Bubble Street ชานมไข่มุกฮาลาล ชานมไข่มุกริมทาง รสชาตจัดจ้านกลมกล่อม หอมชาปักษ์ใต้แท้ ราคาเบา

#BIHAPSTORY 12

ผมเชื่อว่าการเรียนเราจะได้ “ความรู้” และการทำกิจกรรมจะทำให้เราได้ “ประสบการณ์”

ผมชื่อ อบูบักร อาแวนิ ปัจจุบันกำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาอิสลามศึกษา หลักสูตรนานาชาติ ณ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี นอกจากนั้นผมยังทำกิจกรรมเป็นนายกองค์การบริหารนักศึกษา มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ได้ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้น นายไฟรุส เจ๊ะมะเจ ในการเริ่มธุรกิจชานมไข่มุก

ทำไมต้องรอให้เรียนจบ แล้วค่อยสร้างตัว สร้างฐานะ ผมเชื่อว่าธุรกิจเริ่มได้ตั้งแต่รั้วมหาลัย

ปีที่ 3 ของการเรียนในรั้วมหาลัยผมเลือกที่จะทำธุรกิจไปพร้อมๆกับการเรียนก็เพราะ อยากสร้างอาชีพให้ตัวเองสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ สามารถหารายได้ได้ เผื่อสักวันนึงที่พ่อแม่เราจากไปก็สามารถเป็นเสาหลักให้แก่พี่ๆน้องๆในครอบครัวได้ และคิดว่านอกจากช่วยเหลือตัวเองได้แล้วก็อยากจะช่วยเหลือสังคม เพราะเป็นคนนึงที่คลุกคลีกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมเลยเห็นปัญหาของการทำงานคือไม่มีงบสนับสนุนในการทำกิจกรรมของเยาวชน และการได้เป็นแรงบันดาลใจแก่คนอื่นให้ลุกขึ้นสู้กับปัญหาในชีวิต และความใฝ่ฝันสูงสุดคืออยากจะเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ดั่งอับดุรเราะอฺมาน บิน เอาฟ์ (นักธุรกิจผู้ที่บริจาคมากกว่าครึ่งนึงของทรัพย์สินของเขา) เลยเลือกเริ่มตั้งแต่ยังเรียนอยู่เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ตัวเอง

เริ่มจากสิ่งที่ชอบ ลงมือทำในสิ่งที่ใช่ ชานมไข่มุกในครั้งเยาว์วัย

ผมเชื่อว่าเราทุกคนมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเล็กในสายตาของผู้อื่นก็ตาม ในหลายๆความฝันผมก็มีความฝันหนึ่งนั้นก็คืออยากได้เปิดร้านชานมไข่มุก เนื่องในสมัยเด็กๆเป็นคนที่ชอบชานมไข่มุกมากๆ ทุกๆวัน ยอมที่จะเก็บเงินส่วนค่าขนม 5 บาท 10 บาท เพื่อรอคิวซื้อน้ำชาไข่มุก แต่คนเรามักมีความกลัวความกังวลไม่กล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ติดตามเพจของพี่ชายคนหนึ่งกำลังเรียนอยู่เช่นกัน ซึ่งเขาเป็นเปิดธุรกิจชานมไข่มุกในมหาลัยที่มาเลเซีย และได้รับความนิยมอย่างมาก เขามักจะแบ่งปันไอเดียและแรงบันดาลในผ่านวีดีโอต่างๆของเพจเขา ซึ่งมีวีดีโอหนึ่งที่ผมประทับใจและทำให้ผมเริ่มที่จะทำธุรกิจนี้ขึ้นมาได้ นั้นก็คือบางส่วนของวีดีโอที่ว่า “ทำในสิ่งที่เรารัก เป็นในสิ่งที่เราอยากจะเป็น ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นอยากจะเห็น เพราะเรามีแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น”

เชื่อในความดี เชื่อในอัลลอฮฺ ที่มาของ Bubble Street ชานมไข่มุกฮาลาล

Bubble Street เป็นการรวมคำระหว่างคำว่า Bubble ที่หมายถึงฟอง เนื่องจากไข่มุก (boba) มีรูปร่างที่คล้ายๆกัน ส่วนคำว่า Street ที่หมายถึงถนน เหมือนกับอาหารขายริมทางที่เขาใช้คำว่า street food เราจึงเอามารวมกันไว้โดยให้ความหมายว่าชานมไข่มุกริมทาง ที่จะมอบความสะดวกสะบายในการจับจ่ายและรวดเร็วเหมาะสำหรับคนเดินทางที่ต้องการหยุดพัก นอกจากนี้เรายังต้องการยกระดับและพัฒนาอาหารประเภท Street Food ให้มีคุณภาพและยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศของ Street Food ที่เป็นเอกลักษณ์และอยู่ร่วมกับการใช้ชีวิตของคนไทยเสมอมา

ส่วนจุดดำๆ 6 จุดที่มีอยู่ในโลโก้นั้นก็คือ เสาหลักความเชื่อของมุสลิมที่ไม่ควรละทิ้งไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทำอาชีพอะไร เพราะการเชื่อในอัลลอฮฺ(พระเจ้า) บรรดามลาอีกะฮฺ(เทวทูต) บรรดารอซูล(ศาส ทูต) กีตาบต่างๆ(คัมภีร์จากฝากฟ้า) วันกิยามะฮฺ(วันสิ้นโลก) กอฏอ กอดัร(กำหนดสภาวะต่างๆ) จะทำให้เราทำสิ่งที่ดีที่สุด สุจริตที่สุด และไม่ลืมเป้าหมายของการทำธุรกิจคือการได้ช่วยเหลือ และมอบโอกาสให้แก่ผู้ที่ด้อยโอกาส ไม่ใช่การเข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตนเองและลืมผู้อื่นไว้

Bubble Street ชานมไข่มุกฮาลาล คัดตั้งแต่วัตถุดิบ จึงทำให้เราแตกต่าง และโดนใจลูกค้า

เราคัดเลือกและคัดสรรค์วัตถุดิบที่เป็นชาไทย และในเมนูอื่นๆที่ดึงความเป็นสมุนไพรไทยที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่นเมนูอัญชัน กระบวนการทำไข่มุกที่มีความนุ่มและหอมหวาน นอกจากเรื่องวัตถุดิบที่เลือกใช้สิ่งที่ฮาลาลแล้วก็คือการบริการที่เป็นกันเองกับลูกค้า จึงทำให้เป็นที่ตอบรับและนิยมในหมู่นักศึกษาและวัยรุ่น และการมอบกำไรบางส่วนกลับคืนสู่ลูกค้าเช่นการสนับสนุนการจัดโครงการหรือกิจกรรมต่างๆชองนักศึกษา

เริ่มที่รั้วมหาลัย แต่ฝันไกลไปทั่วประเทศด้วยระบบแฟรนไชส์

ร้าน Bubble Street จะตั้งอยู่ตรงข้ามประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยฟาฏอนี ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และมีการออกบูธตามงานใหญ่ๆ เช่นงาน Halal Expo, world hapex, waqaf festival จะมีการขยายสาขาไปจังหวัดต่างๆ หลังจากได้เข้าร่วมโครงการ key success to the best halal franchise ได้มาอบรมในการจัดการทำเฟรนไชส์ที่มาตรฐานโดยวิทยากรจากสมาคมเฟรนไชส์และไลน์เซ็นต์ และถูกหลักฮาลาลโดยศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ในอนาคต Bubble Street ชานมไข่มุกฮาลาล มีแผนที่นก็จะเป็นเป็นธุรกิจเฟรนไชส์ขายให้กับทางผู้ที่สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นการขยายตลาดเฟรนไชส์ฮาลาลสู่ตลาดโลก

ติดตามได้ทางเพจ : Bubble Street ชานมไข่มุข
และ Instagram : bubblestreet2018

สุขจากการได้รับว่าสุขแล้ว แต่สุขจากการได้ให้นั้นสุขยิ่งกว่า

อยากให้เราทุกคนลงมือทำสิ่งที่เรารัก ก่อนที่จะสายเกินไป และเราจะไม่มานั่งเสียดายเมื่อวันหนึ่งที่เราแก่ตัวไป

ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนทำด้วยความรัก ผลที่ออกมาจะสวยงามและพอใจ แม้ว่ามันจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เราก็จะมีกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้แลเดินหน้าต่อไปสู่ผู้ที่เป็นผู้ให้แก่ผู้อื่นก่อนเสมอ นึกถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับสังคม แน่นอนสักวันความสำเร็จจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพราะเราชื่อว่า การให้คือการได้รับ และแน่แล้วว่าการได้รับนั้นมีความสุข แต่การได้ให้นั้นสุขยิ่งกว่า

………………………………………………………………………………………………………………………
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สำนักงานปัตตานี)
300/80 ถนนหนองจิก ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี 94000
โทร 073-333-604 แฟกซ์ 073-333-602
Facebook : ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สำนักงานปัตตานี)
#HALALSCIENCE2020
#HSCPN
#HALALPATTANI
#HALALCHULA

ดุอาอฺเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องหรือเห็นฟ้าแลบ

ดุอาอฺเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องหรือเห็นฟ้าแลบ ให้กล่าวตัสบีหฺ เช่น
سُبْحَانَ الَّذِيْ يُسَبِّحُ الرَّعْدُ بِحَمْدِهِ
وَ الْمَلاَئِكَةُ مِنْ خِيْفَتِـهِ
ซุบฮานัลละซี ยุซับบิหุรเราะอดฺ บิฮัมดิฮี วัลมะลาอิกะตุ มินคีฟะติฮี
“มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ผู้ซึ่งท้องฟ้าได้ร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญแด่พระองค์ และมลาอิกะฮฺก็สดุดีด้วยความยำเกรงต่อพระองค์”

การเชือดพลี(กุรบ่าน)และการกินเนื้อแกะป่า

:: [คำถาม] ::
อัสสะลามุอะลัยกุม การกินและทำกุรบ่านด้วยแกะป่าเป็นสิ่งที่ได้รับอนุมัตหรือไม่

:: [คำตอบ] ::
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ ผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัด(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)เป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์

เราไม่ทราบจริง ๆ ว่า “แกะป่า” ที่ท่านเอ่ยถึงคืออะไรกันแน่ หากหมายถึงมันดุร้าย ย่อมไม่สามารถนำมาเชือดเพื่อทำกุรบ่านได้ นี่เป็นจากความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่

อิมามอัสสะร็อคซี (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)กล่าวว่า

วัวป่า (Wild cows) ลาป่า (wild donkeys) และแอนทิโลป (antelope-สัตว์คล้ายกวาง) ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นสัตว์เพื่อการเชือดพลี(กุรบ่าน)ไม่ว่าจะด้วยการเชือดที่สมัครใจหรือการเชือดที่เป็นข้อบังคับ เพราะการเชือดพลีนั้นถูกนิยามโดยชะรีอะฮฺในฐานะที่การงานที่ดีโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ ชะรีอะฮ์ได้กำหนดว่าสัตว์พลีจะต้องมาจาก กลุ่มอันอาม ซึ่งได้แก่ อฐ (domesticated) camels) ปศุสัตว์ (วัว ควาย) แกะและแพะ ยิ่งไปกว่านั้นการเชือดสัตว์ป่าไม่นับว่าเป็นการเริ่มต้นของการแสวงหาการใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ… หากสัตว์ที่จะเชือดเกิดมาเป็นเพศผู้ที่ดุร้ายกับเพศเมียที่เชื่อง ยอมรับให้มาทำกุรบ่านได้ แต่หากเพศเมียดุร้าย ลูกของมันไม่อาจยอมรับว่าสามารถนำมาทำกุรบ่านที่ถูกต้องได้ เพราะลูกย่อมเป็นส่วนหนึ่งของแม่ (อัลมับสูฏ)

อย่างไรก็ตามเนื้อสัตว์ป่านั้น อนุญาต (หะลาล) ให้บริโภคได้ สารานุกรมนิติศาสตร์อิสลามของคูเวตกล่าวว่า “อนุญาตให้บริโภคเนื้อของสัตว์ป่าที่ไม่มีเขี้ยวเพื่อการล่าเหยื่อ และต้องไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของแมลง ตัวอยางเช่น แอนทิโลป วัวป่า ลาป่า และอูฐป่า เนื้อของสัตว์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่อนุมัต(หะลาล)สำหรับมนุษย์ที่จะบริโภคตามความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ของบรรดาปวงปราชญ์

อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด

.………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamweb.net

มังสวิรัติแบบฮาลาล

ส่วนนี้ของบทความจะแสดงให้เห็นว่าการรับประทานมังสวิรัติและจริยศาสตร์ในการรับประทานตามหลักศาสนาอิสลามนั้นมีความสอดคล้องกันอย่างไร และพฤติกรรมการรับประทานแบบมังสวิรัติจะสามารถช่วยสัตว์ ช่วยโลก และช่วยสุขภาพของคุณอย่างไร

:: ส่วนประกอบจากสุกรอยู่ในผลิตภัณฑ์น้ำนมของคุณหรือไม่? ::
คุณรับประทานเนื้อ “ฮาลาล” หรือไม่ ? คุณรู้ไหมว่าแกะของคุณอาจกินไก่เป็นอาหาร ? หรือโคนมของคุณอาจมีกระดูกสุกรเป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหารของมัน ? บทความนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ขยายไปไกลกว่าเนื้อสัตว์ในอเมริกามาก แม้แต่สัตว์ในโลกอิสลามก็อาจได้รับอาหารที่มีส่วนประกอบที่ไม่ฮาลาลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

:: เมตตาธรรมในอิสลาม ::
อัลกุรอานได้กล่าวชัดเจนถึงชีวิตที่พิเศษของสัตว์

“เจ้าไม่รู้หรือว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺนั้นทรงได้รับการสรรเสริญสดุดีจากผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และมวลสกุณาที่ร่อนอยู่กลางอากาศ ทุก ๆ สิ่งนั้นต่างก็รู้การนมัสการแด่พระองค์และกล่าวสรรเสริญสดุดีแด่พระองค์ของตนเอง และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเขากระทำ” (อัน นูร 24:41)

“และไม่ว่าจะเป็นสัตว์ในแผ่นดิน และไม่ว่าจะเป็นนกที่บินได้ด้วยปีกทั้งสองข้างของมันก็ตาม นอกจากว่า (พวกมันเหล่านั้นก็) เป็นบรรดาประชาชาติที่เหมือนกับพวกเจ้าทั้งหลายนั่นเอง เรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์ หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกรวบรวมไปยังองค์อภิบาลของพวกเขา (เพื่อรอรับการพิพากษา)” (อัล อันอาม 6:38)

อัลกุรอานกล่าวว่าสัตว์เป็นดั่งเผ่าพันธุ์และประชาชาติในลักษณะของพวกเขาเอง และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคุณค่ามากกว่าการนำมาใช้เป็นทรัพยากรสำหรับการบริโภคเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สัตว์เหล่านี้ปัจจุบันได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากเครื่องจักรที่ไม่มีชีวิต อย่าง “ฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหาร” (factory farming) ไม่ใช่แค่ฟาร์มโรงงานที่พบในตะวันตกเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นกระบวนการสำคัญในการผลิตเนื้อสัตว์ ไข่ และนมทั่วโลก ในแต่ละปีมีการฆ่าสัตว์เพื่อใช้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหารมากกว่า 20 พันล้านตัวทั่วโลก สัตว์หลายพันล้านตัวถูกคุมขังในพื้นที่จำกัดขนาดเล็กเพื่อให้ผู้ผลิตสามารถเลี้ยงสัตว์ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไข่ 90% ของสหรัฐอเมริกามาจากไก่ที่ถูกยัดในกรงที่ขนาดเท่าหน้าปกแผ่นเสียงด้วยกัน 5 ตัว และกระบวนการผลิตไข่แบบนี้ได้แพร่หลายไปทั่วโลก

ไก่จะถูกตัดจะงอยปากของมันด้วยเหล็กร้อน ปศุสัตว์ทั้งหลายจะถูกสูญเขา ถูกตอน และถูกประทับตราหรือเลขกำกับไว้ ส่วนหางของมันก็จะถูกตัดโดยปราศจากการใช้ยาชา โคนมจะถูกจำกัดอยู่ในคอกเล็ก ๆ และถูกกักไว้ตลอดด้วยการผสมเทียม สัตว์ทุกตัวที่อยู่ในฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน

ความแออัดยัดเยียดของฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารนี้เองทำให้สัตว์หลายชนิดเกิดภาวะจิตป่วยและก่อความเสียหายให้กับตัวเองเนื่องจากความเบื่อหน่ายหรือความเครียด เพื่อต่อสู้กับโรคภัยที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมที่แออัดเหล่านี้ เกษตรกรประจำโรงงานมักฉีดพ่นสัตว์ด้วยสารกำจัดศัตรูพืชและฉีดยาปฏิชีวนะ เพื่อให้ปศุสัตว์ที่เลี้ยงนั้นอ้วนอย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนที่ราคาไม่แพง สัตว์เหล่านั้นจะได้รับการฉีดฮอร์โมนการเจริญเติบโต ซึ่งฮอร์โมนและสารเคมีที่ตกค้างเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคที่รับประทานเนื้อของมัน
การปฏิบัติต่อสัตว์เยี่ยงนี้นั้นละเมิดคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งท่านได้สั่งห้ามมิให้สร้างความเจ็บปวดทรมานต่อสัตว์ก่อนที่จะถูกเชือด นอกจากนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ยังห้ามมิให้ตัดหางและตัดชิ้นส่วนอื่น ๆ ของสัตว์ให้พิกลพิการ รวมถึงการประทับตราสินค้าบนใบหน้า (ซึ่งยังคงปฏิบัติโดยเจ้าของฟาร์มหลายแห่ง)

ในระหว่างกระบวนการลำเลียงและขนส่งสัตว์ สัตว์ที่ถูกนำไปผลิตเป็นอาหารโดยทั่วไปมักไม่ได้รับอาหารและน้ำ สภาพแวดล้อมในระหว่างการลำเลียงก็จะแออัดยัดเยียด สัตว์ที่อยู่ในยานพาหนะจะไม่ได้รับการปกป้องจากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อาจสร้างความอันตราย และสัตว์ที่อ่อนแรงก็จะถูกละเลยไม่ได้รับการดูแลรักษาเป็นเวลาหลายวันจนกระทั่งต้องรอจนถึงวันเชือด ไก่หลายตัวต้องปีกหักในระหว่างการขนส่ง สัตว์หลายตัวต้องขาดอากาศหายใจในพาหนะขนส่ง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่าอย่าให้สัตว์ต้องรอการเชือด และท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เคยทำโทษชายที่ปฏิเสธที่จะให้น้ำแก่แกะก่อนที่มันจะถูกนำไปเชือด

บ่อยครั้งที่เกิดการทารุณกรรมที่โหดร้ายต่อสัตว์ในระหว่างการเชือด หนึ่งในเรื่องราวระหว่างตรวจสอบสัตว์ที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการเชือดแบบซะบีฮะฮฺ (ตามหลักการศาสนา) พบว่า บางแห่งก็มีวัวที่ถูกตัดชิ้นส่วนแขนขาออกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้กระทั่งชาวมุสลิมที่พยายามหาเนื้อสัตว์ฮาลาลมาบริโภคก็อาจซื้อเนื้อฮาลาลที่เหมือนกับจะผ่านกรรมวิธีการเชือดตามหลักการศาสนา แต่ด้วยกระบวนการที่โหดร้ายไม่ถูกหลักจริยศาสตร์อิสลามเช่นนี้ อาจทำให้พวกเขาไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์ฮาลาลจริงที่ถูกต้องตามหลักการก็เป็นได้ จากการตรวจสอบเนื้อสัตว์ฮาลาลที่ส่งออกจากประเทศอินเดียพบว่า ในระหว่างกระบวนการนั้น สัตว์กลับถูกถลกหนังและถูกเชือดในขณะที่สัตว์เหล่านั้นอยู่ในสภาพกระวนกระวายและพยายามหลบหนี หรือบางทีก็พบว่าสัตว์เหล่านั้นถูกเชือดในขณะที่ได้รับสัญญาณที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนถึงกระบวนการที่จะคร่าชีวิตของพวกเขา (เช่น การลับมีดให้เห็นต่อหน้าสัตว์ที่จะเชือด) แม้จะมีคำตัดสินทางศาสนาถึงกระบวนการเชือดว่า สัตว์จะต้องอยู่ในสภาพที่สิ้นชีวิตอย่างชัดเจนก่อนจะเริ่มทำการถลุงหนังหรือตัดชิ้นส่วนของสัตว์ และหลักการที่ว่าห้ามลับมีดให้เห็นต่อหน้าสัตว์ที่จะเชือด

เนื้อที่ได้จากฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเหล่านี้อาจไม่ฮาลาล (อนุญาต) เพราะปศุสัตว์ทั้งหลายที่เลี้ยงในฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเหล่านี้ เช่น วัว แกะ ไก่ และสัตว์อื่น ๆ อาจได้รับอาหารจากชิ้นส่วนหรือกระดูกบดจากสุกร ไก่ และวัว รวมทั้งมูลไก่ และของเสียอื่น ๆ ที่น่ารังเกียจมาใช้เป็นส่วนประกอบที่อยู่ในอาหารสัตว์ ซึ่งนักวิชาการมุสลิมบางท่านเชื่อว่าการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ผ่านการเลี้ยงดูด้วยอาหารชนิดนี้นั้นหะรอม (ต้องห้าม) ด้วยเหตุผลสองประการ:

1. สัตว์เหล่านี้ได้บริโภคชิ้นส่วนจากสุกร
2. สัตว์เหล่านี้อาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นสัตว์กินเนื้อ (และชิ้นส่วนจากสัตว์) ซึ่งสัตว์กินเนื้อโดยทั่วไปนั้นถือว่าต้องห้ามสำหรับการบริโภคในศาสนาอิสลาม

:: สิ่งแวดล้อม ::
ชาวมุสลิมนั้นได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบและดูแลสิ่งแวดล้อม อัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า

“แท้จริงเราได้เสนอ[คุณลักษณะแห่ง]ความซื่อสัตย์ (อะมานะฮฺ) ให้แก่ฟากฟ้า แก่แผ่นดิน และแก่ภูเขา [ให้รับผิดชอบ] แต่พวกมันปฏิเสธที่จะรับผิดชอบสิ่งนั้น และพวกมันมีความหวาดกลัว[ภาระอันหนักอึ้ง]ต่อสิ่งนั้น แต่มนุษย์กลับรับมันไว้” (อัล อะหฺซาบ 33:72)

ซึ่งการบริโภคผลิตภัณฑ์จากฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารโดยตรงจะนำไปสู่การทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ทำให้ดินเสื่อมโทรม การใช้ทรัพยากรน้ำปริมาณมหาศาล สร้างมลพิษทั้งในดินและในน้ำจากน้ำทิ้งที่เป็นสิ่งปฏิกูล ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของการทำฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มเติมได้

:: สุขภาพ ::
ชาวมุสลิมนั้นได้รับการส่งเสริมให้รับประทานอาหารที่ดี บริสุทธิ์ และมีประโยชน์ แต่ตอนนี้เราทราบแล้วว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์นั้นสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย ผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจถึง 10 เท่า เสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และเสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน ไส้ติ่งอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน และโรคอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ ในผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์พบสารกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีชนิดอื่น ๆ ที่ตกค้างมากถึง 14 เท่า หากเทียบกับที่พบในอาหารที่ได้จากพืช ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพจากการรับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์เพิ่มเติมได้


:: อิสลามไม่ได้กำหนดการรับประทานเนื้อสัตว์เป็นข้อบังคับ ::
“จงกล่าวเถิด[มุฮัมมัด]ว่า ฉันไม่พบเลยในบทบัญญัติที่ฉันได้รับการดล[จากอัลลอฮฺ]ว่ามีสิ่งที่ถูกห้ามแก่ผู้ต้องการบริโภคจะพึงบริโภคสิ่งนั้น นอกจากที่ห้ามบริโภค” (อัล อันอาม 6:145)

อัลกุรอานกล่าวว่า เฉพาะเนื้อสัตว์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถบริโภคได้หากท่านประสงค์ที่จะบริโภคมัน ในคำสอนอิสลามไม่ได้กำหนดการรับประทานเนื้อสัตว์ว่าเป็นข้อบังคับสำหรับชาวมุสลิม ซึ่งการบริโภคเนื้อสัตว์ประเภทนี้นั้นไม่ได้รับการส่งเสริมหรือได้รับการแนะนำเป็นพิเศษ

ขณะที่การเลี้ยงสัตว์ตามระบบอุตสาหกรรมอาหารสมัยใหม่ไม่สอดคล้องกับคำสอนในเรื่องเมตตาธรรมของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม และไม่สอดคล้องกับสถานะของสัตว์ที่ได้รับการอธิบายไว้ในอัลกุรอาน การปรับใช้พฤติกรรมการบริโภคแบบมังสวิรัติ (อาหารปลอดจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม และไข่) บ้างตามโอกาสเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับชาวมุสลิมในการดำรงชีพตามหลักจริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของศาสนาอิสลาม

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: animalsinislam.com

ข้อบัญญัติเกี่ยวกับสิ่งของที่ผลิตมาจากหนังสัตว์

บทบัญญัติอิสลามกล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับการใช้หนังสัตว์ชนิดต่าง ๆ ทั้งที่ได้จากสัตว์ที่เราสามารถทานเนื้อของมันและจากสัตว์ที่เราไม่สามารถทานเนื้อของมัน ทั้งที่ถูกฟอกและไม่ถูกฟอก

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

หนังสัตว์ที่ได้รับการเชือดด้วยวิธีหะลาลถือว่าเป็นสิ่งที่สะอาด(ฏอฮิรฺ) เพราะกระบวนการเชือดที่ถูกต้องได้ทำให้มันเป็นสิ่งที่ดี เช่น หนังอูฐ หนังวัว หนังแกะ ละมั่ง กระต่าย ฯลฯ ไม่ว่ามันจะถูกฟอกหรือไม่ถูกฟอกก็ตาม

สำหรับหนังสัตว์ที่เนื้อของมันไม่สามารถรับประทานได้เช่น สุนัข หมาป่า สิงห์โต ช้างและอื่นๆ ถือว่าเป็นนญิส (สิ่งสกปรกหรือไม่บริสุทธิ์ตามหลักศาสนา) ไม่ว่าจะโดนเชือด ตายเองหรือถูกฆ่าโดยวิธีใด ๆ เพราะแม้ว่าจะเชือดมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหะลาล มันยังเป็นสิ่งนญิสไม่ว่าจะฟอกหรือไม่ฟอกก็ตาม นี่เป็นความเห็นที่เป็นที่ยอมรับกันมาก ตามความเห็นนี้ถือว่าหนังสัตว์ที่นญิสไม่สามารถทำให้สะอาดได้ด้วยการฟอกหากว่าเป็นหนังที่ได้จากสัตว์ที่ไม่อนุญาตให้เชือดเพื่อเป็นอาหาร

สำหรับหนังสัตว์ (หะลาล) ที่ตายก่อนที่จะถูกเชือดให้ถูกต้อง หากว่านำมาฟอกถือว่ามันสะอาดสามารถนำไปใช้ได้ แต่ก่อนที่จะนำไปฟอกถือว่ามันยังนญิสอยู่ ดังนั้นในกรณีของหนังสัตว์อาจเป็นสามประเภทได้แก่

ประเภทแรก หนังสัตว์ซึ่งถือว่าสะอาดไม่ว่ามันจะถูกฟอกหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นหนังสัตว์ที่สามารถรับประทานได้ โดยที่มันถูกเชือดตามหลักการ

ประเภทที่สอง หนังสือสัตว์ที่ถือว่าไม่สะอาดไม่ว่าจะก่อนหรือหลังจากฟอกก็ตาม เพราะถือว่ามันนญิส ซึ่งเป็นสัตว์ที่เราไม่สามารถรับประทานได้เช่นหมูเป็นต้น

ประเภทที่สาม หนังสัตว์ที่ถือว่าสะอาดเมื่อได้รับการฟอก แต่ไม่สะอาดก่อนที่จะถูกฟอก หนังสัตว์เหล่านี้ได้แก่หนังสัตว์ที่เนื้อของมันกินได้หากเชือดอย่างถูกต้องเพียงแต่มันตายโดยไม่ถูกเชือดอย่างถูกต้อง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา :Islamqa.Info

ฮาลาลนั้นชัดเจนและหะรอมก็ชัดเจน: หนทางสู่หัวใจที่บริสุทธิ์

จากอบู อับดุลลอฮฺ (อัน นุอฺมาน บิน บะชีร) กล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า

“แท้จริง สิ่งที่อนุมัติ (ฮาลาล) นั้นชัดแจ้ง สิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ก็ชัดแจ้ง และในระหว่างทั้งสองสิ่งนั้น มีเรื่อง (หรือสิ่ง) ที่คลุมเครือ (ไม่ชัดแจ้ง) ซึ่งผู้คนส่วนมากไม่รู้”

“ดังนั้น ผู้ใดรักษาตัวเขาจากสิ่ง (หรือเรื่อง) ที่คลุมเครือนั้น เขาได้ชำระตัวเขาในการปกป้องศาสนาของเขาและเกียรติของเขา ส่วนผู้ใดที่ตกลงไปในการกระทำสิ่งที่คลุมเครือ เขาก็ได้ตกลงไปในเรื่องที่หะรอม (ต้องห้าม)”

“เช่นเดียวกับผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์รอบ ๆ ที่ดินที่ต้องห้าม (เช่น สวนของคนอื่น) ไม่ช้ามันก็จะเข้า (ไปกิน) ใน (สวน) นั้น จงจำไว้ว่า ผู้ปกครอง (กษัตริย์ ฯลฯ) ทุกคนมีขอบเขตที่ต้องห้าม จงจำไว้เถิดว่า ที่อัลลอฮฺทรงห้ามนั้น คือสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงอนุมัติ (หะรอม)”

“จงจำไว้ว่า ในร่างกายนั้นมีเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายนั้นก็ดีด้วย แต่เมื่อมันเสีย ร่างกายก็จะเสียไปด้วย จงจำไว้ว่า แท้จริงแล้ว ก้อนเนื้อก้อนนั้นมันคือ หัวใจ” (บันทึกโดย บุคอรีย์และมุสลิม)

หะดีษต้นนี้เน้นย้ำถึงสิ่งที่ได้รับอนุญาตและสิ่งที่ต้องห้ามในอิสลามนั้นชัดแจ้ง ถือว่าเป็นแนวคิดที่สำคัญยิ่งและเป็นพื้นฐานในความเข้าใจศาสนา อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา ได้ประทานอัลกุรอานมายังเราและระบุไว้อย่างชัดเจนในสิ่งที่เราได้รับอนุญาตและสิ่งที่ต้องห้าม การยึดมั่นในการกระทำที่พระองค์ทรงสั่งใช้และหลีกเลี่ยงสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งห้ามจะทำให้ท่านได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่มุสลิมทุกคนควรมุ่งมั่นและพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รับมัน

หะดีษต้นนี้ยังชี้ให้เห็นถึงแง่มุมหนึ่งของความเมตตาและความกรุณาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา แท้จริงด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงกำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินชีวิต ด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงส่งท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติสุขและความจำเริญจงประสบแด่ท่าน) มาเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดให้กับเรา ตามภารกิจของท่านที่ได้รับการกล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า:

“และเรามิได้ส่งเจ้า (มุฮัมมัด) มาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย” (อัล อันบิยาอฺ 21:107)

ดังนั้น อัลลอฮฺได้ทรงส่งท่านนบีมุฮัมมัดเป็น “ความเมตตา” ต่อ “มวลมนุษยชาติ” ไม่ใช่เฉพาะกับชาวเมืองมักกะห์ ไม่ใช่เฉพาะกับชาวคาบสมุทรอาหรับ และไม่ใช่เฉพาะกับชาวมุสลิมเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนทุกยุคสมัย ความเมตตาคือการรู้ว่าจะใช้ชีวิตของเราอย่างไร การรู้ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงพอพระทัยและสิ่งใดที่พระองค์ทรงไม่พอพระทัย เพื่อที่เราจะได้ห่างไกลจากสิ่งที่ต้องห้ามชัดแจ้ง และผลักดันตัวเราเองไปสู่สิ่งที่อยู่ในกรอบอนุมัติ

พิจารณาดูว่าแนวคิดนี้มีความสำคัญอย่างไร ให้ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักเรียน คุณกำลังเดินเข้าไปในห้องเรียน และคุณครูกำลังจ้องมองคุณอยู่ ขณะนั้นคุณก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะเรียนของคุณ แล้วคุณก็รอให้คุณครูเริ่มต้นกล่าวอะไรสักอย่างกับคุณ แต่คุณครูกลับไม่กล่าวอะไรนอกจากจ้องมองคุณเพียงเท่านั้น คุณก็ไม่รู้ว่าคุณต้องทำตัวอย่างไร จากนั้นคุณครูก็แสดงสีหน้าไม่พอใจและส่งสัญญาณให้คุณว่าคุณควรรู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่คุณก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าคุณต้องทำอะไร คุณควรเปิดหน้าที่ห้า หรือหน้าที่สิบ หรือควรเริ่มต้นเขียนอะไรสักอย่างลงสมุดบันทึกของคุณกันแน่?

ในทางตรงกันข้าม หากคุณครูเริ่มต้นชั้นเรียนของเธอด้วยการกล่าวว่า ‘เปิดหน้าห้าสิบสี่ แล้วเราจะเริ่มต้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์กัน’ จากนั้นคุณก็จะรู้ว่าคุณต้องทำอะไร และมันก็จะทำให้คุณมุ่งมั่นและเพ่งความสนใจในสิ่งนั้นเพื่อที่จะช่วยให้คุณบรรลุภารกิจที่คุณได้รับมอบหมาย

ดังนั้น อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ที่อัลลอฮฺทรงส่งท่านนบีมุฮัมมัดมาเป็นครู มาเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดให้กับเรา ท่านนบีได้แสดงแบบอย่างของหลักคำสอนอิสลาม ดังที่ภรรยาของท่าน ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุ อันฮา) กล่าวว่า “ท่านนบีเป็นเสมือนอัลกุรอานที่เดินได้” ดังนั้นเราจึงสามารถเจริญรอยตามแนวทางของท่านนบีได้ในทุกมิติชีวิต เพื่อให้ชีวิตของเรานั้นได้รับทางนำ

ความเมตตาคือการที่เราไม่ต้องลำบากค้นหาว่าเราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไร แต่จงพุ่งกำลังของเราสู่การมุ่งมั่นเอาชนะจุดอ่อนที่ไม่ดีของตัวเองเพื่อบรรลุวิถีชีวิตอันสูงส่งที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนโดยอัลลอฮ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา

อีกประเด็นหนึ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากหะดีษต้นนี้ได้ก็คือ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่คลุมเครือสงสัย:

“ดังนั้น ผู้ใดรักษาตัวเขาจากสิ่ง (หรือเรื่อง) ที่คลุมเครือนั้น เขาได้ชำระตัวเขาในการปกป้องศาสนาของเขาและเกียรติของเขา ส่วนผู้ใดที่ตกลงไปในการกระทำสิ่งที่คลุมเครือ เขาก็ได้ตกลงไปในเรื่องที่หะรอม (ต้องห้าม)”

การหลีกเลี่ยงเรื่องหรือสิ่งที่น่าสงสัยจะช่วยให้หัวใจของเราบริสุทธิ์ และนั่นจะนำเราไปสู่ส่วนถัดไปของหะดีษที่ว่า:

“จงจำไว้ว่า ในร่างกายนั้นมีเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายนั้นก็ดีด้วย”

คำถามคือ เราจะรักษาหัวใจของเราให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?
ลองคิดถึงการเดินเข้าไปในบ้านที่มีสิ่งของหรือของใช้ต่าง ๆ ที่เสียหายจำต้องได้รับการซ่อมแซม คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรที่ต้องเอาไปซ่อม หากคุณไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างที่เสียหาย? ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งแรกที่ต้องทำและอัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด คือการพิจารณาหัวใจของคุณก่อน: อะไรคือปัญหาที่คุณต้องเผชิญในชีวิตของคุณเอง? คุณเป็นคนขี้อิจฉาหรือเปล่า? คุณมักพลาดการละหมาดหรือไม่? หรือคุณเป็นคนที่มีอารมณ์โมโหโทสะ?

เมื่อคุณลองพิจารณาตัวเองและมองลึกเข้าไปข้างในตัวเองด้วยความสัตย์จริงแล้ว คุณก็จะสามารถเริ่มรู้วิธีการแก้ไขปัญหาตัวเองและเข้าสู่กระบวนการ “ตัซกียะฮฺ” ซึ่งก็คือการขัดเกลาหรือการชำระล้างตัวเองให้บริสุทธิ์

วิธีง่าย ๆ ในการรักษาความบริสุทธิ์ของหัวใจเรานั้นคือให้เราคำนึงถึงสามสิ่ง ได้แก่ คน สถานที่ และสิ่งต่าง ๆ เช่น คน ถ้าคุณสามารถพาตัวเองให้เข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนดี: คุณก็จะพบกับผู้คนที่จะกำชับให้คุณทำการละหมาด คุณก็จะพบกับคนที่จะพาคุณไปสู่สถานที่ที่ดี ไปฟังบรรยายธรรม ไปมัสยิด และสถานที่ที่คุณสามารถรำลึกถึงอัลลอฮฺได้เสมอ แล้วพวกเขาจะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีที่สุดของคุณ

ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ต้องลุกขึ้นมาละหมาด เป็นคนเดียวที่ไม่สบายใจกับพฤติกรรมที่ไม่ดีของคนในกลุ่ม คุณก็จะต้องเผชิญกับการต่อสู้ยืนหยัดเพื่อความถูกต้องอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อให้ตัวเองบริสุทธิ์ คุณต้องพาตัวเองไปสู่สิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกันกับสถานที่: จงไปยังสถานที่ที่บริสุทธิ์ ตัวอย่างเช่น นักวิชาการหลายท่านกล่าวว่าการสูบบุหรี่ บารากู่ ฯลฯ อย่างมากที่สุดเท่าที่จะยอมรับได้คือมันเป็นสิ่งที่ไม่ส่งเสริมและน่ารังเกียจ (มักรูฮฺ) ไปจนถึงทรรศนะที่ถือว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) ปัจจุบันนี้มีสถานที่มากมายที่ให้บริการและเอื้อต่อการกระทำหรือบริการสิ่งที่ไม่ดี และน่าเสียดายที่สถานที่ที่ไม่ดีเหล่านั้นกลายเป็นสถานที่นัดเที่ยวหรือนัดเจอกันของผู้คนยุคใหม่

สำหรับบางคนที่ไม่ต้องการสูบบุหรี่ แต่พวกเขาไปยังสถานที่เหล่านั้นเพียงเพื่อซื้อแซนวิช ก็จงอย่าไปซื้อแซนวิชจากสถานที่ที่ไม่ดีเหล่านั้น เพราะสถานที่เหล่านั้นเป็นสถานที่ที่ทำให้คุณสามารถหลงลืมอัลลอฮฺได้ (และอาจนำคุณไปสู่การกระทำที่ฝ่าฝืนพระองค์ภายหลัง)

หรือบางทีที่คุณอาจพลาดการละหมาดของคุณ หรือคุณเผลอเข้าไปในวงสนทนาที่มีหัวข้อสนทนาที่ไม่ดี จำไว้ว่า จงพาตัวเองไปยังสถานที่ที่บริสุทธิ์เสมอ

และสุดท้ายเพื่อให้หัวใจของเรานั้นสัมผัสกับสิ่งที่บริสุทธิ์ จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราบริโภคด้วยสายตาของเรา ด้วยปากของเรา ด้วยหูของเรา เช่น การบริโภคสิ่งต่าง ๆ ในทีวีและภาพยนตร์ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ปัจจุบันมีสิ่งบันเทิงที่ฮาลาลมากมายที่เป็นทางเลือกให้เราและลูก ๆ ของเราสามารถบริโภคได้

โปรดจำไว้ว่าโทรทัศน์และภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมนั้นมันไม่ดีต่อจิตวิญญาณของเราด้วยเช่นกัน เราจะค่อย ๆ ซึมซับและสร้างความคุ้นเคยของเราไปยังคำศัพท์ที่ไม่เหมาะสมและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม บ่อยครั้งที่เราคิดว่า: โอเค ฉันจะไม่ปล่อยให้ลูก ๆ ของฉันดูมัน แต่ฉันดูมันเองได้ ดังนั้นจึงควรจำไว้ว่า สิ่งที่ไม่ดีสำหรับเด็กก็ไม่ดีสำหรับผู้ใหญ่เฉกเช่นเดียวกัน

แน่นอนในบางกรณีมันก็มีขอบเขตที่พอยอมรับได้บ้าง แต่โดยรวมแล้วเราต้องการที่จะบริโภคสิ่งที่ดีที่สุดผ่านสายตาและผ่านใบหูของเรา

หวังว่าเมื่อเรายึดมั่นกับสิ่งเหล่านี้หรือเริ่มต้นด้วยกับสามสิ่งนี้ ได้แก่ คน สถานที่ และสิ่งต่าง ๆ และรักษาความบริสุทธิ์ระหว่างการปฏิสัมพันธ์ของเรากับทั้งสามปัจจัยนี้ไว้ เราก็จะสามารถเริ่มชำระล้างหัวใจของเราได้จริง ๆ และสิ่งเหล่านี้ก็จะส่งผลต่อร่างกายของเราด้วยวิธีอันบริสุทธิ์ อินชาอัลลอฮฺ

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net

อาหารเกษตรอินทรีย์ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่?

อาหารเกษตรอินทรีย์ (Organic Food)

การทำเกษตรอินทรีย์และผลผลิตที่ปลูกในท้องถิ่น แทนที่จะใช้สารกำจัดศัตรูพืชหรือปุ๋ยสังเคราะห์ เกษตรกรอินทรีย์ต้องพึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพในการทำเกษตรกรรมเพื่อลดที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรูพืช เกษตรกรอินทรีย์ยังตั้งใจรักษาและเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ของดิน

ในการอภิปรายอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเกษตรอินทรีย์ วิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน (London School of Hygiene and Tropical Medicine) ได้ยื่นคำค้านพร้อมอธิบายว่า อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้มีประโยชน์ทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารปกติธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของการศึกษานี้ก่อให้เกิดคำถามมากมาย และลักษณะของสื่อที่รายงานประเด็นนี้กลับขาดความถูกต้อง


มาลองศึกษาร่วมกัน
จากการศึกษานี้ มีการอ้างว่าอาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้มีประโยชน์ทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารที่ไม่ได้เป็นเกษตรอินทรีย์ นักวิจัยได้ค้นหาเอกสารกว่า 50,000 ฉบับ และได้ค้นพบบทความทั้งหมดกว่า 162 เรื่องที่เกี่ยวข้อง (บทความที่เผยแพร่ในช่วงระยะเวลา 50 ปี ก่อนปีค.ศ. 2008)

นอกจากนี้ พบว่ามีเพียง 55 ฉบับเท่านั้นที่มีคุณภาพที่น่าพอใจและสามารถใช้เปรียบเทียบปริมาณสารอาหารของอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และอาหารที่ผลิตแบบปกติธรรมดาทั่วไป (London School of Hygiene and Tropical Medicine)

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ได้ตัดเอกสารและงานวิจัยจำนวนมากออก แม้องค์กรอื่น ๆ อาจมองว่าเอกสารเหล่านั้นถูกต้องใช้ได้ก็ตาม ยิ่งกว่านี้ การศึกนี้ยังตัดเอกสารงานวิจัยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณค่าสารอาหารของอาหารเกษตรอินทรีย์โดยตรงอีกด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในการคัดสรรเอกสารเพียง 55 ฉบับจากกว่า 50,000 ฉบับ เป็นที่ประจักษ์เมื่อพิจารณาว่านักวิจัยคนอื่น ๆ ได้ใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการสนับสนุนข้ออ้างว่าอาหารเกษตรอินทรีย์นั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า

ในตอนท้ายรายงานฉบับนี้ระบุว่า “การศึกษาตรวจสอบของเราชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานใด ๆ มาสนับสนุนการคัดสรรอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์จะมีคุณค่าทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารที่ผลิตแบบปกติทั่วไป” และ “แม้ว่าความต้องการของผู้บริโภคต่ออาหารเกษตรอินทรีย์จะมีเพิ่มขึ้น ถึงกระนั้น ข้อมูลจากการทบทวนคุณภาพทางโภชนาการอย่างเป็นระบบต่ออาหารเกษตรอินทรีย์ก็ยังมีไม่เพียงพอ” (American Journal of Clinical Nutrition)

อย่างไรก็ตาม การรายงานข่าวในหัวข้อนี้ได้แปลผลลัพธ์ทางโภชนาการไม่ถูกต้องด้วยการตั้งข้อสรุปเพียงว่า “อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการหรือมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากไปกว่าอาหารปกติธรรมดา” และ “ผลลัพธ์จากการศึกษาพบว่า ความแตกต่างทางด้านโภชนาการระหว่างอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และที่ผลิตแบบปกติทั่วไปมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพจากการรับประทานอาหารเกษตรอินทรีย์” (Reuters, The Daily Mail)

น่าเสียดายที่ผู้สื่อข่าวหลายท่านไม่ชำนาญในการรายงานข้อมูลเวชศาสตร์ทางการแพทย์หรือข้อมูลเชิงสุขภาพ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า “ปริมาณสารอาหารทางโภชนาการ” กับ “ประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ” แต่กลับแปลสรุปประหนึ่งว่าทั้งสองคำนี้นั้นมีความหมายเดียวกัน

ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการรายงานที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ถึงความแตกต่างในระดับพื้นฐานที่สุดและสามารถมองได้อย่างสมเหตุสมผลที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณออกกำลังกายเป็นประจำนั้น การออกกำลังกายจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพของคุณ ขณะเดียวกันการออกกำลังกายก็ไม่มีปริมาณสารอาหารทางโภชนาการใด ๆ เลย

อาหารเกษตรอินทรีย์มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าจริงหรือ?
แม้ว่าข้อเท็จจริงจากการรายงานข่าวนั้นอาจไม่ถูกต้องและแทบจะคลาดเคลื่อนอย่างมากหากมองไปยังผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษา ในอุตสาหกรรมอาหารเกษตรอินทรีย์นั้นไม่เคยอ้างว่าผู้บริโภคควรซื้ออาหารเกษตรอินทรีย์ด้วยเหตุผลทางคุณค่าโภชนาการเพียงอย่างเดียว

ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นอกเหนือจากรายการปริมาณสารอาหารที่กล่าวไว้ในการศึกษา การศึกษาเองก็ระบุชัดเจนว่า “การศึกษาวิเคราะห์นี้จำกัดเพียงกรอบการรายงานที่พบได้ทั่วไปที่สุดของปริมาณสารอาหาร” (American Journal of Clinical Nutrition)

ขณะที่สารพฤกษเคมี (Phytochemicals) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา และส่วนผสมเหล่านี้นั้นกลับอยู่ในอาหารเกษตรอินทรีย์และไม่ได้อยู่ในรายการปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้แต่ละคนได้รับในแต่ละวัน (RDI) ซึ่งมันเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดประโยชน์ต่อสุขภาพที่มีของอาหาร

แม้ว่าสารพฤกษเคมี หรือ ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) จะไม่ได้อยู่ในรายการหลักของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้แต่ละคนได้รับในแต่ละวัน (RDI) แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสารอาหารเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญต่อร่างกายน้อยไปกว่าวิตามินซี วิตามินเอ หรือวิตามินอี สารพฤกษเคมีส่วนใหญ่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของระบบการป้องกันตัวเองของพืช นอกจากนี้ คุณสามารถพบสารเหล่านี้ในปริมาณที่สูงขึ้นในผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ เพราะพืชจะพึ่งพาการป้องกันตัวเองมากกว่าในกรณีที่ไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นปกติ

นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบระดับที่สูงขึ้นของไลโคปีน (lycopene) ในมะเขือเทศอินทรีย์ โพลีฟีนอล (polyphenols) ในมันฝรั่งอินทรีย์ ฟลาโวนอล (flavonols) ในแอปเปิ้ลอินทรีย์ และเรสเวอราทรอล (resveratrol) ในองุ่นอินทรีย์ การวิเคราะห์ทบทวนเรื่องนี้สามารถพิจารณาได้ว่าผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีไฟโตนิวเทรียนท์ (phytonutrients) สูงกว่าพืชแบบปกติทั่วไปถึง 10 – 50% (Heaton)

นอกจากนี้ ผลไม้และผักที่ปลูกแบบอินทรีย์จะมีระดับสารต้านอนุมูลอิสระในการต่อสู้กับมะเร็งสูงกว่าอาหารที่ปลูกแบบปกติทั่วไป การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า สารกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีกำจัดวัชพืชได้เข้าไปขัดขวางการผลิตสารฟีนอลิก (phenolics) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่ป้องกันตัวเองตามธรรมชาติของพืช และสารนี้ก็สามารถทำหน้าที่และมีบทบาทต่อมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน

ในทางกลับกัน ปุ๋ยไม่เพียงแต่ช่วยลดสารฟีนอลิกที่สามารถช่วยป้องกันตัวเองในพืชและในร่างกายเท่านั้น แต่มันยังเพิ่มระดับของสารก่อมะเร็งที่โจมตีร่างกายอีกด้วย

ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) เป็นสารประกอบฟีนอลิกในทางพฤกษศาสตร์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมนุษย์ สารฟลาโวนอยด์เหล่านี้รวมทั้งสารประกอบฟีนอลิกอื่น ๆ จะถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเครียดจากสิ่งแวดล้อม ความเครียดนี้อาจรวมถึงการโจมตีของแมลงหรือการโจมตีของพืชชนิดต่าง ๆ ยิ่งจากนี้ ฟลาโวนอยด์ยังช่วยปกป้องพืชจากรังสียูวี เชื้อรา และแบคทีเรียอีกด้วย

ดร. อลิสัน มิทเชล นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้อธิบายกระบวนการนี้ว่า “ขณะที่เพลี้ยอ่อนกำลังแทะใบ พืชจะผลิตสารฟีนอลิกเพื่อป้องกันตัวเอง สารฟีนอลิกนี้จะช่วยปกป้องพืชจากศัตรูพืชเหล่านี้” (Byrum)

พืชผักที่ถูกแมลงกัดแทะจะผลิตฟลาโวนอยด์ได้มากกว่าพืชผักที่ผ่านการฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพราะจากสภาพแวดล้อมที่ถูกกัดแทะของแมลง ตัวพืชจะถูกบังคับให้สร้างกลไก “การควบคุมสัตว์รบกวน” ภายใน แทนที่จะอาศัยความช่วยเหลือภายนอกอย่างการใช้สารเคมี (Denoon)

อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้เป็นเรื่องของคุณค่าทางสารอาหารเพียงเท่านั้น
ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการทำเกษตรกรรมอินทรีย์สนับสนุนหลักการตามมาตรฐานของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมซึ่งมีกฎไว้ว่า:
– ห้ามใช้พันธุวิศวกรรม รังสีไอออไนซ์ และกากตะกอนน้ำทิ้ง
– สัตว์ที่เลี้ยงแบบเกษตรอินทรีย์จะต้องไม่ฉีดฮอร์โมนส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือรับยาปฏิชีวนะ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
– สัตว์ที่เลี้ยงแบบเกษตรอินทรีย์ทุกตัวจะต้องออกไปบริเวณพื้นที่กลางแจ้งได้ รวมทั้งการเข้าถึงทุ่งหญ้าสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง สัตว์เลี้ยงเหล่านี้อาจถูกจำกัดพื้นที่ชั่วคราวด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ด้านความปลอดภัย หรืออยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิตสัตว์ หรือเพื่อปกป้องคุณภาพดินหรือน้ำ
– ห้ามไม่ให้ผู้ผลิตระงับการรักษาสัตว์ที่ป่วยหรือสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม สัตว์ที่ได้รับยาต้องห้ามจะต้องไม่นำไปจำหน่าย (EPA)

*** อาหารเกษตรอินทรีย์เป็นอาหารที่ผลิตโดยวิธีการที่สอดคล้องกับมาตรฐานของการทำเกษตรกรรมอินทรีย์ มาตรฐานนั้นอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ ถึงกระนั้น การทำเกษตรอินทรีย์ในลักษณะทั่วไปจะให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน ส่งเสริมความสมดุลทางนิเวศวิทยา และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

มาตรฐานเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารของพวกเขาไม่มีสารเคมีตกค้างที่อาจนำไปสู่มะเร็ง หรือไม่มีฮอร์โมนตกค้างซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น การเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควรของผู้บริโภค หรือยาปฏิชีวนะตกค้างที่อาจทำให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะ เนื่องจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินไปในสัตว์ (National Cancer Institute, Sierra Club, Sellman)

มาตรฐานเหล่านี้ยังเน้นย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ว่า คุณสมบัติของการทำเกษตรอินทรีย์แทบจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางโภชนาการ ในความเป็นจริง เกษตรกรอินทรีย์ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลด้านโภชนาการในผลิตภัณฑ์ของตนเพื่อให้ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เกษตรกรอินทรีย์เพียงแต่ต้องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ของตนไม่มีสารกำจัดศัตรูพืชที่เป็นอันตรายและมีกระบวนการเลี้ยงดูสัตว์ของตนอย่างดี นอกจากนี้ พวกเขายังต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่นำสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือป่วยมาจำหน่าย รวมถึงข้อกำหนดอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน

ชาวมุสลิมควรเข้าใจว่ามาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้เรามั่นใจดังที่ท่านศาสนทูตของเรา (ขอความสันติจงประสบแด่ท่าน) มักพูดถึงการดูแลร่างกายตัวเอง การมีเมตตาต่อสัตว์ และอนุรักษ์โลกใบนี้ นอกจากนี้ ท่านนบียังให้คำแนะนำในเรื่องของชีวิตดังหะดีษที่กล่าวว่า “ไม่มีความเสียหายใด ๆ (คือไม่อนุญาตให้ก่อความเสียหายใด ๆ) แก่ผู้อื่น และจะไม่มีความเสียหายซึ่งกันและกัน” (Al-Hakim)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
โดย ดร. คาริมา เบิร์นส์

เทรนด์การท่องเที่ยวฮาลาลยอดนิยมในปี2019

การท่องเที่ยวฮาลาลเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก นักท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลกต่างกระหายในประสบการณ์การเดินทางและนี่คือแรงผลักดันของปรากฎการณ์การเติบโตของภาคส่วนนี้ ตามรายงานของ State of the Islamic Economy Report 2018/2019 มุสลิมที่ใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวจะเติบโตเป็น 274 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เพิ่มขึ้นจาก 177 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2017 ดังนั้นอนาคตจึงสดใสสำหรับแบรนด์และธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของตลาดนี้ ในปี 2019 จำนวนนักท่องเที่ยวมุสลิมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้มีความต้องการสินค้าและบริการใหม่ ๆ นี่คือบางส่วนของเทรนด์ชั้นนำที่จะครองตลาดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฮาลาลในปี 2019 และปีหลังจากนั้น

#เทรนด์สตรีมุสลิมคนเดียวก็เที่ยวได้
นักท่องเที่ยวหญิงเดี่ยวเป็นเทรนด์กระแสหลักที่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนักท่องเที่ยวหญิงเดี่ยวมุสลิมเพิ่มขึ้นอย่างมาก สตรีมุสลิมกำลังเสาะแสวงหาการเดินทางที่อิสระเสรีด้วยเหตุผลหลายประการ พวกเขามีการศึกษาที่ดี มีรายได้ให้จับจ่าย และมักจะแต่งงานช้า ทำให้พวกเขามีเวลาในการออกเดินทางผจญภัยที่น่าสนุกสนานทั่วโลก สตรีมุสลิมรุ่นมิลเลนเนียล (Gen-Me) เหล่านี้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ทั้งในฐานะมุสลิมและในฐานะผู้หญิงที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร ดังนั้นการเดินทางคนเดียวไม่ได้ทำให้พวกเขากลัวเช่นเดียวกับคนในรุ่นก่อน ๆ

ปัจจัยดังกล่าวนี้นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มเพิ่มมากขึ้น ด้วยกับกลุ่มแพ็คเกจสำหรับสตรีมุสลิมได้เกิดขึ้นมาใหม่ บางครั้งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกผลิตและเปิดให้บริการโดยสตรีมุสลิมที่มีความมั่นใจและต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นในแพ็คเกจดังกล่าว และด้วยกับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยและการจัดการท่องเที่ยวผจญภัยแบบคนเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้ ในปี 2019 เราได้เห็นสตรีมุสลิมจำนวนมากได้ก้าวออกมาเดินทางไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแบบกลุ่มหรือแบบเดี่ยว นอกจากนี้เทคโนโลยีกระแสหลักยังช่วยให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยบนท้องถนน พวกเขายังมีช่องทางเลือกใช้โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อติดต่อกับครอบครัว ตลอดจนบริการ app sharing services ที่สามารถให้บริการการจองพาหนะในการเดินทางและที่พักที่สะดวก ปลอดภัย และสามารถติดตามได้

#สู่ยุคดิจิทัล
เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากในการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในส่วนที่สำคัญที่สุดของการเดินทางของมุสลิม นั่นคือการแสวงบุญที่นครมักกะห์ หรือการทำฮัจย์ เพิ่งมีการประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าตัวแทนให้บริการการท่องเที่ยวออนไลน์ Agoda ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกระทรวงกิจการฮัจย์เพื่อให้บริการดิจิทัลโซลูชั่นและทางเลือกที่พักเพิ่มเติมสำหรับมุสลิมที่เดินทางไปยังซาอุดิอาระเบียเพื่อแสวงบุญ นี่คือการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นจากผู้ให้บริการหลัก Agoda ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนให้บริการการท่องเที่ยวออนไลน์ (OTAs) ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด นอกจากนี้ด้วยวีซ่าท่องเที่ยวใหม่ที่จะเปิดตัวในประเทศซาอุดิอาระเบีย ในไม่ช้านี้นักท่องเที่ยวมุสลิมจะสามารถเดินทางไปสำรวจประเทศอื่นๆ ได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

ด้วยความมุมานะแห่งโอกาสและในการเคลื่อนไหวที่หวังว่าจะส่งเสริมการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและการเปิดกว้างในตลาดฮัจย์ สายการบินราคาประหยัดของซาอุดิอาระเบีย Flynas ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับกระทรวงกิจการฮัจย์ของซาอุดิอาระเบียเพื่อจัดสรรงบประมาณแพ็คเกจฮัจย์ที่สามารถจองออนไลน์ได้ แพ็คเกจราคาถูกเหล่านี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวแสวงบุญทางศาสนาจำนวนมากจากทั่วโลก

ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพลังให้กับพื้นที่ดิจิทัลการท่องเที่ยวฮาลาลและยังมอบความยืดหยุ่นในการค้นหาและจับจองการบริการให้เหมาะสมกับตนเอง แทนที่จะซื้อแพ็คเกจที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เนื่องจากราคาเป็นสิ่งสำคัญแม้ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฮาลาลซึ่งจะนำเราไปสู่เทรนด์สำคัญในปี 2019 …

#การแข่งขันด้านราคา
ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อทริปท่องเที่ยวโดยทั่วไป แต่ยังไม่ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในตลาดการท่องเที่ยวฮาลาลที่ราคาและคุณภาพมักจะไม่สมเหตุสมผลกัน

มุสลิมรุ่นมิลเลนเนียล (Gen-Me) มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โดยมีข้อมูลและตัวเลือกมากมายให้เลือกใช้บริการออนไลน์ การแข่งขันด้านราคาจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจับจองทริปการเดินทางครั้งต่อไป ตามรายงานของ The Mastercard-Crescentrating Digital Muslim ประมาณการมูลค่าการซื้อทริปท่องเที่ยวออนไลน์จะเพิ่มขึ้นจาก 45 พันล้านดอลลาร์ในปี 2017 เป็น 180 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026

การเสนอแพ็คเกจที่มีคุณภาพ เช่น เที่ยวบิน ที่พัก และการบริการอาหารฮาลาลในราคาที่เหมาะสมซึ่งตรงตามความต้องการกับการให้บริการในกระแสหลักจะเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต

#นักท่องเที่ยวมุสลิมผลักดันความสนใจในการท่องเที่ยวฮาลาล
การพัฒนาที่น่าสนใจในสนามการท่องเที่ยวฮาลาลที่ MuslimTravelGirl.com ได้ระบุไว้คือนักท่องเที่ยวมุสลิมกำลังสำรวจความนิยมของจุดแวะชมหรือสถานที่ท่องเที่ยวในกระแส “Instagram-worthy” ซึ่งสถานที่นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นมิตรกับมุสลิม
ประเด็นนี้ได้สร้างปัจจัยที่แปลกใหม่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยมีผลให้ผู้ให้บริการตามสถานที่ท่องเที่ยวและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ความใส่ใจนักท่องเที่ยวมุสลิมอย่างจริงจังมากขึ้น และพิจารณาว่าจะตอบสนองความต้องการของพวกเขาให้ดีที่สุดได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวมุสลิมที่ไปยังเกาะกรีกจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการได้ไวน์แดงหนึ่งขวดเป็นของขวัญในการต้อนรับ สิ่งนี้ทำให้โรงแรมไม่เพียงแต่พิจารณาตัวเลือกของขวัญที่ไม่มีแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ยังเปิดให้มีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ฮาลาลและเป็นมิตรซึ่งอำนวยความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยวมุสลิมมากยิ่งขึ้น

นี่คือตัวอย่างที่ดีที่นักท่องเที่ยวมุสลิมสามารถมีส่วนในการขับเคลื่อนผลักดันอุปสงค์สำหรับการให้บริการที่ดีกว่า เพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขาในการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวกระแสหลักที่ได้รับความนิยม เมื่อเทคโนโลยี และโซเชียลมีเดียแอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ ปรากฏขึ้น นักท่องเที่ยวมุสลิมจะสามารถสื่อสารกับที่หมายปลายทางและผู้ให้บริการหลักได้ง่ายขึ้น และบทบาทสำคัญในการให้ความรู้แก่พวกเขาเกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยวฮาลาล

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก HALAL TOURISM โดย ELENA NIKOLOVA

Kami Cocoa & Milo Lava จากรสชาติความชื่นชอบในวัยเด็กสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้สู่ครอบครัว

#BIHAPSSTORYEP11

ความประทับใจในวัยเด็กหลายครั้งที่สามารถกลายมาเป็นอาชีพได้อย่างคาดไม่ถึง  แต่นอกเหนือไปจากความประทับใจนั้น ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ความประทับใจสามารถต่อยอดออกมาสู่อาชีพจริงได้ สิ่งนั้นก็คือไอเดีย  ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เฉกเช่นธุรกิจหนึ่งที่สานต่อความประทับใจในวัยเด็ก ผสมผสานไอเดียการต่อยอดจนกลายมาเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เลี้ยงชีพได้จริง ๆ ธุรกิจนั้นจะเป็นอะไร เราจะมาดูไปพร้อม ๆ กันครับ

จากความชอบในเครื่องดื่มสุดโปรดสานต่อเป็นธุรกิจของครอบครัว

คุณอิบรอเฮ็ม อารง ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจ Kami Cocoa & Milo Lava จุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้มาจากความชื่นชอบรสชาติของเครื่องดื่ม “ไมโล” มาตั้งแต่เมื่อครั้งคุณอิบรอเฮ็มยังเด็ก โดยในตอนนั้นคุณอิบรอเฮ็มมักจะมีไอเดียในการดื่มเครื่องดื่มแสนอร่อยนี้ในหลากหลายรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นการดื่มในแบบปกติที่ชงกับน้ำร้อน ดื่มในรูปแบบสำเร็จรูปบรรจุกล่อง แม้กระทั้งนำผงไมโลมารับประทานเปล่า ๆ และเริ่มสนุกกับการดัดแปลงโดยนำเอาไมโลซองผงไปรีดด้วยเตารีด  แล้วนำไปแช่แข็งก่อนจะนำไปรับประทาน และเมื่อโตขึ้นก็นำผงไมโลมาทำการเคี่ยวจนเหนียวกลายเป็นซอสไมโล  ราดบนน้ำแข็งไส และหาเครื่องเคียงรสสัมผัสกรอบ ๆ มาโรยเป็นท็อปปิ้งอีกที โดยเมนูนี้เป็นเมนูขึ้นหิ้งที่ไม่ว่าใครก็ตามที่แวะเวียนไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนที่บ้าน ก็จะทำเมนูนี้นำมาเสิร์ฟรับแขกอยู่เสมอ จนผู้มาเยือนทุกคนเอ่ยปากชมถึงความอร่อย กระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อทางครอบครัวได้ลองชักชวนให้นำเมนูประจำบ้านเมนูนี้มาทดลองทำเป็นธุรกิจดู  เนื่องจากที่ผ่านมาทางครอบครัวของคุณอิบรอเฮ็มมีธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทางด้านอาหารอยู่แล้ว และอยากลองหันมาทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารบ้างจึงเป็นที่มาของธุรกิจ Kami Cocoa & Milo Lava ในที่สุด  

ชื่อแบรนด์ภาษาถิ่นกับความหมายดี ๆที่สื่อถึงการเป็นเพื่อนพวกพ้อง

คำว่า Kami”  เป็นภาษามลายูอันเป็นภาษาหลักของสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแบรนด์นี้ โดยมีความหมายว่า “พวกเรา” หรือ “We” ในภาษาอังกฤษ โดยเป็นร้านที่เน้นการขายตามถนนคนเดินหรือ Walking Street และปัจจุบันมีสาขาครอบคลุมอยู่ในจังหวัดนราธิวาส

จุดเด่นของแบรนด์คือรสชาติความอร่อยที่ทุกคนคุ้นเคย

จากจุดเริ่มต้นที่ชื่นชอบเครื่องดื่มสุดคลาสสิคนี้  จึงเลือกการทำไมโลลาวาออกมาขาย  โดยจุดเด่นของสินค้านี้คือ “ไมโลลาวา” ที่ผ่านการเคี่ยวจนเหนียว ราดลงบนน้ำแข็งบดแล้วตามด้วยการโรยท็อปปิ้งกว่า 20 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นโอริโอ โอโจ ช็อกชิพ คอนเฟล็ก เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ทุกคนได้เพลิดเพลินไปกับรสชาติที่คุ้นเคยที่ซึ่งไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ลิ้มรสความอร่อยของเครื่องดื่ม ไมโล มาแล้วทั้งสิ้น แต่ถูกนำเสนอใหม่ในรูปแบบที่ผสานไปด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่จะทำให้รสชาติที่คุ้นเคยถูกยกระดับความอร่อยไปอีกขั้นในราคาเพียง 25 บาททุกแก้ว และด้วยความคิดที่อยากกระจายความอร่อยออกไปโดยเริ่มขายตามตลาดนัด ถนนคนเดินและตามงานอีเว้นท์ จากการทดลองสูตรโกโก้ผสมรสชาติผลไม้ต่าง ๆจึงได้ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติเข้มข้นและกลมกล่อมภายใต้แนวคิดว่า “ของดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป” โดยมีเมนูให้เลือกกว่า 10 เมนู   เพื่อตอบสนองคนรักเครื่องดื่มเสมือนเป็นคนในครอบครัวสมดั่งชื่อแบรนด์ KAMI

คุณค่าที่ส่งต่อคือรสชาติที่ไม่รู้ลืม

แม้จะเป็นเครื่องดื่มที่นำมาดัดแปลงจากผลิตภัณฑ์เดิมที่ทุกคนรู้จักอยู่แล้วในท้องตลาด แต่กระนั้นด้วยไอเดียที่แปลกและแหวกแนวจึงทำให้เกิดเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติแปลกใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อส่งต่อรสชาติสุดพิเศษให้แก่ผู้ที่ชื่นชอบในเครื่องดื่มไมโลและอยากได้รับประสบการณ์ในการดื่มเครื่องดื่มแก้วโปรดนี้ในอีกรูปแบบหนึ่ง รวมไปถึงผู้ที่อาจจะไม่ได้ชื่นชอบเครื่องดื่มไมโลมากนักแต่อยากจะลิ้มลองรสชาติใหม่ เพราะ Kami Cocoa & Milo Lava เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยนั่นเอง

แผนการในอนาคตคือการส่งต่อความอร่อยให้เป็นที่รู้จัก

          ในขณะนี้แบรนด์ Kami Cocoa & Milo Lava อาจจะยังเป็นที่รู้จักแต่เฉพาะในเขตจังหวัดนราธิวาสเท่านั้น แต่จากความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาของ คุณอิบรอเฮ็ม อารง ที่ต้องการผลักดันแบรนด์นี้ให้เป็นที่รู้จักในอนาคต ซึ่งก็น่าจะทำให้ทางแบรนด์ขยายตัวและเป็นที่รู้จักในวงกว้างต่อไป

แรงบันดาลใจส่งต่อสู่ธุรกิจอื่น ๆ

การทำงานให้ประสบความสำเร็จมีปัจจัยสำคัญไม่กี่ข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือความตั้งใจและเจตนาอันบริสุทธิ์ที่จะทำงานนั้นออกมาให้ดี ภายใต้ความคิดที่จะส่งต่อสิ่งดี ๆให้แก่ผู้อื่น และที่สำคัญคือการหมั่นเรียนรู้ พัฒนาและทดลองสิ่งใหม่ ๆตลอดเวลา เพราะแม้ผลิตภัณฑ์เดิมจะเป็นที่รู้จักอยู่แล้วในท้องตลาด แต่หากนำผลิตภัณฑ์ที่ว่านั้นมาเป็นไอเดียต่อยอดจนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ สิ่งนี้แหละที่สามารถเพิ่มราคา เพิ่มมูลค่าจนกลายมาเป็นอาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ เพราะความสำเร็จมักจะเคียงคู่มากับผู้ที่กล้าที่จะทำในสิ่งใหม่ ๆอยู่เสมอ

ช่องทางการติดต่อ

         – ปัจจุบัน Kami cocoa & milo lava มีร้านสาขาแรกในอำเภอเมืองนราธิวาสบริเวณข้างโรงเรียนอัตตัรกียะห์ อิสลามมียะห์
– เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ 093-732-6386
– Facebook: Kami cocoa & milo lava