนะฮฺ) ห้ามอย่างชัดเจน

2. หะรอมนั้นชัดเจนและมีข้อจำกัด เช่น เนื้อสัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อสุกร สิ่งมึนเมา การฆ่าคนบริสุทธิ์ การให้การเป็นพยานเท็จ การขโมย ความอกตัญญู การติดสินบน การผิดประเวณี การล่วงประเวณี ดอกเบี้ย คำสบถ การดูถูก การคดโกง การอิจฉาริษยา การเกลียดชัง การโกหกและอื่น ๆ ที่คนดีต้องละเว้น

3. อะไรก็ตามที่นำไปสู่หะรอมนั่นคือสิ่งที่หะรอมในตัวมันเอง

4. เจตนาที่ดีจะไม่อาจทำสิ่งหะรอมเป็นสิ่งฮาลาลให้เป็นที่ยอมรับได้

5. หะรอมเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับทุกคนเหมือน ๆ กัน

6. สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นข้อห้ามนั้นอันเนื่องจากความไม่บริสุทธิ์และเป็นโทษ

7. ความจำเป็นทำให้เกิดข้อยกเว้น

อย่างไรก็ตามหะดีษนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า “มีพื้นที่สีเทาระหว่างฮาลาลที่ชัดเจนและหะรอมชัดเจน นี่คือพื้นที่ของสิ่งที่คลุมเครือ (ชุบฮาต) บางคนอาจไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเรื่องใดที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับอนุญาต ความสับสนเช่นนี้ อาจเกิดจากหลักฐานที่คลุมเครือหรือเนื่องจากความคลุมเครือในเรื่องการประยุกต์ใช้ตัวบทกับสถานการณ์หรือประเด็นเฉพาะที่เป็นปัญหา

สำหรับเรื่องนี้ อิสลามถือว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่มุสลิมจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่มันคลุมเครือเพื่อที่จะมีจุดยืนที่ชัดเจนจากสิ่งที่หะรอม ดังกล่าวนี้คล้ายกับสิ่งที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการปิดกั้นลู่ทางซึ่งนำไปสู่สิ่งที่เป็นหะรอม (ต้องห้าม)

อีกประการหนึ่ง อนุมัติสำหรับมุสลิมคนหนึ่งที่จะจัดการกับทรัพย์สินจำนวนมากที่ฮาลาล ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานจากอาหารของเขา จนกว่ามุสลิมจะตระหนักถึงสิ่งที่หะรอม ดังที่เราถูกเรียกร้องให้หลีกห่างจากการกินสิ่งที่หะรอมเพราะจะทำให้หัวใจดำมืดและทำให้การงานนั้นเสียหาย .

หะดีษนี้กล่าวว่า การทำสิ่งที่ฮาลาล การออกห่างจากสิ่งที่หะรอม และการหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่คลุมเครือนั้นจะแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่แข็งแกร่งหนักแน่น ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการควบคุมของคนหนึ่งและเป็นแหล่งที่มาแห่งความดีงามและความชั่วร้าย

ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “คนที่ให้เพื่ออัลลอฮฺ ห้ามเพื่ออัลลอฮฺ รักเพื่ออัลลอฮฺ เกลียดเพื่ออัลลอฮฺ เขาได้บรรลุถึงศรัทธาที่สมบูรณ์แล้ว”

สุดท้าย หากว่าเรานำความโน้มเอียงและกิจกรรมต่าง ๆ ของเราไปสู่ความดีงามเพื่ออัลลอฮฺ ความศรัทธาของเราจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นทั้งภายในและภายนอก

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง

**ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับอาหารฮาลาล-หะรอม**

เหตุผลและคำอธิบายถึงอาหารที่ต้องห้ามในอิสลามและวิทยาศาสตร์

ตามหลักศรัทธาของอิสลามนั้น อัลลอฮฺ คือผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพ พระองค์มิทรงมีภาคีหรือสิ่งอื่นใดเทียบเคียง เงื่อนไขแรกของการเป็นมุสลิมคือการกล่าวปฏิญาณว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การสักการะบูชาเว้นแต่พระเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว (อัลลอฮฺ) เท่านั้น” ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอุทิศเพื่อผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นข้อท้าทายที่จะบดบังความเป็นจริงนี้

ดังนั้น คำอธิบายใด ๆ จึงไม่จำเป็นและมิได้เป็นที่ต้องการสำหรับการเชื่อฟังพระองค์ หลักพื้นฐานสำหรับข้อห้ามประเภทต่าง ๆ ที่ได้ระบุไว้ข้างต้นเป็นทางนำที่มาจากแสงสว่างแห่งอัลกุรอานที่มีความรัดกุมและบริสุทธิ์ยิ่ง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้พยายามศึกษาเพื่อทำการอธิบายและพิสูจน์เหตุผลของข้อห้ามบางส่วนบนพื้นฐานของความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ดังนี้

1. ซากสัตว์และสัตว์ที่ตายเองไม่เหมาะสมแก่การบริโภคเนื่องจากกระบวนการย่อยสลายได้นำไปสู่การก่อตัวของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

2. เลือดที่ไหลออกจากร่างกายมีแบคทีเรียที่เป็นอันตราย มีสารที่เกิดจากกระบวนการเมเเทบอลิซึม รวมจนถึงสารพิษ

3. สุกรทำหน้าที่เป็นพาหะของพยาธิที่สามารถนำโรคเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ การติดโรคผ่านอาหารด้วยพยาธิตัวกลมชนิดทริคิ-เนลล่า สไปราลิส (Trichinella spiralis) และพยาธิตืดหมู (Taenia solium) เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป นอกจากนี้ยังพบว่าองค์ประกอบของกรดไขมันที่มาจากสุกรไม่สามารถเข้ากันได้กับไขมันและระบบชีวเคมีของมนุษย์

4. สิ่งมึนเมาถือว่าเป็นอันตรายต่อระบบประสาทที่ส่งผลต่อประสาทสัมผัสและการตัดสินใจของมนุษย์ มีหลายกรณีที่สิ่งมึนเมาเหล่านี้เป็นต้นเหตุของปัญหาทางสังคม ปัญหาครอบครัว หรือแม้กระทั่งการสูญเสียชีวิต

แม้ว่าคำอธิบายเหล่านี้จะมีน้ำหนักมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม หลักการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังข้อห้ามเหล่านี้คือคำสั่งของผู้เป็นเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏในอัลกุรอานตามโองการต่าง ๆ มากมาย ดังที่ว่า “เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเจ้าที่จะ …” ซึ่งได้กำหนดทิศทางวิถีการดำเนินชีวิตให้แก่มุสลิมผู้ศรัทธา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ต่อมุสลิมทุกคนที่จะต้องนำมาเป็นวิถีปฏิบัติในชีวิต

……………………………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจากหนังสือ : Halal food production
โดย Mian N. Riaz, Muhammad M. Chaudry

ควรกินและดื่มอย่างไรให้มีผลดีต่อสุขภาพในช่วงเดือนรอมฎอน

คำตอบที่เพื่อนแพทย์ของเราได้ให้ไว้มีดังนี้

เป็นที่ทราบกันดีว่าคนที่รับประทานอาหารโดยขาดสมดุลในเดือนรอมฎอนจะก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพหลายประการ เช่น หมดเรี่ยวแรง อาการซึมเศร้า ปวดท้อง อาการท้องอืด และความดันโลหิตต่ำ และเป็นสิ่งที่ไม่ถูกหากไม่ยอมตื่นขึ้นมารับประทานอาหาร “สะฮูร” (การรับประทานก่อนรุ่งอรุณ) หรือการบริโภคอาหารที่เต็มไปด้วยไขมันในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่สมควรที่จะรับประทานหลายอย่างและมากเกินไปในช่วงเวลาละศีลอด (อิฟฏอร) หรือรับประทานอาหารจานด่วนหรืออาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและดื่มน้ำไม่พอเพียง สำหรับอิฟฏอรและซะฮูรนั้นอาหารเบาๆ ที่อุดมไปด้วยเส้นใยและผักจะต้องได้รับการบริโภคมากกว่าอาหารที่หนักและมีแต่ไขมัน

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับเดือนรอมฎอนมีดังนี้
1. เอาใจใส่ในการตระเตรียมตารางรายการในการละศีลอด ซึ่งควรเป็นอาหารที่สมดุลมีสารอาหารครบถ้วนสำหรับความต้องการด้านอาหารของร่างกาย

2. จงเริ่มละศีลอดด้วยอาหารเบาๆและจำนวนน้อย การกินอย่างตะกละจะทำให้ท้องตึง ในกรณีนี้ จะทำให้เกิดการปวดกระเพาะและลำไส้ เช่น อาหารไม่ย่อย อาการหนักกระเพาะอาหาร สภาพเป็นกรด อาการจุกเสียดท้อง คลื่นไส้ ท้องผูกและสำไส้บวม เพราะการถือศีลอดจะต้องละศีลอดด้วยอาหารอย่างเช่นอินทผลัม ชีส มะเขือเทศ มะกอกและขนมปังข้าวสาลีหรือจะเป็นอาหารเบาๆ อย่างเช่น ซุป จานผักที่มีเนื้อ และปล่อยให้ย่อยหลังจากนั้น 15-20 นาทีแล้วตามด้วยอาหารไขมันต่ำ เนื้อย่าง ถั่ว ผัก สลัด โยเกิร์ต เป็นต้น

3. จงเลือกอาหารที่มีค่าดรรชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวสาลีอบ ขนมปังโฮลวีตหรือพาสต้าโฮลวีต (เป็นอาหารที่มีคุณสมบัติดังกล่าวและเป็นอาหารที่หาได้ง่ายในพื้นที่…ผู้แปล) มากกว่าอาหารที่มีค่าดรรชนีน้ำตาลสูง ซึ่งจะเร่งให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพิ่มอย่างรวดเร็ว เช่น ขนมปังขาวและข้าวอบ 

4. รับประทานอย่างช้าๆแล้วเคี้ยวอาหารให้ละเอียด

5. ช่วงเวลาอิฟฏอรต้องรับประทานอาหารแบบเบาๆ ที่ปรุงด้วยการย่าง ต้ม หรืออบไอน้ำ มากกว่าการทอดและอาหารไขมันสูง

6. รับประทานของหวานเป็นนมดีกว่าของหวานหนัก ๆ

7. ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่ม 2-2.5 ลิตรหรือเครื่องดื่มในช่วงเวลาค่ำถึงเช้ามืด

8. หากต้องการรับประทานอาหารระหว่างมื้อควรเลือกเป็นผลไม้

9. ควรดื่มน้ำชาและกาแฟหนึ่งหรือสองชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหาร เนื่องจากมันจะทำให้ความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กลดลง

10. อย่าคิดว่าอาหารมื้อค่ำเพียงมื้อเดียวจะเพียงพอสำหรับการถือศีลอดตลอดทั้งวัน จงตื่นขึ้นมาเพื่อรับประทานอาหารสะฮูร โดยการรับประทานอาหารที่ไม่ต้องมาก ช่วงระหว่างการอดอาหารในเวลาหลายชั่วโมงระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตจะลดลง การหลั่งกรดในท้องที่ว่างเปล่าก็จะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ยืดออกไปของการอดอาหารในแต่ละวัน อัตราการเผาผลาญลดลง ทำให้ขาดพลังงานจนเกิดอาการปวดหัว ดังนั้นการรับประทานอาหารช่วงสะฮูรจะต้องไม่ถูกมองข้ามไป เพื่อจะได้ไม่เกิดความหิวในช่วงกลางคืนและกลางวัน

11. การรับประทานอาหารสะฮูรในปริมาณมากและหลายอย่างนับว่าเป็นเรื่องวิกฤตอย่างยิ่ง เพราะอัตราการเผาผลาญอาหารในช่วงสะฮูรนั้นจะช้าลง อาหารหนักซึ่งบริโภคในช่วงเวลานั้นส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน นอกจากนั้นแล้วใครก็ตามที่รับประทานอาหารหนักๆหลังจากนั้นแล้วเข้านอน สุดท้ายแล้วเขาอาจเกิดอาการปวดท้องรุนแรงได้ ดังนั้นควรรับประทานอาหารเบาๆอาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันและมีน้ำตาลเชิงซ้อน (Complex Sugar) ซึ่งพบในพืชประเภทข้าว ถั่ว ผัก ที่จะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว

มื้อเบาๆที่ประกอบไปด้วยนม ชีส มะกอก ขนมปังธัญพืช ซุป มะเขือเทศ แตงกวา พริก แยมหรืออาหารที่มีนม เกล็ดข้าวโอ๊ต ผลไม้ (อาหารที่หาได้ง่ายในพื้นที่…ผู้แปล) นั้นถือว่ามีความเหมาะสมมากที่สุด การดื่มน้ำประมาณ 2-2.5 ลิตร เนื่องจากไม่สามารถดื่มน้ำได้ตลอดทั้งวัน ดังนั้นต้องบริโภคน้ำให้มากๆในช่วงรับประทานสะฮูร

……………………………………………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก http://www.myreligionislam.com/

ขจัดปัญหาพุงยื่น

ลองนึกภาพเวลาที่คุณส่องกระจกขณะแปรงฟันแล้วคุณก็สังเกตเห็นว่าพุงของคุณเวลาเขย่านั้นมันเริ่มเด้งขึ้นลงไม่เหมือนปกติ?

นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่คุณเริ่มสังเกตเห็นว่าหน้าท้องของคุณเริ่มมีพุงยื่นออกมานิดหน่อยหรืออาจจะยื่นออกมามาก แต่นั่นเป็นเหตุผลที่คุณตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับเข้ายิมเล่นฟิตเนสอีกครั้ง 

หน้าท้องที่ใหญ่ขึ้นหรือบางครั้งเราก็เรียกมันว่าลงพุง ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของโรคอ้วนที่เป็นผลมาจากการสะสมไขมันส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นในบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่มักพบเป็นปกติในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ผู้หญิงนั้นมีแนวโน้มที่จะมีไขมันส่วนเกินในบริเวณสะโพกและต้นขามากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงจะลงพุงไม่ได้ 

การลดไขมันบริเวณหน้าท้องไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณดูดีขึ้น แต่มันยังเป็นเรื่องที่สำคัญต่อสุขภาพที่ดีของคุณอีกด้วย 

โรคอ้วนโดยทั่วไปมักทำให้คนอ่อนแอต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง แต่โรคอ้วนที่จำกัดอยู่ที่การลงพุงจะทำให้คนอ่อนแอต่อโรคเฉพาะบางอย่างมากยิ่งขึ้น

:: มายาคติที่มีต่อไขมัน ::
ถ้าคุณต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องของคุณ คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับความเข้าใจผิดบางอย่างที่เรามักพบกันบ่อย
อย่างแรก และสำคัญที่สุด ไม่มี “ยามหัศจรรย์” หรือ “อุปกรณ์วิเศษ” ใด ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเผาผลาญไขมันได้เร็วขึ้น มันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งต้องใช้ความมุ่งมั่นยืนหยัดเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ
อย่างที่สอง ที่คุณควรรู้คือ จำนวนการซิทอัพของคุณ ไม่ว่าจะทำไปจำนวนเท่าไหร่ก็ไม่ทำให้คุณกำจัดไขมันได้มากขึ้น คุณสามารถซิทอัพจำนวนหลายร้อยต่อวัน แต่ผลลัพธ์ที่คุณจะได้ก็คือกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งดั่งหินที่ซ่อนอยู่ภายใต้ไขมันชั้นต่าง ๆ ที่ซ้อนไว้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการออกกำลังกายนั้นไม่สำคัญ แต่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ
วิธีเดียวที่จะกำจัดไขมันได้ก็คือการเผาผลาญพลังงานให้ได้มากกว่าที่คุณรับประทาน นั่นคือช่วงเวลาเดียวที่ร่างกายจะใช้พลังงานที่เก็บไว้ในเซลล์ไขมัน

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ คุณจะต้องเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายและปรับปรุงวิถีชีวิตของคุณ หากคุณสามารถยืนหยัดรักษาพฤติกรรมเหล่านี้ได้ คุณจะประหลาดใจกับผลลัพธ์เชิงบวกที่ทำให้คุณเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องยาก 

เพื่อให้ภารกิจนี้ง่ายขึ้นสำหรับคุณ นี่เป็นเคล็ดลับบางอย่างที่คุณสามารถทำตามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

:: ระวังอาหารที่คุณกิน ::
หลีกเลี่ยงอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน คุณควรลดปริมาณแคลอรีทั้งหมดลง เพราะอย่างที่เรากล่าวมาก่อนหน้านี้ ถ้าร่างกายคุณไม่เผาผลาญมากกว่าที่คุณทานเข้าไป เซลล์ไขมันของคุณก็จะไม่หายไปไหน
พยายามแบ่งมื้ออาหารของคุณเป็น 5 – 6 มื้อเบา ๆ แทนการรับประทานอาหารทีเดียว 3 มื้อหนัก เมื่อร่างกายไม่ได้รับอาหารเป็นเวลานาน ร่างกายก็จะเข้าสู่โหมดอดอาหาร

ในช่วงเวลานี้ ร่างกายจะลดการทำหน้าที่เผาผลาญอาหารให้เบาลงมาก การรับประทานอาหารแบบปกติจะเพิ่มเมตาบอลิซึม เนื่องจากร่างกายจะไม่ต้องเข้าสู่โหมดอดอาหาร การรับประทานมื้ออาหารถี่ขึ้นนี้จะช่วยเผาผลาญไขมันมากขึ้นตลอดทั้งวัน

พยายามกินอาหารเช้าให้เร็วขึ้น พยายามให้เร็วที่สุดหลังจากตื่นขึ้นมา นี่คือการชดเชยความอดอันยาวนานขณะที่คุณกำลังนอนหลับในเวลากลางคืน

รับประทานอาหารมื้อใหญ่ในตอนเช้าและทานอาหารมื้อเล็ก ๆ ต่อไปจนกระทั่งเวลานอน นี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะอาหารที่กินในตอนเช้าจะถูกใช้ตลอดทั้งวันเพื่อสร้างพลังงาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณกินอาหารมื้อใหญ่ในตอนเย็น อาหารที่ทานส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้เป็นไขมันขณะที่คุณนอนหลับ เพราะมันไม่ได้ถูกใช้
ลด ละ เลิกอาหารขยะ ให้เปลี่ยนไปทานอาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการแทน อาหารขยะเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคอ้วนทั่วโลก นอกจากนี้ พยายามลดน้ำตาลทรายขาวและอาหารแปรรูปด้วย

คุณอาจจำเป็นต้องพัฒนาอีกหนึ่งนิสัยที่สำคัญที่สุดคือ ควรหยุดกินเมื่อรู้สึกอิ่มแล้ว อย่ากินมากจนทำให้ท้องแน่นเกินไป นอกจากมันไม่ดีต่อสุขภาพแล้วมันยังเป็นสาเหตุของการเพิ่มไขมันในร่างกายของคุณและทำให้คุณปวดท้องด้วย!

:: ระวังน้ำที่คุณดื่ม ::
เลิกดื่มเบียร์ ถ้าคุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่คุณจะเลิกดื่มมัน มีการเรียกพุงที่ยื่นออกมากันว่า “พุงเบียร์” แม้ว่าไม่มีความเข้าใจใดที่ช่วยอธิบายว่า เบียร์ที่ดื่มไปมันไปเพิ่มไขมันรอบ ๆ หน้าท้องได้อย่างไร

ถึงกระนั้น แพทย์ส่วนใหญ่ก็มีความเห็นตรงกันว่าระหว่างการดื่มเบียร์และไขมันหน้าท้องที่เพิ่มขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกันแน่นอน ความจริงอาจเป็นว่าเบียร์นั้นมีค่าแคลอรีที่สูงมาก ๆ

พยายามอย่าดื่มน้ำอัดลมด้วย น้ำอัดลมส่วนใหญ่มีค่าแคลอรีสูงประมาณ 150 แคลอรีต่อกระป๋อง ลองนับจำนวนกระป๋องที่คุณดื่มในทุก ๆ สัปดาห์สิ คุณจะตระหนักได้ว่าที่ดื่มไปทั้งหมดตลอดทั้งสัปดาห์ คุณอาจได้รับแคลอรีเพิ่มเป็นหลายพันแคลอรี

น้ำอัดลมสูตรไดเอ็ทหรือสูตรที่มีแคลอรีต่ำก็ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่นกัน วิธีที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเหล่านี้ทั้งหมด แล้วไปหาน้ำผลไม้สดดื่มแทน น้ำผลไม้สดนั้นมีรสชาติที่ดีและเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพด้วย มันทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่มอาหารว่างที่สนุกสนานและเติมเต็มระหว่างมื้ออาหารได้ดี

พยายามดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณตื่นขึ้นมาและก่อนเข้านอน น้ำสะอาดคือราชา นี่คือกฎทองคำ น้ำสะอาดจะช่วยลดขั้นตอนการเผาผลาญไขมันและขับสารพิษออกจากร่างกาย

หากร่างกายของคุณมีน้ำน้อยหรือขาดน้ำระหว่างวัน ร่างกายจะลดการเผาผลาญพลังงาน หมายความว่ากระบวนการกำจัดไขมันนั้นลดลง หากคุณออกกำลังกายก็ให้แน่ใจว่าคุณได้ดื่มน้ำสะอาดมากเพียงพอ เพราะคุณจะสูญเสียน้ำจำนวนมากจากเหงื่อที่ไหลออกมา

ลองหาชาเขียวมาดื่ม ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มทดแทนกาแฟหรือชาดำได้ดีมาก มันอุดมไปด้วยสารที่ชื่อว่าแคทีชิน (catechin)

งานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปีค.ศ. 2005 ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า แคทีชิน สามารถช่วยในกระบวนการลดน้ำหนักผ่านการกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีและลดไขมันในร่างกาย ชาเขียวยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านไวรัส และต้านมะเร็งอีกด้วย

:: ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคุณ ::
พยายามใช้บันไดมากกว่าลิฟต์หรือบันไดเลื่อน ให้ลองคิดซะว่าเป็นการออกกำลังกายที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรือเวลาใด ๆ ในการทุ่มเท

สร้างนิสัยให้ตัวเองเดินเร็วมากขึ้น คุณอาจจะจอดรถของคุณให้ไกลจากที่ทำงานขึ้นสัก 1 – 2 ช่วงตึกในตอนเช้า ถ้าคุณใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ก็ลองลงก่อนสัก 1 – 2 สถานีจากสถานีเป้าหมายของคุณ แล้วลองเดินต่อในระยะทางที่เหลือ

นอกจากวิธีจะทำให้สดชื่นแล้ว มันยังช่วยเผาผลาญพลังงานในร่างกาย หากปฏิบัติควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้มีแคลอรีต่ำลงนั้นจะช่วยให้ร่างกายมีโอกาสเผาผลาญเซลล์ไขมันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

:: ออกกำลังกายให้ถูกวิธี ::
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ การซิทอัพและเคร้าชิ่งเป็นเพียงมายาคติที่เรามักเชื่อกันผิด ๆ ว่ามันคือวิธีการกำจัดไขมันหน้าท้อง ขณะที่ความเป็นจริงนั้น การกำจัดไขมันที่ดีคือการที่คุณต้องออกกำลังกายที่ทำให้เสียเหงื่อ

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (cardio) หรือที่มักเรียกกันว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (การออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน) เป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการกำจัดไขมัน ซึ่งการออกกำลังกายประเภทนี้ประกอบไปด้วยการออกกำลังกายด้วยวิธีต่าง ๆ มากมาย เช่น การวิ่ง การเดินเร็ว การว่ายน้ำ การขี่จักรยาน และการกระโดดเชือก
นอกจากนี้ ยังมีการออกกำลังกายทางเลือกใหม่ ๆ ที่เป็นกระแสนิยมอย่างการเต้นแอโรบิค ซึ่งเป็นวิธีที่สร้างความสนุกสนานและยังช่วยลดน้ำหนักไปในตัว

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำการออกกำลังกายแบบแอโรบิคโดยให้ใช้ระยะเวลา 20 ถึง 50 นาที ประมาณ 3 – 5 ครั้งต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายแบบนี้นอกจากจะเพิ่มเมตาบอลิซึมแล้ว มันยังช่วยเผาผลาญแคลอรีเพื่อนำมาไปใช้เพิ่มพลังงานให้กับร่ายกายให้มีมากขึ้น การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น การลดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลก
การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิค (การออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน) เช่น การยกเวท อาจมีผลดีต่อร่างกายของคุณ เพราะมันจะช่วยเพิ่มอัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวันของคุณ (Basal Metabolic Rate : BMR)

อัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวัน (BMR) คือปริมาณพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญในเวลาที่ไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อรักษาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ทำตามหน้าที่ การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิคจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อของคุณ ซึ่งจำเป็นต้องรับพลังงานเข้ามามากขึ้น

การเพิ่มอัตรา BMR จึงหมายความว่าร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การลดไขมันสะสมที่มีอยู่ในร่างกายของคุณ 
เปิดใช้งานระบบการฝึกหายใจ หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแถมยังเรียบง่ายเพื่อให้มีหน้าท้องที่แบนเรียบ

สิ่งที่คุณต้องทำคือให้เอานิ้ววางลงบนหน้าท้องแล้วกดสะดือลงไปขณะที่กำลังหายใจตามธรรมชาติ

แล้วให้ลองดูว่าคุณสามารถทำได้นานแค่ไหน และพยายามทำให้ได้มากขึ้นเพิ่มทุกวัน สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการฝึกหายใจนี้ก็คือคุณสามารถทำมันได้ทุกที่ไม่ว่าคุณจะกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ กำลังยืน หรือกำลังเดิน ลองตั้งนาฬิกาในคอมพิวเตอร์หรือในโทรศัพท์ของคุณระหว่างวันเพื่อแจ้งเตือนให้คุณ “เปิดใช้งานระบบการฝึกหายใจ” 

:: ทัศนคติที่ถูกต้อง ::
แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะฟังดูล้นเกินไปบ้างก็ตาม แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุวิถีชีวิตที่ดี หากคุณมีชุดความคิดต่อการดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะค่อย ๆ เรียนรู้ได้อย่างธรรมชาติว่าอาหารใดบ้างที่ไม่ดีสำหรับคุณ ยิ่งไปกว่านั้นคุณจะเรียนรู้ที่จะรู้สึกว่าคุณไม่อยากรับประทานอาหารเหล่านี้อีกต่อไป

การปรับตัวให้คุณยอมสละเวลามาออกกำลังกายให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่มีตารางงานที่แสนยุ่งเหยิงของคุณอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนการออกกำลังกายมาเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่สนุกสนาน หรือกิจกรรมที่สามารถกระทำร่วมกันกับเหล่ามิตรสหายของคุณแล้ว การรักษาวิถีชีวิตแบบนี้ก็จะมีความง่ายมากขึ้นที่จะยืนหยัดในระยะยาว

และความลับของเรื่องนี้คือ การที่คุณเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของการรักษาความต่อเนื่องในระยะยาว คุณต้องตัดสินใจว่าการลดไขมันหน้าท้องจะต้องใช้เวลา มันไม่มีทางที่ (มัก) ง่าย หรือทางลัดใด ๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปในชีวิตของคุณจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถรักษาวิถีชีวิตใหม่ของคุณได้ และในที่สุด พฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้ก็จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคุณด้วย

ภายในเวลาไม่ถึง 10 สัปดาห์ คุณจะเห็นสัญญาณของการหดตัวของไขมันในกระเพาะอาหาร หน้าท้องของคุณจะแบนราบลง และคุณก็จะนำเสื้อผ้าที่คุณยัดเก็บไว้หลังตู้มาเป็นเวลานานมาสวมใส่ได้อย่างสบายใจ!

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
โดย มุฮัมมัด ยะหฺยา AboutIslam.net

การให้อาหารแก่สัตว์ : ประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม

โดย ดร.มุฮัมมัด มุนีร เชาดรี, ดร.ชัยค์ญะอฟัร เอ็มอัลกุเดอรี, ดร.อะหมัด ฮุซเซน ศ็อกร์ 

มีความสับสนและคำถามมากมายเกี่ยวกับกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ เราลองมาพิจารณาในบางประเด็นและชี้แจงคำถามบางส่วน 

มีฟาร์มจำนวนมากที่มีการเติมอาหารเสริมโปรตีน (protein supplement) ในอาหารสัตว์ การปฏิบัติเหล่านั้นมิได้จำกัดเพียงแค่ฟาร์มขนาดใหญ่ที่เลี้ยงแบบเปิด แต่ยังรวมไปถึงฟาร์มที่เลี้ยงแบบปิด อาหารเสริมโปรตีนอาจใช้โดยเจ้าของฟาร์มที่อ้างว่าเลี้ยง โดยการปล่อยสัตว์ปีกและปศุสัตว์ให้อาหารอย่างอิสระ หรือการเลี้ยงนอกกรงนั่นเอง โปรตีนเสริมเหล่านี้ผลิตมาจากเศษเนื้อที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์และอาจมีส่วนประกอบอื่นๆรวมอยู่ด้วย นักวิชาการและผู้บริโภคส่วนมากรู้สึกว่าการให้อาหารด้วยเศษเนื้อดังกล่าวแก่สัตว์ที่ฮาลาลไม่น่าจะเป็นที่อนุญาต บางส่วนเห็นว่าเทียบเท่ากับอัลญะลาละฮฺ (ซากสัตว์)

อัลญะลาละฮฺได้รับการนิยามว่าหมายถึงสัตว์ที่มักจะกินของเสียเป็นหลัก ซึ่งไม่มีความเห็นแตกต่างในความหมายของคำนี้ ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ห้ามรับประทานเนื้อและนมของสัตว์ญะลาละฮฺ ท่านยังห้ามแม้แต่การขี่มัน นักนิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นแตกต่างกันต่อน้ำหนักของการห้าม ทรรศนะของอิมามชาฟิอีย์ถือว่าห้ามโดยเด็ดขาดที่จะรับประทานเนื้อของสัตว์ชนิดนี้ อย่างไรก็ตามทรรศนะของอิมามอบู หะนีฟะฮฺ, อิมามมาลิกและอิมามอะหมัด อิบนุฮันบัลถือว่าการห้ามนี้มิได้ถึงขั้นเด็ดขาดโดยถือเป็นมักรูฮฺ (ไม่ควรรับประทานแต่ไม่ถึงขั้นต้องห้าม) 

สำหรับผู้ที่ถือว่าอาหารเสริมโปรตีนเหล่านี้เป็นญะลาละฮ์เชื่อว่าสัตว์ใดก็ตามที่กินอาหารเสริมนี้ถือว่าสัตว์ตัวนั้นเป็นญะลาละฮฺ เนื่องจากอาหารสัตว์ส่วนใหญ่ในตะวันตกมักจะมีสารกสัดจากสัตว์ พวกเขาสรุปว่ามุสลิมไม่สามารถบริโภคเนื้อที่มาจากอเมริกาเหนือ 

ในความเป็นจริงสัตว์จำพวกญะลาละฮฺเป็นสัตว์ที่มักจะอยู่ใกล้ ๆ กับกองขยะหรือบ่อน้ำทิ้ง อาหารส่วนใหญ่ของพวกมันคือ “ญุลละฮ์” หมายถึงอุจจาระ ของเสียต่าง ๆ ตลอดจนซากสัตว์ตายหรืออื่นๆที่คล้ายกัน พวกสัตว์เหล่านี้มักจะมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เนื้อและนมตลอดจนกลิ่นประจำตัวที่แรง อย่างไรก็ตามหากสัตว์ญะลาละฮ์ได้รับการกักและให้อาหารที่สะอาด, เป็นอาหารทั่วไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น เนื้อของมันสามารถนำมารับประทานได้ ช่วงเวลาดังกล่าวอาจมีระยะเวลาตั้งแต่ 3 วันจนไปถึง 40 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของสัตว์ตัวนั้น 

สิ่งที่ควรทราบ คือ สัตว์ทุกชนิดจะกินสิ่งสกปรกหรือชองเสียบางอย่าง แม้ว่ามันจะกินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าหรือทุ่งเลี้ยงสัตว์เป็นหลักก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองนักนิติศาสตร์จึงได้เน้นว่า ญะลาละฮฺเป็นสัตว์ที่กินของเสียเป็นหลัก อย่างไรก็ตามหากพวกมันกินอาหารเหล่านั้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือกินเพียงเล็กน้อย เนื้อของมันจะไม่ถือว่าหะรอม จากหลักการนี้จะเห็นว่าการสรุปว่าเนื้อทั้งหมดที่มาจากอเมริกาเหนือเป็นญะลาละฮฺนั้นเป็นการสรุปที่เลยขอบเขตมากไป เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วอาหารของพวกมันเป็นธัญพืช หญ้าแห้งหรือเมล็ดพืชต่างๆ

เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดเปอร์เซ็นต์วัตถุดิบผลพลอยได้ (by-products) จากสัตว์ที่จะใช้ในอาหารสัตว์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่นชนิดของสัตว์ที่จะให้อาหาร จุดประสงค์ของการให้อาหาร ราคาของวัตถุดิบผลพลอยได้ คุณภาพของโปรตีนและลักษณะการเลี้ยงว่าเลี้ยงในคอกหรือที่ขุนอาหารสัตว์หรือไม่ นอกจากนั้นแล้วประเทศกำลังพัฒนาจะใช้ผลพลอยได้จากสัตว์น้อยมากในการให้อาหารและประเทศยุโรปบางประเทศได้ห้ามนำเข้าด้วยเหตุผลว่ามีการกระทำทารุณต่อสัตว์ เพื่อป้องกันการเกิดและระบาดของโรควัวบ้าในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลได้ออกกฎหมายห้ามใช้โปรตีนส่วนใหญ่ที่มาจากสัตว์ในการให้อาหารแก่สัตว์เคี้ยวเอื้อง แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้มิได้นำไปใช้กับสัตว์ปีก 

เมื่อวัตถุดิบผลพลอยได้จากสัตว์ถูกนำไปใช้ มันจะผ่านกระบวนการจัดเตรียมที่ใช้เวลานาน ซึ่งรวมไปถึงการการให้ความร้อนภายใต้แรงดันสูง การบดและการสกัด สัตว์ที่เป็นอาหารมนุษย์นี้จะไม่กินสัตว์ด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาอาจให้อาหารที่เป็นชิ้นเนื้อดิบๆจากวัตถุดิบผลพลอยได้แล้วผ่านการแปรรูปเป็นอาหารเสริมแล้วนำไปเติมในอาหารสัตว์ในปริมาณที่มากนัก

โดยสรุป การใช้วัตถุดิบผลพลอยได้เพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์มิได้ทำให้อาหารนั้นเป็น “ญุลละฮ์” ดังนั้นสัตว์ที่กินอาหารเหล่านี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็น ญะลาละฮฺ ขณะที่มีความแตกต่างทางความเห็นว่าสัตว์ญะลาละฮ์หะรอมหรือไม่ ผู้บริโภคจำนวนมากไม่นิยมรับประทานสัตว์ที่อาหารของมันเป็นวัตถุดิบผลพลอยได้จากสัตว์ (เศษซาก) แม้แต่หน่วยงานด้านเกษตรกรรมของรัฐบาลบางหน่วยงานรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจเจอโรคเนื่องจากวัตถุดิบที่เติมในอาหารสัตว์ดังกล่าว จนทำให้นักวิชาการมุสลิมต้องออกมาฟัตวาในเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องยากในการที่จะรับรองเนื้อและสัตว์ปีกดังกล่าวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้บริโภคจำนวนมากจึงหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ออแกร์นิกเช่นเนื้อหรือสัตว์ปีกออแกร์นิก นี่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคอาหารฮาลาล ตราบใดที่กระบวนการจัดการมีความสอดคล้องกับแนวทางทีอิสลามได้กำหนดไว้ เมื่อผู้บริโภคหันมาบริโภคอาหารออแกร์นิกมากขึ้น กฏของอุปสงค์อุปทานจะเปลี่ยนทิศทางของตลาดจากเดิม สิ่งที่เราหวังไว้อย่างสูง คือ การเปิดเผยกระบวนการในการผลิตอาหารเพื่อที่ผู้บริโภคแต่ละคนจะสามารถตัดสินใจเลือกผ่านข้อมูลไม่ว่าจะยอมรับหรือปฎิเสธอาหารประเภทนี้

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา www.eat-halal.com

การให้อาหาร

การให้อาหารในสูเราะห์ อัล อินซาน
นี่คือการแสดงออกถึงความเมตตาของอัลลอฮที่กล่าวถึงการให้อาหารในสูเราะห์ที่มีชื่อว่า “อัล อินซาน” อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ตรัสความว่า “และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก” (อัล กุรอาน 76:8)

อิบนุ อับบาส และมุญาหิด รอฮิมาฮุมุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “โองการนี้ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาให้อาหารแก่ผู้ขัดสน เด็กกำพร้า และเชลยศึก แม้ว่าจะขาดแคลนอาหารทั้ง ๆ ที่พวกเขารักและมีความต้องการอาหารเหล่านั้น”

:: แล้วท่านกับอาหารของท่านล่ะ? ::

การให้อาหารแก่ผู้ที่หิวโหยนับว่าเป็นการงานที่ประเสริฐยิ่งในยุคของเรา อัลลอฮ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ตรัสความว่า “หรือการให้อาหารในวันยากลำบากด้วยความหิวโหย” (อัล กุรอาน 90:14) อัน นะเคาะอีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวถึงโองการนี้ว่า
“พวกเขาได้ให้อาหารผู้หิวโหยในช่วงเวลาที่เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร”
มุฮัมมัด อิบนุ อัล มุนกะดิร รอฮิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “มุสลิมผู้ให้อาหารผู้หิวโหยจะได้รับประกันการอภัยโทษสำหรับความผิดบาปของเขา”
ท่านยังได้กล่าวในอีกวาระหนึ่งว่า “การให้อาหารผู้หิวโหยและการใช้คำพูดที่ดีงามต่อผู้อื่นจะเป็นการงานที่นำพาผู้ปฏิบัติไปสู่สวรรค์”

พี่น้องที่รัก ท่านอาจสังเกตเห็นว่าในยุคสมัยของเรา ในประเทศมุสลิมบางประเทศได้กลายเป็นยุคแห่งความอดอยากหิวโหยอย่างรุนแรง ขาดแคลนอาหารและเนื้อสัตว์ก็หาได้ยากและมีราคาสูงมากสำหรับคนยากจน
แล้วท่านล่ะ ท่านผู้อ่านที่รัก? ท่านรับประทานอาหารอะไร?

:: คำสั่งใช้ที่ชัดแจ้ง ::
การให้อาหารผู้คนทั่วไปและโดยเฉพาะผู้ที่อดอยากหิวโหยได้รับการกล่าวถึงอย่างชัดเจนโดยคำสั่งของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม อบู มูซา อัล อัชอารีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้รายงานว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า 
“จงให้อาหารคนที่หิวโหย จงเยี่ยมเยียนคนป่วย และจงปลดปล่อยทาส”

[เศาะฮิฮฺ] มีรายงานว่า “การบริจาคทานที่ดีที่สุดคือการเติมเต็มความต้องการของบรรดาผู้ที่อดอยากหิวโหย” อนิจจา มุสลิมอาจนั่งอยู่ที่โต๊ะอิฟฏอรฺกับอาหารอันโอชะแสนอร่อยมากมาย ในขณะที่เพื่อนบ้านของเขาละศีลอดด้วยอาหารเพียงไม่กี่คำหากพวกเขาสามารถหามาได้ !

:: บรรดาศอฮาบะฮฺ รอฮิมาฮุมุลลอฮฺ ::
บรรดาศอฮาบะฮฺ รอฮิมาฮุมุลลอฮฺ กระตือรือร้นที่จะเลี้ยงอาหารผู้คนและชื่นชอบที่จะประกอบการงานนี้เพื่ออัลลอฮฺต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนยากจนที่อดอยากหิวโหย หรือเลี้ยงอาหารมุสลิมที่ดี ความยากจนไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการเลี้ยงอาหารนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า 
“โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย! จงแพร่กระจายสลามในหมู่พวกท่าน ให้อาหารคนหิวโหย รักษาสายสัมพันธ์เครือญาติ ยืนละหมาดในยามค่ำคืนในขณะที่ผู้คนกำลังหลับไหลและท่านจะเข้าสู่สวรรค์อย่างสันติ”
ศอฮาบะฮฺบางท่าน รอฮิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “เป็นการดีกว่าสำหรับฉันที่จะเชื้อเชิญให้เพื่อนของฉันสิบคนกินอาหารอร่อย ๆ ที่พวกเขาชอบ มากกว่าการปลดปล่อยทาสสิบคนจากลูกหลานของอิสมาอีล อะลัยฮิสสลาม (หมายถึงทาสที่เป็นชาวอาหรับ)”
อบู อัส สิวารฺ อัล อะดะวีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “ชายบางคนจากเผ่าอุดัยย์ เคยละหมาดในมัสยิดนี้ และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเขาที่จะละศีลอดเพียงคนเดียว หากเขาพบผู้ที่จะร่วมมื้ออาหารกับเขา เขาจะกินอาหารนั้น และหากเขาไม่พบผู้ใดที่จะร่วมมื้ออาหารกับเขา เขาจะเก็บอาหารไว้และไปที่มัสยิดเพื่อแบ่งปันกับผู้คนที่มัสยิดนั้น”

:: ผลจากการให้อาหารผู้อดอยากหิวโหย ::
การเคารพสักการะผู้เป็นเจ้าด้วยการเลี้ยงอาหารแก่ผู้ที่อดอยากหิวโหยได้ทำให้เกิดการงานที่ดีงามอื่น ๆ ตามมา เช่น การแสดงความรักต่อเพื่อนมุสลิมที่เขาเลี้ยงอาหาร และนี่อาจเป็นเหตุผลให้เขาได้รับสรวงสวรรค์ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า 
“พวกท่านจะไม่ได้เข้าสวรรค์ตราบใดที่พวกท่านไม่ได้ยืนยันในความศรัทธา (ทุกสิ่งที่เป็นหลักศรัทธา) และท่านจะยังไม่ศรัทธาตราบใดที่พวกท่านไม่รักใคร่ซึ่งกันและกัน” [มุสลิม]

นอกจากนี้ ผลบุญก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นสำหรับบุคคลที่อาศัยอยู่ท่ามกลางผู้ทรงธรรมและหวังผลตอบแทนจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา จากการให้อาหารแก่พวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้มีกำลังวังชาเพื่อใช้ในการประกอบศาสนกิจต่าง ๆ 

:: กระเช้าอาหาร ::
ศอฮาบะฮฺ บางท่านเคยให้กระเช้าใส่ของหวานหรืออาหารอื่น ๆ ให้แก่มิตรสหายของเขา ยูนุส อิบนุ อุบัยด์ กล่าวว่า “ฉันได้มอบตะกร้าของหวานให้กับ อัล หะสัน อัล บัศรีย์ เป็นของขวัญ และฉันไม่เห็นของหวานใดที่ดีกว่านี้ ท่านได้เปิดตะกร้าและพูดกับสหายของท่านว่า “รับประทานให้อร่อยเถิดสหาย”

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก islamweb.net

การถือศีลอดกับความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ – ตอนที่ 3

ต่อไปนี้ คือ หลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญยิ่งถึงความเชื่อและความเข้าใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการอดอาหาร

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ด้านสรีรวิทยาได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า การถือศีลอดในอิสลามนั้นเป็นเรื่องง่าย ในระหว่างที่อดอาหารร่างกายจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ในทางตรงกันข้าม ร่างกายกลับได้รับประโยชน์มากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในภาวะปกติเว้นแต่จะมีการอดอาหาร การอดอาหารของมุสลิมนั้นสะดวกง่ายดายมากสำหรับร่างกาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา กล่าวความว่า “… อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า …” (อัล กุรอาน 2:185) ตามที่อัรรอซีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ทรงกำหนดให้การถือศีลอดเป็นไปในลักษณะที่สะดวก ง่ายดาย และกระทำเพียงไม่กี่วันในรอบปี นอกจากนี้พระองค์ไม่ไดักำหนดการอดอาหารในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้เป็นที่บังคับแก่ผู้ป่วยหรือผู้เดินทาง”

ความสะดวกง่ายดายนี่เองที่ชัดเจนในความจริงที่ว่าร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ในการถือศีลอด มนุษย์จะงดเว้นจากอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลาที่จำกัด โดยเริ่มจากช่วงเวลากลางวันตั้งแต่รุ่งสางไปจนถึงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และในช่วงเวลากลางคืนเขามีอิสระที่จะดื่มและรับประทานอาหารต่าง ๆ ดังนั้นการถือศีลอดคือการเปลี่ยนแปลงเวลาที่เรารับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้

อัลลอฮ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ได้ให้มีการสะสมพลังงานในร่างกายของมนุษย์ซึ่งพอเพียงแก่เขาในกรณีที่มีการงดเว้นอาหารหนึ่งถึงสามเดือนซึ่งในระหว่างนั้นเขาอาจจะไม่ได้รับประทานอาหารเลย จากข้อมูลนี้มีสถานพักฟื้นผู้ป่วยระดับประเทศได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ โดยใช้วิธีที่เรียกว่าการอดอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งในระหว่างการรักษา ผู้อดอาหารเพื่อสุขภาพหรือผู้ป่วยจำเป็นต้องงดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดยกเว้นเพียงน้ำสะอาด

การถือศีลอดของอิสลามจะอยู่ระหว่าง 12 ถึง 16 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงระยะเวลาระหว่างถือศีลอดนี้ 5 ชั่วโมงจะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้รับการดูดซึมหลังรับประทานอาหาร และช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่เหลืออีกประมาณ 12-14 ชั่วโมงหลังจากการดูดซึมสารอาหาร การอดอาหารในช่วงเวลานี้ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความปลอดภัยตามมาตรฐานการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ในช่วงนี้กลไกการดูดซึมทั้งหมดจะถูกกระตุ้น และการเผาผลาญอาหารจะสมดุล ก่อให้เกิดกลไกที่ทำให้ไกลโคเจนสลาย ไขมันก็จะถูกออกซิไดซ์และสลายด้วยเช่นกัน จากนั้นโปรตีนก็จะสลาย เป็นเหตุให้กลูโคสต้องก่อรูปขึ้นใหม่ ไม่มีความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลในแต่ละการทำงานตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ไขมันจะไม่ถูกออกซิไดซ์มากถึงระดับที่จะสร้างประจุแคทไอออนนิคที่เป็นอันตราย ภาวะไม่สมดุลของไนโตรเจนเป็นลบก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการเผาผลาญของโปรตีน ส่วนเซลล์สมอง เซลล์เม็ดเลือดแดง และระบบประสาทนั้นจะใช้กลูโคสเท่านั้นเป็นแหล่งพลังงาน

ดังนั้น การอดอาหารทางการแพทย์หรือการถือศีลอดทางการแพทย์จึงเป็นเรื่องที่มากกว่าการเปิดใช้งานกลไกเหล่านี้ และบางครั้งก็อาจมากไปจนถึงขั้นตั้งใจให้เกิดภาวะที่ไม่สมดุลในการทำงานของอวัยวะบางอย่างในร่างกาย นี่คือเหตุที่นบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ห้ามไม่ให้ทำการอดอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพื่อให้ง่ายดายในการปฏิบัติและเพื่ออำนวยความสะดวกในการถือศีลอดแก่ประชาชาติของท่าน ด้วยประการนี้ เซลล์ของร่างกายจึงทำงานไปตามธรรมชาติแม้ว่ากำลังอดอาหารอยู่ และเซลล์ก็ได้รับสิ่งที่ต้องการทั้งหมดจากพลังงานสำรองขนาดใหญ่ในร่างกาย กระบวนการทางโภชนาการในร่างกายจึงไม่ได้หยุดทำงาน เพียงแต่กระบวนการย่อยอาหารและการดูดซึมเท่านั้นที่ถูกพักในระหว่างการถือศีลอด

การถือศีลอดของอิสลามถือว่าเป็นรูปแบบการเผาผลาญอาหารที่พิเศษ เนื่องจากประกอบด้วยขั้นตอนทั้งสองด้านของการสร้างและการรื้อสร้าง หลังจากมื้อของอิฟฏอรฺ (มื้ออาหารละศีลอดในช่วงตะวันลับฟ้า) และมื้อของสะหูรฺ (มื้ออาหารก่อนรุ่งอรุณ) กระบวนการสร้างพลังงานที่สำคัญนั้นเริ่มต้นที่เซลล์ แหล่งพลังงานสำรองก็จะได้รับการสร้างใหม่เมื่ออาหารที่ได้จากการบริโภคถูกนำไปใช้ผลิตเป็นพลังงาน หลังจากการดูดซึมของอาหารในช่วงสะหูรฺ ระบบได้ดึงเอาพลังงานจากการสลายไกลโคเจนและไขมันซึ่งเป็นแหล่งสะสมพลังงานสำรองในร่างกายไปใช้ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานที่จำเป็นในระหว่างการเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมตลอดวันที่อดอาหาร นี่คือเหตุผลที่ท่านนบีกำชับให้เรารับประทานอาหารสะหูรฺ เพื่อที่จะให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ใช้ในการสร้าง และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่านนบีส่งเสริมให้เรายืดเวลาสะหูรฺให้ล่าช้าและให้รีบเร่งในการละศีลอดเมื่อได้เวลา เพื่อไม่ให้ระยะเวลาหลังจากกระบวนการดูดซึมล่วงเวลานานเกินไป ดังนั้น การถือศีลอดของมุสลิมจึงไม่ได้นำไปสู่ความยากลำบากหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม ในทางตรงกันข้าม การอดอาหารกลับช่วยเพิ่มความอึดในการออกกำลังกาย และเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อ

จากการทดลองที่ได้ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชำนาญในด้านนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ระบุโดยการอ้างอิงถึงผลการทดลองว่า จำนวน 30% ของผู้ทดลองอดอาหาร ความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อกลุ่มนี้ดีขึ้น 20% และอีก 40% ของผู้ทดลองอดอาหาร ความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อกลุ่มนี้ดีขึ้น 7% และผลลัพท์อื่น ๆ ที่ได้จากผู้ทดลองอดอาหารกลุ่มนี้พบว่า อัตราการเต้นของหัวใจดีขึ้น 6% ผลจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนความดันโลหิตด้วยอัตราความเร็วของชีพจรดีขึ้น 12% ความถี่ของการหายใจลดลง 9% ความรู้สึกตึงปวดเมื่อยขาลดลง 11% เราจะเห็นได้ว่า การทดลองที่น่าอัศจรรย์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อที่ผิดพลาดของผู้คนจำนวนมากที่เข้าใจว่าการอดอาหารทำให้ร่างกายอ่อนแอและส่งผลเสียต่อการดำเนินกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ดังนั้นพวกเขาจึงมักพักผ่อนและรู้สึกเกียจคร้าน และพวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในวันที่อดอาหารไปกับการนอนหลับและการอยู่เฉย ๆ 

แล้วใครล่ะที่เป็นคนบอกท่านนบีมุฮัมมัดถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ในการอดอาหาร? แล้วใครล่ะที่เป็นคนบอกท่านว่าในการอดอาหารนั้นมีการป้องกันทั้งโรคทางสุขภาพจิตและโรคทางสุขภาพกาย? ใครกันที่บอกท่านถึงข้อเท็จจริงว่าการอดอาหารช่วยลดความต้องการทางเพศและช่วยลดแรงกระตุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่มสาว? ใครกันที่บอกท่านว่าการถือศีลอดนั้นมีประโยชน์และเป็นผลดีต่อผู้ที่มีความสามารถตามบทบัญญัติว่าถือศีลอดได้นอกจากผู้ป่วยและผู้ได้รับการผ่อนผัน? ใครบอกท่านหรือว่าการถือศีลอดเป็นเรื่องง่ายและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและไม่ทำให้เกิดความยากลำบาก ทั้งที่ท่านถูกเลี้ยงและโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่การอดอาหารนั้นไม่เคยเป็นที่รู้จักหรือได้รับการปฏิบัติมาก่อน?

ผู้ที่บอกให้ท่านทราบถึงเรื่องเหล่านี้คืออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา พระองค์ได้เปิดเผยให้ศาสนทูตของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า “แต่ทว่าอัลลอฮฺนั้นทรงยืนยันในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่เจ้า ว่าพระองค์ได้ทรงประทานสิ่งนั้นมาด้วยความรู้ของพระองค์ …” (อัล กุรอาน 4:166)

ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์ในยุคนี้เห็นว่าสิ่งที่ถูกนำโดยนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม เป็นความจริงที่ได้รับการเปิดเผยจากผู้เป็นเจ้า พระองค์ตรัสไว้ความว่า “สิ่งที่ได้ถูกประทานแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม และจะชี้นำไปสู่แนวทางแห่งพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ” (อัล กุรอาน 34:6)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก islamweb.net