ขจัดปัญหาพุงยื่น

ลองนึกภาพเวลาที่คุณส่องกระจกขณะแปรงฟันแล้วคุณก็สังเกตเห็นว่าพุงของคุณเวลาเขย่านั้นมันเริ่มเด้งขึ้นลงไม่เหมือนปกติ?

นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่คุณเริ่มสังเกตเห็นว่าหน้าท้องของคุณเริ่มมีพุงยื่นออกมานิดหน่อยหรืออาจจะยื่นออกมามาก แต่นั่นเป็นเหตุผลที่คุณตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับเข้ายิมเล่นฟิตเนสอีกครั้ง 

หน้าท้องที่ใหญ่ขึ้นหรือบางครั้งเราก็เรียกมันว่าลงพุง ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของโรคอ้วนที่เป็นผลมาจากการสะสมไขมันส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นในบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่มักพบเป็นปกติในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ผู้หญิงนั้นมีแนวโน้มที่จะมีไขมันส่วนเกินในบริเวณสะโพกและต้นขามากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงจะลงพุงไม่ได้ 

การลดไขมันบริเวณหน้าท้องไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณดูดีขึ้น แต่มันยังเป็นเรื่องที่สำคัญต่อสุขภาพที่ดีของคุณอีกด้วย 

โรคอ้วนโดยทั่วไปมักทำให้คนอ่อนแอต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง แต่โรคอ้วนที่จำกัดอยู่ที่การลงพุงจะทำให้คนอ่อนแอต่อโรคเฉพาะบางอย่างมากยิ่งขึ้น

:: มายาคติที่มีต่อไขมัน ::
ถ้าคุณต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องของคุณ คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับความเข้าใจผิดบางอย่างที่เรามักพบกันบ่อย
อย่างแรก และสำคัญที่สุด ไม่มี “ยามหัศจรรย์” หรือ “อุปกรณ์วิเศษ” ใด ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเผาผลาญไขมันได้เร็วขึ้น มันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งต้องใช้ความมุ่งมั่นยืนหยัดเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ
อย่างที่สอง ที่คุณควรรู้คือ จำนวนการซิทอัพของคุณ ไม่ว่าจะทำไปจำนวนเท่าไหร่ก็ไม่ทำให้คุณกำจัดไขมันได้มากขึ้น คุณสามารถซิทอัพจำนวนหลายร้อยต่อวัน แต่ผลลัพธ์ที่คุณจะได้ก็คือกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งดั่งหินที่ซ่อนอยู่ภายใต้ไขมันชั้นต่าง ๆ ที่ซ้อนไว้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการออกกำลังกายนั้นไม่สำคัญ แต่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ
วิธีเดียวที่จะกำจัดไขมันได้ก็คือการเผาผลาญพลังงานให้ได้มากกว่าที่คุณรับประทาน นั่นคือช่วงเวลาเดียวที่ร่างกายจะใช้พลังงานที่เก็บไว้ในเซลล์ไขมัน

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ คุณจะต้องเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายและปรับปรุงวิถีชีวิตของคุณ หากคุณสามารถยืนหยัดรักษาพฤติกรรมเหล่านี้ได้ คุณจะประหลาดใจกับผลลัพธ์เชิงบวกที่ทำให้คุณเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องยาก 

เพื่อให้ภารกิจนี้ง่ายขึ้นสำหรับคุณ นี่เป็นเคล็ดลับบางอย่างที่คุณสามารถทำตามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

:: ระวังอาหารที่คุณกิน ::
หลีกเลี่ยงอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน คุณควรลดปริมาณแคลอรีทั้งหมดลง เพราะอย่างที่เรากล่าวมาก่อนหน้านี้ ถ้าร่างกายคุณไม่เผาผลาญมากกว่าที่คุณทานเข้าไป เซลล์ไขมันของคุณก็จะไม่หายไปไหน
พยายามแบ่งมื้ออาหารของคุณเป็น 5 – 6 มื้อเบา ๆ แทนการรับประทานอาหารทีเดียว 3 มื้อหนัก เมื่อร่างกายไม่ได้รับอาหารเป็นเวลานาน ร่างกายก็จะเข้าสู่โหมดอดอาหาร

ในช่วงเวลานี้ ร่างกายจะลดการทำหน้าที่เผาผลาญอาหารให้เบาลงมาก การรับประทานอาหารแบบปกติจะเพิ่มเมตาบอลิซึม เนื่องจากร่างกายจะไม่ต้องเข้าสู่โหมดอดอาหาร การรับประทานมื้ออาหารถี่ขึ้นนี้จะช่วยเผาผลาญไขมันมากขึ้นตลอดทั้งวัน

พยายามกินอาหารเช้าให้เร็วขึ้น พยายามให้เร็วที่สุดหลังจากตื่นขึ้นมา นี่คือการชดเชยความอดอันยาวนานขณะที่คุณกำลังนอนหลับในเวลากลางคืน

รับประทานอาหารมื้อใหญ่ในตอนเช้าและทานอาหารมื้อเล็ก ๆ ต่อไปจนกระทั่งเวลานอน นี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะอาหารที่กินในตอนเช้าจะถูกใช้ตลอดทั้งวันเพื่อสร้างพลังงาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณกินอาหารมื้อใหญ่ในตอนเย็น อาหารที่ทานส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้เป็นไขมันขณะที่คุณนอนหลับ เพราะมันไม่ได้ถูกใช้
ลด ละ เลิกอาหารขยะ ให้เปลี่ยนไปทานอาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการแทน อาหารขยะเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคอ้วนทั่วโลก นอกจากนี้ พยายามลดน้ำตาลทรายขาวและอาหารแปรรูปด้วย

คุณอาจจำเป็นต้องพัฒนาอีกหนึ่งนิสัยที่สำคัญที่สุดคือ ควรหยุดกินเมื่อรู้สึกอิ่มแล้ว อย่ากินมากจนทำให้ท้องแน่นเกินไป นอกจากมันไม่ดีต่อสุขภาพแล้วมันยังเป็นสาเหตุของการเพิ่มไขมันในร่างกายของคุณและทำให้คุณปวดท้องด้วย!

:: ระวังน้ำที่คุณดื่ม ::
เลิกดื่มเบียร์ ถ้าคุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่คุณจะเลิกดื่มมัน มีการเรียกพุงที่ยื่นออกมากันว่า “พุงเบียร์” แม้ว่าไม่มีความเข้าใจใดที่ช่วยอธิบายว่า เบียร์ที่ดื่มไปมันไปเพิ่มไขมันรอบ ๆ หน้าท้องได้อย่างไร

ถึงกระนั้น แพทย์ส่วนใหญ่ก็มีความเห็นตรงกันว่าระหว่างการดื่มเบียร์และไขมันหน้าท้องที่เพิ่มขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกันแน่นอน ความจริงอาจเป็นว่าเบียร์นั้นมีค่าแคลอรีที่สูงมาก ๆ

พยายามอย่าดื่มน้ำอัดลมด้วย น้ำอัดลมส่วนใหญ่มีค่าแคลอรีสูงประมาณ 150 แคลอรีต่อกระป๋อง ลองนับจำนวนกระป๋องที่คุณดื่มในทุก ๆ สัปดาห์สิ คุณจะตระหนักได้ว่าที่ดื่มไปทั้งหมดตลอดทั้งสัปดาห์ คุณอาจได้รับแคลอรีเพิ่มเป็นหลายพันแคลอรี

น้ำอัดลมสูตรไดเอ็ทหรือสูตรที่มีแคลอรีต่ำก็ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่นกัน วิธีที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเหล่านี้ทั้งหมด แล้วไปหาน้ำผลไม้สดดื่มแทน น้ำผลไม้สดนั้นมีรสชาติที่ดีและเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพด้วย มันทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่มอาหารว่างที่สนุกสนานและเติมเต็มระหว่างมื้ออาหารได้ดี

พยายามดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณตื่นขึ้นมาและก่อนเข้านอน น้ำสะอาดคือราชา นี่คือกฎทองคำ น้ำสะอาดจะช่วยลดขั้นตอนการเผาผลาญไขมันและขับสารพิษออกจากร่างกาย

หากร่างกายของคุณมีน้ำน้อยหรือขาดน้ำระหว่างวัน ร่างกายจะลดการเผาผลาญพลังงาน หมายความว่ากระบวนการกำจัดไขมันนั้นลดลง หากคุณออกกำลังกายก็ให้แน่ใจว่าคุณได้ดื่มน้ำสะอาดมากเพียงพอ เพราะคุณจะสูญเสียน้ำจำนวนมากจากเหงื่อที่ไหลออกมา

ลองหาชาเขียวมาดื่ม ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มทดแทนกาแฟหรือชาดำได้ดีมาก มันอุดมไปด้วยสารที่ชื่อว่าแคทีชิน (catechin)

งานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปีค.ศ. 2005 ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า แคทีชิน สามารถช่วยในกระบวนการลดน้ำหนักผ่านการกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีและลดไขมันในร่างกาย ชาเขียวยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านไวรัส และต้านมะเร็งอีกด้วย

:: ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคุณ ::
พยายามใช้บันไดมากกว่าลิฟต์หรือบันไดเลื่อน ให้ลองคิดซะว่าเป็นการออกกำลังกายที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรือเวลาใด ๆ ในการทุ่มเท

สร้างนิสัยให้ตัวเองเดินเร็วมากขึ้น คุณอาจจะจอดรถของคุณให้ไกลจากที่ทำงานขึ้นสัก 1 – 2 ช่วงตึกในตอนเช้า ถ้าคุณใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ก็ลองลงก่อนสัก 1 – 2 สถานีจากสถานีเป้าหมายของคุณ แล้วลองเดินต่อในระยะทางที่เหลือ

นอกจากวิธีจะทำให้สดชื่นแล้ว มันยังช่วยเผาผลาญพลังงานในร่างกาย หากปฏิบัติควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้มีแคลอรีต่ำลงนั้นจะช่วยให้ร่างกายมีโอกาสเผาผลาญเซลล์ไขมันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

:: ออกกำลังกายให้ถูกวิธี ::
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ การซิทอัพและเคร้าชิ่งเป็นเพียงมายาคติที่เรามักเชื่อกันผิด ๆ ว่ามันคือวิธีการกำจัดไขมันหน้าท้อง ขณะที่ความเป็นจริงนั้น การกำจัดไขมันที่ดีคือการที่คุณต้องออกกำลังกายที่ทำให้เสียเหงื่อ

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (cardio) หรือที่มักเรียกกันว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (การออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน) เป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการกำจัดไขมัน ซึ่งการออกกำลังกายประเภทนี้ประกอบไปด้วยการออกกำลังกายด้วยวิธีต่าง ๆ มากมาย เช่น การวิ่ง การเดินเร็ว การว่ายน้ำ การขี่จักรยาน และการกระโดดเชือก
นอกจากนี้ ยังมีการออกกำลังกายทางเลือกใหม่ ๆ ที่เป็นกระแสนิยมอย่างการเต้นแอโรบิค ซึ่งเป็นวิธีที่สร้างความสนุกสนานและยังช่วยลดน้ำหนักไปในตัว

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำการออกกำลังกายแบบแอโรบิคโดยให้ใช้ระยะเวลา 20 ถึง 50 นาที ประมาณ 3 – 5 ครั้งต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายแบบนี้นอกจากจะเพิ่มเมตาบอลิซึมแล้ว มันยังช่วยเผาผลาญแคลอรีเพื่อนำมาไปใช้เพิ่มพลังงานให้กับร่ายกายให้มีมากขึ้น การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น การลดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลก
การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิค (การออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน) เช่น การยกเวท อาจมีผลดีต่อร่างกายของคุณ เพราะมันจะช่วยเพิ่มอัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวันของคุณ (Basal Metabolic Rate : BMR)

อัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวัน (BMR) คือปริมาณพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญในเวลาที่ไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อรักษาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ทำตามหน้าที่ การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิคจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อของคุณ ซึ่งจำเป็นต้องรับพลังงานเข้ามามากขึ้น

การเพิ่มอัตรา BMR จึงหมายความว่าร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การลดไขมันสะสมที่มีอยู่ในร่างกายของคุณ 
เปิดใช้งานระบบการฝึกหายใจ หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแถมยังเรียบง่ายเพื่อให้มีหน้าท้องที่แบนเรียบ

สิ่งที่คุณต้องทำคือให้เอานิ้ววางลงบนหน้าท้องแล้วกดสะดือลงไปขณะที่กำลังหายใจตามธรรมชาติ

แล้วให้ลองดูว่าคุณสามารถทำได้นานแค่ไหน และพยายามทำให้ได้มากขึ้นเพิ่มทุกวัน สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการฝึกหายใจนี้ก็คือคุณสามารถทำมันได้ทุกที่ไม่ว่าคุณจะกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ กำลังยืน หรือกำลังเดิน ลองตั้งนาฬิกาในคอมพิวเตอร์หรือในโทรศัพท์ของคุณระหว่างวันเพื่อแจ้งเตือนให้คุณ “เปิดใช้งานระบบการฝึกหายใจ” 

:: ทัศนคติที่ถูกต้อง ::
แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะฟังดูล้นเกินไปบ้างก็ตาม แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุวิถีชีวิตที่ดี หากคุณมีชุดความคิดต่อการดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะค่อย ๆ เรียนรู้ได้อย่างธรรมชาติว่าอาหารใดบ้างที่ไม่ดีสำหรับคุณ ยิ่งไปกว่านั้นคุณจะเรียนรู้ที่จะรู้สึกว่าคุณไม่อยากรับประทานอาหารเหล่านี้อีกต่อไป

การปรับตัวให้คุณยอมสละเวลามาออกกำลังกายให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่มีตารางงานที่แสนยุ่งเหยิงของคุณอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนการออกกำลังกายมาเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่สนุกสนาน หรือกิจกรรมที่สามารถกระทำร่วมกันกับเหล่ามิตรสหายของคุณแล้ว การรักษาวิถีชีวิตแบบนี้ก็จะมีความง่ายมากขึ้นที่จะยืนหยัดในระยะยาว

และความลับของเรื่องนี้คือ การที่คุณเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของการรักษาความต่อเนื่องในระยะยาว คุณต้องตัดสินใจว่าการลดไขมันหน้าท้องจะต้องใช้เวลา มันไม่มีทางที่ (มัก) ง่าย หรือทางลัดใด ๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปในชีวิตของคุณจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถรักษาวิถีชีวิตใหม่ของคุณได้ และในที่สุด พฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้ก็จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคุณด้วย

ภายในเวลาไม่ถึง 10 สัปดาห์ คุณจะเห็นสัญญาณของการหดตัวของไขมันในกระเพาะอาหาร หน้าท้องของคุณจะแบนราบลง และคุณก็จะนำเสื้อผ้าที่คุณยัดเก็บไว้หลังตู้มาเป็นเวลานานมาสวมใส่ได้อย่างสบายใจ!

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
โดย มุฮัมมัด ยะหฺยา AboutIslam.net

การให้อาหารแก่สัตว์ : ประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม

โดย ดร.มุฮัมมัด มุนีร เชาดรี, ดร.ชัยค์ญะอฟัร เอ็มอัลกุเดอรี, ดร.อะหมัด ฮุซเซน ศ็อกร์ 

มีความสับสนและคำถามมากมายเกี่ยวกับกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ เราลองมาพิจารณาในบางประเด็นและชี้แจงคำถามบางส่วน 

มีฟาร์มจำนวนมากที่มีการเติมอาหารเสริมโปรตีน (protein supplement) ในอาหารสัตว์ การปฏิบัติเหล่านั้นมิได้จำกัดเพียงแค่ฟาร์มขนาดใหญ่ที่เลี้ยงแบบเปิด แต่ยังรวมไปถึงฟาร์มที่เลี้ยงแบบปิด อาหารเสริมโปรตีนอาจใช้โดยเจ้าของฟาร์มที่อ้างว่าเลี้ยง โดยการปล่อยสัตว์ปีกและปศุสัตว์ให้อาหารอย่างอิสระ หรือการเลี้ยงนอกกรงนั่นเอง โปรตีนเสริมเหล่านี้ผลิตมาจากเศษเนื้อที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์และอาจมีส่วนประกอบอื่นๆรวมอยู่ด้วย นักวิชาการและผู้บริโภคส่วนมากรู้สึกว่าการให้อาหารด้วยเศษเนื้อดังกล่าวแก่สัตว์ที่ฮาลาลไม่น่าจะเป็นที่อนุญาต บางส่วนเห็นว่าเทียบเท่ากับอัลญะลาละฮฺ (ซากสัตว์)

อัลญะลาละฮฺได้รับการนิยามว่าหมายถึงสัตว์ที่มักจะกินของเสียเป็นหลัก ซึ่งไม่มีความเห็นแตกต่างในความหมายของคำนี้ ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ห้ามรับประทานเนื้อและนมของสัตว์ญะลาละฮฺ ท่านยังห้ามแม้แต่การขี่มัน นักนิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นแตกต่างกันต่อน้ำหนักของการห้าม ทรรศนะของอิมามชาฟิอีย์ถือว่าห้ามโดยเด็ดขาดที่จะรับประทานเนื้อของสัตว์ชนิดนี้ อย่างไรก็ตามทรรศนะของอิมามอบู หะนีฟะฮฺ, อิมามมาลิกและอิมามอะหมัด อิบนุฮันบัลถือว่าการห้ามนี้มิได้ถึงขั้นเด็ดขาดโดยถือเป็นมักรูฮฺ (ไม่ควรรับประทานแต่ไม่ถึงขั้นต้องห้าม) 

สำหรับผู้ที่ถือว่าอาหารเสริมโปรตีนเหล่านี้เป็นญะลาละฮ์เชื่อว่าสัตว์ใดก็ตามที่กินอาหารเสริมนี้ถือว่าสัตว์ตัวนั้นเป็นญะลาละฮฺ เนื่องจากอาหารสัตว์ส่วนใหญ่ในตะวันตกมักจะมีสารกสัดจากสัตว์ พวกเขาสรุปว่ามุสลิมไม่สามารถบริโภคเนื้อที่มาจากอเมริกาเหนือ 

ในความเป็นจริงสัตว์จำพวกญะลาละฮฺเป็นสัตว์ที่มักจะอยู่ใกล้ ๆ กับกองขยะหรือบ่อน้ำทิ้ง อาหารส่วนใหญ่ของพวกมันคือ “ญุลละฮ์” หมายถึงอุจจาระ ของเสียต่าง ๆ ตลอดจนซากสัตว์ตายหรืออื่นๆที่คล้ายกัน พวกสัตว์เหล่านี้มักจะมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เนื้อและนมตลอดจนกลิ่นประจำตัวที่แรง อย่างไรก็ตามหากสัตว์ญะลาละฮ์ได้รับการกักและให้อาหารที่สะอาด, เป็นอาหารทั่วไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น เนื้อของมันสามารถนำมารับประทานได้ ช่วงเวลาดังกล่าวอาจมีระยะเวลาตั้งแต่ 3 วันจนไปถึง 40 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของสัตว์ตัวนั้น 

สิ่งที่ควรทราบ คือ สัตว์ทุกชนิดจะกินสิ่งสกปรกหรือชองเสียบางอย่าง แม้ว่ามันจะกินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าหรือทุ่งเลี้ยงสัตว์เป็นหลักก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองนักนิติศาสตร์จึงได้เน้นว่า ญะลาละฮฺเป็นสัตว์ที่กินของเสียเป็นหลัก อย่างไรก็ตามหากพวกมันกินอาหารเหล่านั้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือกินเพียงเล็กน้อย เนื้อของมันจะไม่ถือว่าหะรอม จากหลักการนี้จะเห็นว่าการสรุปว่าเนื้อทั้งหมดที่มาจากอเมริกาเหนือเป็นญะลาละฮฺนั้นเป็นการสรุปที่เลยขอบเขตมากไป เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วอาหารของพวกมันเป็นธัญพืช หญ้าแห้งหรือเมล็ดพืชต่างๆ

เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดเปอร์เซ็นต์วัตถุดิบผลพลอยได้ (by-products) จากสัตว์ที่จะใช้ในอาหารสัตว์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่นชนิดของสัตว์ที่จะให้อาหาร จุดประสงค์ของการให้อาหาร ราคาของวัตถุดิบผลพลอยได้ คุณภาพของโปรตีนและลักษณะการเลี้ยงว่าเลี้ยงในคอกหรือที่ขุนอาหารสัตว์หรือไม่ นอกจากนั้นแล้วประเทศกำลังพัฒนาจะใช้ผลพลอยได้จากสัตว์น้อยมากในการให้อาหารและประเทศยุโรปบางประเทศได้ห้ามนำเข้าด้วยเหตุผลว่ามีการกระทำทารุณต่อสัตว์ เพื่อป้องกันการเกิดและระบาดของโรควัวบ้าในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลได้ออกกฎหมายห้ามใช้โปรตีนส่วนใหญ่ที่มาจากสัตว์ในการให้อาหารแก่สัตว์เคี้ยวเอื้อง แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้มิได้นำไปใช้กับสัตว์ปีก 

เมื่อวัตถุดิบผลพลอยได้จากสัตว์ถูกนำไปใช้ มันจะผ่านกระบวนการจัดเตรียมที่ใช้เวลานาน ซึ่งรวมไปถึงการการให้ความร้อนภายใต้แรงดันสูง การบดและการสกัด สัตว์ที่เป็นอาหารมนุษย์นี้จะไม่กินสัตว์ด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาอาจให้อาหารที่เป็นชิ้นเนื้อดิบๆจากวัตถุดิบผลพลอยได้แล้วผ่านการแปรรูปเป็นอาหารเสริมแล้วนำไปเติมในอาหารสัตว์ในปริมาณที่มากนัก

โดยสรุป การใช้วัตถุดิบผลพลอยได้เพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์มิได้ทำให้อาหารนั้นเป็น “ญุลละฮ์” ดังนั้นสัตว์ที่กินอาหารเหล่านี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็น ญะลาละฮฺ ขณะที่มีความแตกต่างทางความเห็นว่าสัตว์ญะลาละฮ์หะรอมหรือไม่ ผู้บริโภคจำนวนมากไม่นิยมรับประทานสัตว์ที่อาหารของมันเป็นวัตถุดิบผลพลอยได้จากสัตว์ (เศษซาก) แม้แต่หน่วยงานด้านเกษตรกรรมของรัฐบาลบางหน่วยงานรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจเจอโรคเนื่องจากวัตถุดิบที่เติมในอาหารสัตว์ดังกล่าว จนทำให้นักวิชาการมุสลิมต้องออกมาฟัตวาในเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องยากในการที่จะรับรองเนื้อและสัตว์ปีกดังกล่าวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้บริโภคจำนวนมากจึงหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ออแกร์นิกเช่นเนื้อหรือสัตว์ปีกออแกร์นิก นี่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคอาหารฮาลาล ตราบใดที่กระบวนการจัดการมีความสอดคล้องกับแนวทางทีอิสลามได้กำหนดไว้ เมื่อผู้บริโภคหันมาบริโภคอาหารออแกร์นิกมากขึ้น กฏของอุปสงค์อุปทานจะเปลี่ยนทิศทางของตลาดจากเดิม สิ่งที่เราหวังไว้อย่างสูง คือ การเปิดเผยกระบวนการในการผลิตอาหารเพื่อที่ผู้บริโภคแต่ละคนจะสามารถตัดสินใจเลือกผ่านข้อมูลไม่ว่าจะยอมรับหรือปฎิเสธอาหารประเภทนี้

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา www.eat-halal.com

การให้อาหาร

การให้อาหารในสูเราะห์ อัล อินซาน
นี่คือการแสดงออกถึงความเมตตาของอัลลอฮที่กล่าวถึงการให้อาหารในสูเราะห์ที่มีชื่อว่า “อัล อินซาน” อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ตรัสความว่า “และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก” (อัล กุรอาน 76:8)

อิบนุ อับบาส และมุญาหิด รอฮิมาฮุมุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “โองการนี้ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาให้อาหารแก่ผู้ขัดสน เด็กกำพร้า และเชลยศึก แม้ว่าจะขาดแคลนอาหารทั้ง ๆ ที่พวกเขารักและมีความต้องการอาหารเหล่านั้น”

:: แล้วท่านกับอาหารของท่านล่ะ? ::

การให้อาหารแก่ผู้ที่หิวโหยนับว่าเป็นการงานที่ประเสริฐยิ่งในยุคของเรา อัลลอฮ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ตรัสความว่า “หรือการให้อาหารในวันยากลำบากด้วยความหิวโหย” (อัล กุรอาน 90:14) อัน นะเคาะอีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวถึงโองการนี้ว่า
“พวกเขาได้ให้อาหารผู้หิวโหยในช่วงเวลาที่เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร”
มุฮัมมัด อิบนุ อัล มุนกะดิร รอฮิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “มุสลิมผู้ให้อาหารผู้หิวโหยจะได้รับประกันการอภัยโทษสำหรับความผิดบาปของเขา”
ท่านยังได้กล่าวในอีกวาระหนึ่งว่า “การให้อาหารผู้หิวโหยและการใช้คำพูดที่ดีงามต่อผู้อื่นจะเป็นการงานที่นำพาผู้ปฏิบัติไปสู่สวรรค์”

พี่น้องที่รัก ท่านอาจสังเกตเห็นว่าในยุคสมัยของเรา ในประเทศมุสลิมบางประเทศได้กลายเป็นยุคแห่งความอดอยากหิวโหยอย่างรุนแรง ขาดแคลนอาหารและเนื้อสัตว์ก็หาได้ยากและมีราคาสูงมากสำหรับคนยากจน
แล้วท่านล่ะ ท่านผู้อ่านที่รัก? ท่านรับประทานอาหารอะไร?

:: คำสั่งใช้ที่ชัดแจ้ง ::
การให้อาหารผู้คนทั่วไปและโดยเฉพาะผู้ที่อดอยากหิวโหยได้รับการกล่าวถึงอย่างชัดเจนโดยคำสั่งของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม อบู มูซา อัล อัชอารีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้รายงานว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า 
“จงให้อาหารคนที่หิวโหย จงเยี่ยมเยียนคนป่วย และจงปลดปล่อยทาส”

[เศาะฮิฮฺ] มีรายงานว่า “การบริจาคทานที่ดีที่สุดคือการเติมเต็มความต้องการของบรรดาผู้ที่อดอยากหิวโหย” อนิจจา มุสลิมอาจนั่งอยู่ที่โต๊ะอิฟฏอรฺกับอาหารอันโอชะแสนอร่อยมากมาย ในขณะที่เพื่อนบ้านของเขาละศีลอดด้วยอาหารเพียงไม่กี่คำหากพวกเขาสามารถหามาได้ !

:: บรรดาศอฮาบะฮฺ รอฮิมาฮุมุลลอฮฺ ::
บรรดาศอฮาบะฮฺ รอฮิมาฮุมุลลอฮฺ กระตือรือร้นที่จะเลี้ยงอาหารผู้คนและชื่นชอบที่จะประกอบการงานนี้เพื่ออัลลอฮฺต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนยากจนที่อดอยากหิวโหย หรือเลี้ยงอาหารมุสลิมที่ดี ความยากจนไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการเลี้ยงอาหารนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า 
“โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย! จงแพร่กระจายสลามในหมู่พวกท่าน ให้อาหารคนหิวโหย รักษาสายสัมพันธ์เครือญาติ ยืนละหมาดในยามค่ำคืนในขณะที่ผู้คนกำลังหลับไหลและท่านจะเข้าสู่สวรรค์อย่างสันติ”
ศอฮาบะฮฺบางท่าน รอฮิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “เป็นการดีกว่าสำหรับฉันที่จะเชื้อเชิญให้เพื่อนของฉันสิบคนกินอาหารอร่อย ๆ ที่พวกเขาชอบ มากกว่าการปลดปล่อยทาสสิบคนจากลูกหลานของอิสมาอีล อะลัยฮิสสลาม (หมายถึงทาสที่เป็นชาวอาหรับ)”
อบู อัส สิวารฺ อัล อะดะวีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “ชายบางคนจากเผ่าอุดัยย์ เคยละหมาดในมัสยิดนี้ และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเขาที่จะละศีลอดเพียงคนเดียว หากเขาพบผู้ที่จะร่วมมื้ออาหารกับเขา เขาจะกินอาหารนั้น และหากเขาไม่พบผู้ใดที่จะร่วมมื้ออาหารกับเขา เขาจะเก็บอาหารไว้และไปที่มัสยิดเพื่อแบ่งปันกับผู้คนที่มัสยิดนั้น”

:: ผลจากการให้อาหารผู้อดอยากหิวโหย ::
การเคารพสักการะผู้เป็นเจ้าด้วยการเลี้ยงอาหารแก่ผู้ที่อดอยากหิวโหยได้ทำให้เกิดการงานที่ดีงามอื่น ๆ ตามมา เช่น การแสดงความรักต่อเพื่อนมุสลิมที่เขาเลี้ยงอาหาร และนี่อาจเป็นเหตุผลให้เขาได้รับสรวงสวรรค์ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า 
“พวกท่านจะไม่ได้เข้าสวรรค์ตราบใดที่พวกท่านไม่ได้ยืนยันในความศรัทธา (ทุกสิ่งที่เป็นหลักศรัทธา) และท่านจะยังไม่ศรัทธาตราบใดที่พวกท่านไม่รักใคร่ซึ่งกันและกัน” [มุสลิม]

นอกจากนี้ ผลบุญก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นสำหรับบุคคลที่อาศัยอยู่ท่ามกลางผู้ทรงธรรมและหวังผลตอบแทนจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา จากการให้อาหารแก่พวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้มีกำลังวังชาเพื่อใช้ในการประกอบศาสนกิจต่าง ๆ 

:: กระเช้าอาหาร ::
ศอฮาบะฮฺ บางท่านเคยให้กระเช้าใส่ของหวานหรืออาหารอื่น ๆ ให้แก่มิตรสหายของเขา ยูนุส อิบนุ อุบัยด์ กล่าวว่า “ฉันได้มอบตะกร้าของหวานให้กับ อัล หะสัน อัล บัศรีย์ เป็นของขวัญ และฉันไม่เห็นของหวานใดที่ดีกว่านี้ ท่านได้เปิดตะกร้าและพูดกับสหายของท่านว่า “รับประทานให้อร่อยเถิดสหาย”

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก islamweb.net

การถือศีลอดกับความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ – ตอนที่ 3

ต่อไปนี้ คือ หลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญยิ่งถึงความเชื่อและความเข้าใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการอดอาหาร

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ด้านสรีรวิทยาได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า การถือศีลอดในอิสลามนั้นเป็นเรื่องง่าย ในระหว่างที่อดอาหารร่างกายจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ในทางตรงกันข้าม ร่างกายกลับได้รับประโยชน์มากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในภาวะปกติเว้นแต่จะมีการอดอาหาร การอดอาหารของมุสลิมนั้นสะดวกง่ายดายมากสำหรับร่างกาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา กล่าวความว่า “… อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า …” (อัล กุรอาน 2:185) ตามที่อัรรอซีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ทรงกำหนดให้การถือศีลอดเป็นไปในลักษณะที่สะดวก ง่ายดาย และกระทำเพียงไม่กี่วันในรอบปี นอกจากนี้พระองค์ไม่ไดักำหนดการอดอาหารในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้เป็นที่บังคับแก่ผู้ป่วยหรือผู้เดินทาง”

ความสะดวกง่ายดายนี่เองที่ชัดเจนในความจริงที่ว่าร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ในการถือศีลอด มนุษย์จะงดเว้นจากอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลาที่จำกัด โดยเริ่มจากช่วงเวลากลางวันตั้งแต่รุ่งสางไปจนถึงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และในช่วงเวลากลางคืนเขามีอิสระที่จะดื่มและรับประทานอาหารต่าง ๆ ดังนั้นการถือศีลอดคือการเปลี่ยนแปลงเวลาที่เรารับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้

อัลลอฮ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ได้ให้มีการสะสมพลังงานในร่างกายของมนุษย์ซึ่งพอเพียงแก่เขาในกรณีที่มีการงดเว้นอาหารหนึ่งถึงสามเดือนซึ่งในระหว่างนั้นเขาอาจจะไม่ได้รับประทานอาหารเลย จากข้อมูลนี้มีสถานพักฟื้นผู้ป่วยระดับประเทศได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ โดยใช้วิธีที่เรียกว่าการอดอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งในระหว่างการรักษา ผู้อดอาหารเพื่อสุขภาพหรือผู้ป่วยจำเป็นต้องงดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดยกเว้นเพียงน้ำสะอาด

การถือศีลอดของอิสลามจะอยู่ระหว่าง 12 ถึง 16 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงระยะเวลาระหว่างถือศีลอดนี้ 5 ชั่วโมงจะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้รับการดูดซึมหลังรับประทานอาหาร และช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่เหลืออีกประมาณ 12-14 ชั่วโมงหลังจากการดูดซึมสารอาหาร การอดอาหารในช่วงเวลานี้ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความปลอดภัยตามมาตรฐานการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ในช่วงนี้กลไกการดูดซึมทั้งหมดจะถูกกระตุ้น และการเผาผลาญอาหารจะสมดุล ก่อให้เกิดกลไกที่ทำให้ไกลโคเจนสลาย ไขมันก็จะถูกออกซิไดซ์และสลายด้วยเช่นกัน จากนั้นโปรตีนก็จะสลาย เป็นเหตุให้กลูโคสต้องก่อรูปขึ้นใหม่ ไม่มีความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลในแต่ละการทำงานตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ไขมันจะไม่ถูกออกซิไดซ์มากถึงระดับที่จะสร้างประจุแคทไอออนนิคที่เป็นอันตราย ภาวะไม่สมดุลของไนโตรเจนเป็นลบก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการเผาผลาญของโปรตีน ส่วนเซลล์สมอง เซลล์เม็ดเลือดแดง และระบบประสาทนั้นจะใช้กลูโคสเท่านั้นเป็นแหล่งพลังงาน

ดังนั้น การอดอาหารทางการแพทย์หรือการถือศีลอดทางการแพทย์จึงเป็นเรื่องที่มากกว่าการเปิดใช้งานกลไกเหล่านี้ และบางครั้งก็อาจมากไปจนถึงขั้นตั้งใจให้เกิดภาวะที่ไม่สมดุลในการทำงานของอวัยวะบางอย่างในร่างกาย นี่คือเหตุที่นบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ห้ามไม่ให้ทำการอดอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพื่อให้ง่ายดายในการปฏิบัติและเพื่ออำนวยความสะดวกในการถือศีลอดแก่ประชาชาติของท่าน ด้วยประการนี้ เซลล์ของร่างกายจึงทำงานไปตามธรรมชาติแม้ว่ากำลังอดอาหารอยู่ และเซลล์ก็ได้รับสิ่งที่ต้องการทั้งหมดจากพลังงานสำรองขนาดใหญ่ในร่างกาย กระบวนการทางโภชนาการในร่างกายจึงไม่ได้หยุดทำงาน เพียงแต่กระบวนการย่อยอาหารและการดูดซึมเท่านั้นที่ถูกพักในระหว่างการถือศีลอด

การถือศีลอดของอิสลามถือว่าเป็นรูปแบบการเผาผลาญอาหารที่พิเศษ เนื่องจากประกอบด้วยขั้นตอนทั้งสองด้านของการสร้างและการรื้อสร้าง หลังจากมื้อของอิฟฏอรฺ (มื้ออาหารละศีลอดในช่วงตะวันลับฟ้า) และมื้อของสะหูรฺ (มื้ออาหารก่อนรุ่งอรุณ) กระบวนการสร้างพลังงานที่สำคัญนั้นเริ่มต้นที่เซลล์ แหล่งพลังงานสำรองก็จะได้รับการสร้างใหม่เมื่ออาหารที่ได้จากการบริโภคถูกนำไปใช้ผลิตเป็นพลังงาน หลังจากการดูดซึมของอาหารในช่วงสะหูรฺ ระบบได้ดึงเอาพลังงานจากการสลายไกลโคเจนและไขมันซึ่งเป็นแหล่งสะสมพลังงานสำรองในร่างกายไปใช้ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานที่จำเป็นในระหว่างการเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมตลอดวันที่อดอาหาร นี่คือเหตุผลที่ท่านนบีกำชับให้เรารับประทานอาหารสะหูรฺ เพื่อที่จะให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ใช้ในการสร้าง และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่านนบีส่งเสริมให้เรายืดเวลาสะหูรฺให้ล่าช้าและให้รีบเร่งในการละศีลอดเมื่อได้เวลา เพื่อไม่ให้ระยะเวลาหลังจากกระบวนการดูดซึมล่วงเวลานานเกินไป ดังนั้น การถือศีลอดของมุสลิมจึงไม่ได้นำไปสู่ความยากลำบากหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม ในทางตรงกันข้าม การอดอาหารกลับช่วยเพิ่มความอึดในการออกกำลังกาย และเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อ

จากการทดลองที่ได้ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชำนาญในด้านนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ระบุโดยการอ้างอิงถึงผลการทดลองว่า จำนวน 30% ของผู้ทดลองอดอาหาร ความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อกลุ่มนี้ดีขึ้น 20% และอีก 40% ของผู้ทดลองอดอาหาร ความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อกลุ่มนี้ดีขึ้น 7% และผลลัพท์อื่น ๆ ที่ได้จากผู้ทดลองอดอาหารกลุ่มนี้พบว่า อัตราการเต้นของหัวใจดีขึ้น 6% ผลจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนความดันโลหิตด้วยอัตราความเร็วของชีพจรดีขึ้น 12% ความถี่ของการหายใจลดลง 9% ความรู้สึกตึงปวดเมื่อยขาลดลง 11% เราจะเห็นได้ว่า การทดลองที่น่าอัศจรรย์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อที่ผิดพลาดของผู้คนจำนวนมากที่เข้าใจว่าการอดอาหารทำให้ร่างกายอ่อนแอและส่งผลเสียต่อการดำเนินกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ดังนั้นพวกเขาจึงมักพักผ่อนและรู้สึกเกียจคร้าน และพวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในวันที่อดอาหารไปกับการนอนหลับและการอยู่เฉย ๆ 

แล้วใครล่ะที่เป็นคนบอกท่านนบีมุฮัมมัดถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ในการอดอาหาร? แล้วใครล่ะที่เป็นคนบอกท่านว่าในการอดอาหารนั้นมีการป้องกันทั้งโรคทางสุขภาพจิตและโรคทางสุขภาพกาย? ใครกันที่บอกท่านถึงข้อเท็จจริงว่าการอดอาหารช่วยลดความต้องการทางเพศและช่วยลดแรงกระตุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่มสาว? ใครกันที่บอกท่านว่าการถือศีลอดนั้นมีประโยชน์และเป็นผลดีต่อผู้ที่มีความสามารถตามบทบัญญัติว่าถือศีลอดได้นอกจากผู้ป่วยและผู้ได้รับการผ่อนผัน? ใครบอกท่านหรือว่าการถือศีลอดเป็นเรื่องง่ายและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและไม่ทำให้เกิดความยากลำบาก ทั้งที่ท่านถูกเลี้ยงและโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่การอดอาหารนั้นไม่เคยเป็นที่รู้จักหรือได้รับการปฏิบัติมาก่อน?

ผู้ที่บอกให้ท่านทราบถึงเรื่องเหล่านี้คืออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา พระองค์ได้เปิดเผยให้ศาสนทูตของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า “แต่ทว่าอัลลอฮฺนั้นทรงยืนยันในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่เจ้า ว่าพระองค์ได้ทรงประทานสิ่งนั้นมาด้วยความรู้ของพระองค์ …” (อัล กุรอาน 4:166)

ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์ในยุคนี้เห็นว่าสิ่งที่ถูกนำโดยนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม เป็นความจริงที่ได้รับการเปิดเผยจากผู้เป็นเจ้า พระองค์ตรัสไว้ความว่า “สิ่งที่ได้ถูกประทานแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม และจะชี้นำไปสู่แนวทางแห่งพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ” (อัล กุรอาน 34:6)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก islamweb.net

การถือศีลอด สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในช่วงรอมฎอน

รอมฎอนเป็นเดือนที่เก้าในปฏิทินฮิจเราะห์ เป็นเดือนที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและความดีงามที่บริสุทธิ์ ซึ่งบรรดาผู้ศรัทธาในอิสลามได้ถือศีลอดเพื่อฝึกฝนการระงับยับยั้งตนตั้งแต่ช่วง สะฮูร หรือช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนถึงช่วง อิฟฏอร หรือช่วงที่ดวงอาทิตย์ตก

การถือศีลอด คือ การงดบริโภคน้ำและอาหารตลอดช่วงเวลาที่ถือศีลอดไปพร้อม ๆ กับการรักษาความคิดให้บริสุทธิ์ การรำลึกถึงผู้เป็นเจ้า และปฏิบัติการงานต่าง ๆ

การถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเป็นการพยายามฝึกฝนเพื่อเสริมสร้างอุปนิสัยที่บริสุทธิ์งดงาม และความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยเป็นการปฏิบัติเพื่อเคารพสักการะต่ออัลลอฮฺ มุสลิมจากทั่วทุกมุมโลกต่างร่วมกันถือศีลอดในช่วงเดือนอันจำเริญนี้

ผู้ถือศีลอดนั้นมีทั้งคนที่ร่ำรวยและยากจน คนสุขภาพดีหรือคนป่วย มีทั้งวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ ทุกคนต่างก็ถือศีลอด แต่ผู้คนบางส่วนได้มองข้ามผลกระทบของการอดอาหารที่อาจจะมีต่อสุขภาพของพวกเขา

เนื่องจากรอมฎอนเป็นเดือนแบบจันทรคติจึงมีระยะเวลาที่แตกต่างกันไประหว่าง 29 ถึง 30 วัน และระยะเวลาของการถือศีลอดนั่นขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาลและสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ 9 ถึง 22 ชั่วโมง

การอดอาหารในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายที่แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะมีผลกระทบกับโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวานซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่พบได้บ่อยที่สุดที่เกิดจากการรวมกันของปัจจัยต่าง ๆ

เราจึงช่วยชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ผลกระทบจากการอดอาหารด้วยโรคเบาหวาน และข้อควรระวังในการรักษาสุขภาพในรอมฎอน

โรคเบาหวานสามารถแบ่งได้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ซึ่งรวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ต้องใช้อินซูลิน หรือชนิดที่ 2 ที่ใช้ยาผสมอินซูลิน หรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำมาก

โดยปกติแล้วผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องรับประทานอาหารทุกสามชั่วโมง และหลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน และอาหารหวาน พร้อมกับการรับประทานยาให้ตรงเวลา

แต่นี่เป็นเรื่องยากมากที่จะปฏิบัติได้ในระหว่างการถือศีลอดที่กำหนดให้ผู้ป่วยรับประทานยาแค่ในช่วงสะฮูรฺ และช่วงอิฟฏอร

ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งหากต้องอดอาหาร และควรทำภายใต้การกำกับดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

เนื่องจากการถือศีลอดอนุญาตอาหารหลักรวมทั้งยาเพียงสองมื้อในระหว่าง 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องปรับแผนการรักษาตามการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภค ซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเผาผลาญอาหาร

การอดอาหารอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ซึ่งเป็นภาวะขาดกลูโคสในกระแสเลือด ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น หรือภาวะขาดน้ำ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ได้รับการกล่าวถึงในรูปแบบใดก็ตามจำต้องงดการอดอาหารทันที

ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงอีกประเภทหนึ่งที่อาจทำให้มีอาการอาเจียน ขาดน้ำ หายใจไม่ออก และอาจมีแม้กระทั่งอาการโคม่าเกิดขึ้นได้

ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 1 ที่มีประวัติภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกำเริบจะมีความเสี่ยงสูงมากหากพวกเขาถือศีลอด

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้เช่นกัน แต่โดยทั่วไปมักพบได้น้อยกว่าและมีผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดอาการชักและหมดสติ

::ข้อควรระวังในช่วงเดือนรอมฎอน::
ในกรณีที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องการจะอดอาหาร เขาต้องทำตามคำแนะนำและปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญ และควรที่จะยุติการอดอาหารในทันทีหากมีสัญญาณเตือนใด ๆ ก็ตามปรากฏขึ้น

ถือเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องเข้ารับการตรวจประเมินสุขภาพก่อนช่วงรอมฎอนหนึ่งเดือน เพื่อปรึกษาหารือถึงรูปแบบของอาหารและยาของผู้ป่วย

นอกจากนี้ ยังควรมีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมออย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง

ถึงแม้จะมีการอดอาหารแต่พึงรำลึกว่ารอมฎอนเป็นเดือนแห่งเทศกาล ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในภูมิภาคใด ทุก ๆ เทศกาลมักจะมีอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและโคเลสเตอรอลสูงอยู่ด้วยเสมอ

ด้วยเหตุนี้จึงต้องหลีกเลี่ยงทุกสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคอาหารที่มีการแปรสภาพ และมีไขมันสูง

ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรบริโภคคาร์โบไฮเดรต และอาหารแคลอรี่สูง พร้อมกับผลไม้สดและผักสีเขียว ธัญพืช มัลติเกรนและโฮลเกรน พร้อมเพิ่มปริมาณน้ำดื่มในช่วงสะฮูร

ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนและอาหารทอดมัน เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะการขาดน้ำ

นอกเหนือจากข้อควรระวังในมื้ออาหาร การนอนหลับยังเป็นปัจจัยสำคัญอีกด้วย โดยเฉลี่ยคนหนึ่งควรได้หลับอย่างน้อยหกชั่วโมงทุกวัน แนะนำให้มีการนอนหลับอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงหลังจากช่วงเวลาสะฮูร

ในขณะที่ผู้คนบางส่วนเลือกที่จะมองข้ามภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพของตนเพื่อที่จะถือศีลอด โปรดอย่าลืมว่าแนวคิดของการถือศีลอดจะไม่สร้างความยากลำบากเกินความจำเป็นสำหรับปัจเจกชนมุสลิมทั่วไป ฉะนั้นแทบจะไม่ต้องกล่าวถึงผู้คนที่ทุกข์ทรมานจากภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ และโรคต่าง ๆ รวมถึงผู้ที่ชีวิตถูกคุกคามด้วยโรคเบาหวาน 

อัลกุรอานได้ยกเว้นผู้ป่วยจากการถือศีลอดเป็นการเฉพาะหากการถือศีลอดสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายสำหรับบุคคลนั้น ๆ ได้

โรคเบาหวานเป็นความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญอาหารเรื้อรังทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ หากว่าการอดอาหารได้รับพิจารณาว่ามีความแตกต่างของปริมาณอาหารและของเหลวรวมทั้งรูปแบบและช่วงเวลาการรับประทานที่เปลี่ยนไป

ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติภาพและความจำเริญจงมีแด่ท่าน) กล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงรักที่จะทำให้การอนุมัติของพระองค์นั้นได้รับการปฏิบัติ ดังที่พระองค์ทรงรักที่จะทำให้เจตนารมณ์ของพระองค์ได้รับการสนองตอบ” ดังนั้นการได้รับการยกเว้นนั้นจึงเป็นมากกว่าการอนุโลมทั่ว ๆ ไปที่จะไม่ต้องอดอาหาร

สุขภาพจิตที่สดใสย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแรงเพื่อที่จะได้ใช้มันในการเคารพสักการะและอุทิศตนปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนรอมฎอนที่ผู้เป็นเจ้าทรงประทานมาให้กับพวกเรา

……………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net by Raisa Ladji

การถือศีลอดจะช่วยเพิ่มพลังสมอง

การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนของทุก ๆ ปีนับเป็นหน้าที่เหนือมุสลิม อีกทั้งยังส่งเสริมให้ถือศีลอดตลอดปีเป็นระยะ ๆ เช่น 3 วันต่อเดือน ในช่วงกลางของเดือนตามจันทรคติ หรือ 9 วันแรกของเดือนซุลฮิจญะฮฺเป็นต้น

วันนี้วิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการถือศีลอดได้ก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ต่าง ๆ ไม่เพียงเฉพาะต่อร่างกายเท่านั้นแต่รวมไปถึงสมองอีกด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคความเสื่อมของระบบประสาทของการเสื่อมสภาพ เช่น โรคอัล-ไซเมอร์ (Alzheimer) รายงานของสมาคมโรคอัลไซเมอร์แห่งอเมริการะบุว่าภายในปี ค.ศ.2050 ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะเป็นโรคอัล-ไซเมอร์เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจาก 5.2 ล้านคน ในวันนี้กลายเป็น 13.8 ล้านคน

นักวิจัยค้นพบว่าอายุขัยและความสามารถทางจิตของสัตว์ทดลองจะปรับตัวในทางที่ดีขึ้น เมื่อมันอยู่ในช่วงเวลาที่อดอาหาร

ดร. มาร์ค แมทสัน หัวหน้าห้องปฏิบัติการประสาทวิทยาแห่งสถาบันผู้สูงอายุและศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ ได้ทำการวิจัยในประเด็นผลของการกำจัดพลังงานที่มีต่อสมอง พวกเขาค้นพบว่าการถือศีลอดสามารถชะลอการสะสมของแอมีลอยด์ (amyloids – สารโปรตีนที่ผิดปกติชนิดหนึ่ง) ในสมองของหนูทดลอง โดยการจำกัดการใช้พลังงานอย่างฉับพลัน และการสะสมของแอมีลอยด์เหล่านี้ในสมองมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเริ่มมีอาการของโรคอัลไซเมอร์ 

นับว่าเป็นความจริงสำหรับมนุษย์เช่นเดียวกัน และหนึ่งในวิธีการที่ดีทีสุดในการลดปริมาณอาหารคือการถือศีลอดนั่นเอง

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา นักคิดและนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่หลายคนได้อธิบายถึงผลของการมีสุขภาพดีในการถือศีลอด เพลโต ได้กล่าวว่า “ฉันอดเพื่อประสิทธิภาพทางร่างกายและจิตใจที่ดีขึ้น”

ฟิลลิปพัส แพราเซลซัส (Philippus Paracelsus) เป็นบิดาหนึ่งในสามของทางการแพทย์ตะวันตกกล่าวว่า “การถือศีลอดนั้น เป็นการรักษาโรค เป็นการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด” 

และคุณอาจเคยได้ยินชาวอียิปต์โบราณกล่าวว่า “มนุษย์พึ่งพิงหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกเขารับประทาน อีกสามส่วนที่เหลือพึ่งพิงแพทย์ของพวกเขา”

ประโยชน์ทางสุขภาพจำนวนมากของการถือศีลอดนั้นได้รับการพิสูจน์จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รวมถึงการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และความบกพร่องทางสติปัญญาตามอายุ การถือศีลอดจะช่วยลดการอักเสบและภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (oxidative stress – โรคเสื่อมเรื้อรัง) ในร่างกายและยังช่วยเผาผลาญไขมันอีกด้วย

นักวิจัยและผู้รณรงค์ด้านการคุ้มครองสุขภาพแนะนำรูปแบบการอดอาหารที่แตกต่างกันออกไป ข้อเสนอแนะหนึ่งคือ จะต้องอดอาหารในช่วงกลางวันเป็นเวลาสองวันต่อวันสัปดาห์พร้อมทั้งรับประทานอาหารเบา ๆ ในช่วงละศีลอด

ถ้าหากว่าเราพิจารณาไปยังหะดีษของท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เราจะเห็นว่า ท่านนบีนั้นเคยถือศีลอดในวันจันทร์และวันพฤหัสบดีในทุก ๆ สัปดาห์ และในช่วงเวลานั้นเองท่านนบีไม่ได้มีอาหารมากมายในการละศีลอด มีเพียงแค่อินทผลัมและนมเท่านั้น

การถือศีลอดจึงช่วยเพิ่มพลังสมองได้อย่างไร?
ทำไมสัตว์ทดลองทำงานได้ดีขึ้นเมื่อทำการทดสอบหน่วยความจำตอนที่มันกำลังอดอาหาร?
ดร. มาร์ค แม็ทสันอธิบายว่าการถือศีลอดเป็นความท้าทายต่อสมอง สมองตอบสนองต่อความท้าทายของการอดอาหาร โดยการกระตุ้นวิถีของการตอบสนองต่อการปรับตัวที่ช่วยให้สมองสามารถรับมือไว้ได้ ซึ่งการขาดพลังงานในร่างกายนั้นจะทำให้วงจรในเส้นประสาทมีความตื่นตัวมากขึ้นและการเพิ่มขึ้นในการทำงานของเซลล์ประสาทนี้จะช่วยให้สมองมีสุขภาพที่ดีขึ้นตามอายุขัย

การถือศีลอดจะช่วยกระตุ้นการผลิต neurotrophic factors (สารที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับประสาทสมองตัวหนึ่ง) ในสมอง สารเคมีเหล่านี้ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาทที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและส่งเสริมการก่อตัวของการเชื่อมต่อเส้นประสาทในสมอง การถือศีลอดยังสามารถช่วยเพิ่มการผลิตเซลล์ประสาทใหม่ ๆ จากเซลล์ต้นกำเนิดอีกด้วย

ผ่านกลไกเหล่านี้ จะเห็นว่าการถือศีลอดสามารถปรับปรุงความจำและความสามารถในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น การถือศีลอดนั้นก็เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้นและที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ การถือศีลอดนั้นก็เพื่อรางวัลการตอบแทนจากอัลลอฮฺ ตะอาลา

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net

การเชือดสัตว์โดยใช้เครื่องจักร

หลักการของการเชือดสัตว์ (เพื่อเป็นอาหาร) ในอิสลามค่อนข้างง่ายและชัดเจน เราสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ : กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ / ตัดหลอดเลือดแดงที่ลำคอ/ ใช้มีดหรืออุปกรณ์ที่คม จึงสามารถจัดการให้สัตว์ตายอย่างรวดเร็วและลดการทรมานของสัตว์โดยไม่จำเป็น นี่คือการกระทำในลักษณะที่เอาเลือดระบายออก

เหล่านี้เป็นหลักการของการเชือดสัตว์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในแหล่งคำสอนของอิสลามอันบริสุทธิ์ คือ อัลกุรอานและซุนนะฮฺ (วิถีปฏิบัติของท่านนบี) เหล่านี้เป็นหลักการเดียวกันที่ได้รับการเรียบเรียงโดยอิหม่ามใหญ่และบรรดานักนิติศาสตร์ในทุกสำนักคิด (มัซฮับ) ซึ่งแทบไม่มีความขัดแย้งในหมู่พวกเขาในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักการของการบริโภคเนื้อสัตว์ดังกล่าว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสังกัดสำนักคิดทางนิติศาสตร์ (มัซฮับ) ที่แตกต่างกัน

ในแง่ของการดังกล่าวข้างต้น เราอาจสรุปได้ว่าสัตว์ทุกชนิดที่ได้รับการฆ่าในลักษณะนี้ ตราบใดที่วิธีการเหล่านั้นอยู่ในกรอบสำหรับการบริโภคของมุสลิมถือว่าฮาลาล (เป็นที่อนุมัติ) สำหรับมุสลิมที่จะรับประทาน โดยไม่คำนึงว่าพวกมันถูกฆ่าด้วยมือ หรือด้วยเครื่องจักร

ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างการฆ่าด้วยมือกับเครื่องจักร โดยอ้างว่ากรณีหลังไม่เป็นที่อนุมัติ ย่อมไม่มีเหตุผลเพราะเป็นที่ชัดเจนว่าไม่มีหลักฐานห้ามในแหล่งที่มาทางนิติศาสตร์สำหรับการอ้างดังกล่าว

นอกจากนี้ ท่านนบี (ขอความสันติและความจำเริญจงมีแด่ท่าน) เองได้เตือนเราถึงการอวดภูมิและความเข้มงวดในเรื่องของศาสนา มุสลิมได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงไม่สร้างข้อคัดค้านในเรื่องจุกจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ การใช้พลังงานของคนคนหนึ่งควรที่จะนำมาใช้ในเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่านี้ อาทิเช่น ประเด็นที่มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของอิสลามและมุสลิม

……………………………………………………
โดย ชัยคฺ อะหมัด คุตตี้
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
…………………………………………….
หมายเหตุ
ในมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ : อาหารฮาลาล (มกอช. 8400-2550) ของประเทศไทย ไม่แนะนำการเชือดสัตว์ปีกด้วยเครื่องเชือดกล เว้นแต่กรณีที่จำเป็น การกระทำดังกล่าวต้องเป็นไปตามภาคผนวก ค ของมาตรฐานฉบับนี้ เช่นเดียวกับประกาศคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เรื่อง ข้อกำหนดการตรวจรับรองฮาลาลโรงเชือดสัตว์และการชำแหละชื้นส่วน พ.ศ. 2559 ข้อ 4.5.3 “ไม่แนะนำให้เชือดสัตว์ด้วยเครื่องเชือดกล เว้นแต่กรณีที่จำเป็น การกระทำดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย”
…………………………………………………..
http://anchan.lib.ku.ac.th/…/…/002/460/1/halal_food_old1.pdf
http://www.cicot.or.th/…/regulat…/halal-slaughter-59/1-1.pdf

กลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคมาเลเซียอ้างว่า ปลาที่ชาวมาเลเซียบริโภคนั้นอาจไม่ฮาลาล

Halal Consumer News : สมาคมคุ้มครองผู้บริโภครัฐปีนัง มาเลเซีย ได้เปิดเผยข้อมูลเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แจ้งเตือนผู้บริโภคมุสลิมในมาเลเซียให้ระมัดระวังการรับประทานปลาจากฟาร์มเลี้ยงบางแห่ง ที่อาจเลี้ยงด้วยเศษเนื้อเยื่อวัตถุดิบจากสัตว์ไม่ฮาลาล 

มุฮัมมัด อิดริส (Mohamed Idris) นายกสมาคมคุ้มครองผู้บริโภครัฐปีนัง (Consumer Association of Penang) หรือ CAP อ้างว่า ในปี 2009 พบฟาร์มบางแห่งเลี้ยงปลาด้วยน้ำเสียจากฟาร์มเลี้ยงสุกร ในปี 2013 พบการเพาะเลี้ยงปลาสวายด้วยเครื่องในจากสุกร อีกกรณีพบกะโหลกและกระดูกที่ฐานบ่อปลา เมื่อนำไปตรวจสอบพบว่าเป็น DNA จากสุกร และอีกกรณีจากรัฐเปรักด้วยการนำซากของสุกรมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงปลานิล

เขายังอ้างถึงผลการวิจัยในปี 2010 โดยหน่วยงานด้านการตลาดและเกษตรแห่งรัฐ (FAMA) และมหาวิทยาลัย USM (Universiti Sains Malaysia) ได้เปิดเผยว่า 40% ของผู้ผลิตอาหารสัตว์ในประเทศนี้ใช้วัตถุดิบจากสัตว์เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เพื่อจำหน่ายในประเทศ เขากล่าวว่า “สิ่งนี้สร้างความสงสัยในสถานะฮาลาลของสัตว์ที่เลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ประเภทนี้” เขายังกล่าวอีกว่า สภาฟัตวาแห่งชาติมาเลเซียได้กำหนดว่า สัตว์ที่เลี้ยงด้วยอาหารที่ไม่ฮาลาลนั้นถือว่าหะรอม

มุฮัมมัด อิดริส ยังเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายสำหรับการผลิตอาหารสัตว์ โดยเพิ่มเรื่องฮาลาลในการเตรียม การแปรรูปและการผลิตอาหารสัตว์เข้าไปด้วย และยังเรียกร้องให้กรมพัฒนาอิสลามมาเลเซียหรือ JAKIM กำหนดคู่มือแนวทางการผลิตอาหารสัตว์ให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่สามารถขอการรับรองฮาลาลจาก JAKIM ได้อีกด้วย

“ในเวลานี้มุสลิมควรงดการรับประทานเนื้อสัตว์จนกว่าจะมีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว” เขากล่าวทิ้งท้าย

……………………………………………………….
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: 

Super food 10 อย่างที่จะช่วยบำรุงร่างกายในช่วงเดือนเราะมะฎอน ตอนที่ 3

ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านคงจะได้รับประโยชน์จากบทความ 2 ตอนที่ผ่านมา และเริ่มที่จะทำอาหารจานหลักเหล่านี้ได้บ้างในช่วงสะฮูรและละศีลอดของท่านในเดือนเราะมะฎอน

::: 7. หวงฉี (Astragalus) :::
นี่คือสมุนไพรจีนที่มีลักษณะคล้ายกับไม้ไอติมและมีรสชาดหวานเพียงเล็กน้อย รากของมันจะถูกนำมาตากแห้งเพื่อทำเป็นสมุนไพร ซึ่งนิยมกันมากในการทำยาจีนแผนโบราณเพื่อใช้บำบัดโรค

“หวงฉี” หรือ “จิ้งคี้” จัดว่าเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง นั่นหมายความว่ามันจะช่วยในการปรับตัว สมุนไพรนี้จะช่วยให้ร่างกายสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ สภาพร่างกายที่จะช่วยป้องกันหรือบำบัดอาการเมาและอ่อนเพลียจากการเดินทางที่ต้องบินข้ามประเทศหรือข้ามเขตแบ่งเวลา

ในฐานะที่เป็นสารปรับสมดุล สมุนไพรนี้ถือว่าปลอดภัยสำหรับทุกคนและทุกวันที่ใช้ เดือนเราะมะฎอน อาจเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดได้ ร่างกายนั้นอยู่ในสภาพอ่อนเพลียและตึงเครียดและสมุนไพร เช่น หวงฉีจะช่วยเสริมให้ร่างกายสามารถปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงและช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ

วิธีการที่ง่าย ๆ ที่จะทำให้คุ้นเคยในการรับประทานคือการค่อย ๆ จิบทีละนิด อีกวิธีการหนึ่งคือใส่รวมกับอาหารอื่นๆที่กำลังต้มจนเดือด อาจเติมในชาหรือซุป และในข้าวขณะที่หุงอยู่หรือเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ สมุนไพรนี้จะไม่เปลี่ยนรสเปลี่ยนกลิ่น จนทำให้เสียรสชาด แต่จะช่วยทำให้ร่างกายของคุณรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

::: 8. น้ำมะพร้าว :::
น้ำมะพร้าวเต็มไปด้วยเกลือแร่ (electrolytes) และสารอาหารต่าง ๆ เป็นเครื่องดื่มที่สามารถดับกระหายหลังถือศีลอดของท่านได้ดีที่สุด

น้ำมะพร้าวสด ๆ นั้นดีที่สุดแต่อาจหาได้ไม่ง่ายนัก ให้มองน้ำมะพร้าวที่ไม่เติมน้ำตาลหรือวัตถุกันเสีย

::: 9. สาหร่ายทะเล :::
หลายคนอาจะไม่ชอบมัน เพราะกลิ่นและรสชาติคล้ายคาวปลา สาหร่ายทะเลมีหลายชนิด และไม่ใช่ทุกชนิดจะมีรสหรือกลิ่นคาว

สาหร่าย 2 ชนิด คือ สาหร่ายคอมบุ (kombu) และแผ่นสาหร่ายทะเลเป็นสาหร่ายที่มีประโยชน์ง่ายต่อการใช้บริโภคโดยไม่มีสารปรุงแต่งที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด

สาหร่ายทะเลมีความสำคัญอย่างไร ? และทำไมมันจึงความสำคัญขนาดนั้น ? 

สาหร่ายทะเลและสาหร่ายสีเขียวอื่น ๆ อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารไอโอดีน ใช่ สารไอโอดีนนั้นถูกเติมในเกลือป่นมากที่สุด แต่เป้าหมายของมัน คือการดูดซึมนั่นเอง

สาหร่ายสีเขียว (Sea vegetables) ให้สารไอโอดีนชนิดหนึ่งที่ง่ายต่อการดูดซึม ร่างกายของท่านจะไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากสิ่งที่ไม่สามารถดูดซึม

แผ่นสาหร่าย (Kelp flakes) สามารถโปรยลงในอาหารของท่านเหมือนกับเครื่องปรุงอาหาร ส่วนสาหร่าย “คอมบุ” นั้นเป็นสาหร่ายทะเลที่มีความเหนียว ซึ่งจะไม่ละลายเข้ากับอาหารได้ง่ายเมื่อนำมาปรุง ให้ใส่แผ่นสาหร่าย “คอมบุ” ในน้ำที่กำลังต้มเพื่อสกัดสารอาหารออกมา

ต้องมั่นใจว่าสาหร่ายที่ซื้อมานั้นผลิตโดยไม่มีการหลอกหลวง พร้อมทั้งมองงสาหร่ายทะเลที่ผ่านการทดสอบว่าไม่มีโลหะหนักปนเปื้อน คุณอาจจะต้องการหลีกเหลี่ยงสาหร่ายทะเลที่มาจากแหล่งที่มีการรั่วไหลของน้ำมันหรือที่ที่อาจจะปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี

น้ำ เป็นตัวทำละลายที่ครอบคลุมและสาหร่ายทะเลนั้นอยู่ในน้ำทะเล ดังนั้นสาหร่ายทะเลจึงมีระดับที่แตกต่างตามระดับความเป็นพิษของน้ำ เพราะฉะนั้น หากคุณมีความดันโลหิตสูงหรือภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ควรปรึกษาแพทย์ที่ชำนาญในการดูแลสุขภาพก่อนที่นำมาเป็นอาหารของคุณ

::: 10. เนื้อโกโก้บด (เป็นช็อคโกแลตดิบ) :::
ช็อคโกแลตดิบนั้นมีแมกนีเซี่ยมสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอาหารอื่น ๆ ร่างกายใช้แมกนีเซี่ยมในกระบวนการต่าง ๆมากกว่า 200 กระบวนการ และแมกนีเซียม/แคลเซียมครึ่งหนึ่งจะควบคุมการเต้นของหัวใจ แมกนีเซียมจะถูกดึงมาใช้เมื่อร่างกายนั้นมีความตึงเครียด ควรเสริมแมกนีเซียมด้วยช็อคโกแลตดิบในกับเนื้อโกโก้บด

เดือนเราะมะฎอนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่จะเพิ่มอาหารเหล่านี้ในโภชนาการของท่านเพื่อให้มีสุขภาพและสารอาหารที่เพียงพอยาวนานตลอดทั้งเดือน

………………………………………………………..
อ้างอิง:
Fife, Bruce, Dr. C.N., N.D, Coconut Cures. Piccadilly Books, Limited (March 1, 2005).
The World’s Healthiest Foods.
Abeytia, Anisa, “Chocolate: Good and Good for You.” Aboutislam.net (November 25, 2010).
……………………..

ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง

Super food 10 อย่างที่จะช่วยบำรุงร่างกายในช่วงเดือนเราะมะฎอน ตอนที่ 2

::: 4. น้ำมันมะพร้าว :::
ไขมันคุณภาพสูง คือการลงทุนที่ดีที่สุดที่ท่านจะทำได้เพื่อสติปัญญาที่สมบูรณ์ เพราะสมอง ระบบประสาท และระบบการสืบพันธุ์ล้วนแล้วถูกสร้างมาจากไขมันทั้งสิ้น

แต่ละเซลล์ของเรานั้นถูกปกคลุมในไขมัน ร่างกายจำเป็นต้องใช้ไขมันในการละลายวิตามินดังเช่นวิตามินดีและเอ ไขมันนั้นเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของร่างกาย อีกทั้งไขมันยังช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนาน และช่วยควบคุมระดับน้ำตามในเลือด มีการให้ข้อมูลผิดพลาดมากมายในเรื่องไขมันดีและจะใช้มันอย่างไรในการปรุงอาหารของเราในแต่ละวัน

มีน้ำมันบางประเภทปลอดภัยสำหรับการปรุงอาหาร เช่น น้ำมันมะพร้าว เนย น้ำมันเนย ไขมันสัตว์และน้ำมันปาล์ม และมีน้ำมันบางประเภทสามารถรับประทานสดๆได้อย่างปลอดภัย เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ดอกทานตะวัน เมล็ดงา น้ำมันถั่ว น้ำมันพืช (vegetable oil) โดยส่วนมากจะไม่มีความปลอดภัยสำหรับการทำอาหาร หมายถึง น้ำมันจะต้องไม่โดนความร้อน เมื่อคุณทำให้มันร้อน มันจะทำให้เหม็นหืนและบูดเน่าจะปล่อยอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายของคุณ

เมื่อคุณเลือกซื้อน้ำมัน ต้องมั่นใจว่ามันเป็นน้ำมันออร์แกนิกและปลอดจากสารเคมีเช่นตัวทำละลายต่างๆ จงเลือกน้ำมันที่มีอยู่ในภาชนะที่ทึบแสง เพราะน้ำมันจะทำปฏิกิริยากับแสงทำให้เหม็นหืน

::: 5. น้ำ :::
เราไม่เคยคิดว่า “น้ำ” จะเป็น super food แต่กลับใช่ น้ำมีความสำคัญอย่างมาก จนเราไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้หากปราศจากน้ำ ในช่วงเดือนเราะมะฎอนเราจะสูญเสียน้ำในร่างกายได้ง่าย กรณีหากร่างกายไม่ได้รับน้ำเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน (มากกว่าหนึ่งเดือน ซึ่งมันจะไม่เกิดขึ้นเพราะว่าคุณถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน) กลไกความกระหายน้ำของคุณก็จะหยุดทำงาน นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณยังคงกระหายน้ำ แต่ร่างกายจะไม่ส่งสัญญาณใดๆไปยังสมองว่าร่ายงการต้องการน้ำ การที่เราถือศีลอดไม่ได้หมายความว่า การทำงานของร่างกายจะหยุดความต้องการน้ำ เพราะอาการปวดศีรษะ ความเหนื่อยล้า อาการมึน ความฉุนเฉียวง่าย ความเจ็บไข้บ่อยครั้งเกิดจากการที่ร่างกายมีน้ำไม่เพียงพอ (inadequate hydration)

ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ? นี่คือวิธีการคำนวณง่าย ๆ ที่จะสามารถทำโดยใช้น้ำหนักของคุณมาหารสอง

ดังกล่าวนี้ จะทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ซึ่งยังไม่ได้รวมกับการเสียเหงื่อ การให้นม การมีประจำเดือน ปริมาณที่บริโภคเนื้อ น้ำตาล ชาหรือการสูบบุหรี่ กิจกรรมทั้งหมดนี้ทำให้ร่างกายของคุณต้องสูญเสียน้ำจำนวนไม่น้อยจึงจำเป็นต้องบริโภคน้ำทดแทนในปริมาณที่เพียงพอ

::: 6. ข้าวกล้อง :::
ในทวีปเอเชีย ข้าวถือว่าเป็นอาหารหลักที่มีความสำคัญอย่างมาก การบริโภคข้าวขัดสีทำให้ขาดสารอาหารหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไธอามีน (การขาดแคลน วิตามิน บี1) ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคเหน็บชาส่วน (การขาดแคลน บี 3) “ไนอะซิน” ก็จะก่อให้เกิด โรค “เพลแลกรา” (จะมีการอาการท้องร่วง คันตามผิวหนัง) วิตามินจำเป็นต่อการดูแลสุขภาพและวิตามินบี 3 นั้นมีความสำคัญในทำให้หัวใจมีสุขภาพดี เป็นที่น่าสนใจว่า ทั้งโรคเหน็บชาและโรคเพลแลกราเป็นความเจ็บป่วยที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อนที่จะเริ่มมีข้าวขาว อาการทั้งสองอย่างไม่ใช่โรคแต่เป็นผลมาจากการขาดสารอาหาร

[สูตร]
1. ข้าวกล้อง 4 ถ้วยแก้ว
2. น้ำ 4 ถ้วยแก้ว
3. สาหร่ายคอมบุ 1 แผ่น
4. เนย 2 ช้อนโต๊ะ
5. หัวหอมหั่นเต๋า ½ นิ้ว 
6. กระเทียมสับ 4 กลีบ
7. หญ้าฝรั่น 1 หยิก
8. เกลือ ขมิ้นชัน 1 ช้อนชา 

[วิธีการ ]
ละลายเนยด้วยความร้อนและตามด้วยหัวหอมลงในหม้อทอดประมาณ 1-2 นาที จากนั้นใส่กระเทียมและทอดอีกประมาณ 1-2 นาที เติมเกลือเล็กน้อย และเทน้ำเข้าไปพร้อมกับใส่ใส่สาหร่าย Kombu (คอมบุ) ใส่เนยอีก 1 ช้อนโต๊ะและเกลือเพื่อให้มีรสชาด นำไปต้มให้เดือด จากนั้นใส่ขมิ้น หญ้าฝรั่นและข้าว แล้วปิดฝา (ที่มีช่องระบายไอน้ำ) และตั้งไฟไว้ประมาณ 15-20 นาที คอยสังเกตดอยู่ตลอดเพื่อจะเติมน้ำตามความจำเป็น ลดความร้อนลงครึ่งหนึ่งและต้มต่อ 15 นาที ลดความร้อนให้พอเดือดกรุ่นๆต้มทิ้งไว้อีก 15 นาทีแล้วทิ้งไว้สักพักจนกระทั่งสุกได้ที่

………………………………………………………..
อ้างอิง:
Fife, Bruce, Dr. C.N., N.D, Coconut Cures. Piccadilly Books, Limited (March 1, 2005)
Teicholz, Nina, The Big Fat Surprise: Why Butter, Meat & Cheese Belong in a Healthy Diet. Simon & Schuster (2014). http://www.westonaprice.org/health-topics/the-big-fat-surprise-toxic-heated-oils/
Batmanghelid, J, Dr. MD, Your Body’s Many Cries for Water . Global Health Solutions, Inc.; Third Edition edition (November 1, 2008)
Carpenter, Kenneth J. ,” white rice, and vitamin B: a disease, a cause, and a cure.” Choice November 2000 38:38-1592
Fallon, Sally, Nourishing Traditions. Newtrends Publishing, Inc (2003)
……………………..

ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง