โคเชอร์ กับความเข้าใจเบื้องต้นสำหรับผู้บริโภคอาหารฮาลาล ตอนที่ 4 ข้อห้ามในเรื่องของการผสมนมกับเนื้อสัตว์

“เจ้าไม่ควรทำอาหารที่ทำจากลูกของสัตว์ผสมกับนมของแม่ของสัตว์ตัวนั้น” โองการนี้ปรากฏขึ้นมาทั้งหมดจำนวนสามครั้งในคัมภีร์โตราห์ มีความหมายว่าข้อห้ามนี้ถือว่าเป็นบัญญัติที่มีความเคร่งครัดยิ่ง คำว่า “อาหารที่ทำจากลูกของสัตว์” (เนื้อสัตว์) ตามความเข้าใจของแร็บไบนั้นครอบคลุมถึงเนื้อสัตว์ปีกด้วยเช่นกัน ส่วนคำว่า “น้ำนม” นั้นมีความหมายครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากนมทุกชนิด

เพื่อให้เนื้อสัตว์และน้ำนมแยกจากกันตามบทบัญญัติกฎหมายโคเชอร์นั้นจึงได้กำหนดแบ่งประเภทของกระบวนการแปรรูปและการจัดการวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดออกเป็นข้อใดข้อหนึ่งในสามประเภทนี้ ได้แก่
• ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อ
• ผลิตภัณฑ์ประเภทนม
• ผลิตภัณฑ์ประเภทพาร์เอเว (Pareve) หรือพาร์เว (Parve) หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นกลาง (Neutral Product)

ผลิตภัณฑ์ประเภทพาร์เอเวประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ไม่ตกอยู่ในข่ายผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อหรือผลิตภัณฑ์ประเภทนมเป็นส่วนผสม ส่วนผลิตภัณฑ์จากพืชทั้งหมดก็อยู่ในผลิตภัณฑ์ประเภทพาร์เอเวเช่นกัน รวมถึงไข่ ปลา น้ำผึ้ง และชันครั่ง (เชลแล็ก) อาหารประเภทพาร์เอเวเหล่านี้สามารถนำมาใช้ปรุงรวมหรือผสมกับผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ประเภทนมได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าต้องการนำอาหารประเภทพาร์เอเวเหล่านี้มาผสมกับผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ประเภทนม ผลิตภัณฑ์พาร์เอเวที่นำไปผสมนั้นจะถูกนับรวมอยู่ในประเภทของผลิตภัณฑ์ที่นำไปผสมด้วย ตัวอย่างเช่น ไข่ที่อยู่ในชีสซูเฟล่ ก็จะตกอยู่ในผลิตภัณฑ์ประเภทนม เป็นต้น 

เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์นั้นแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง เครื่องครัว ภาชนะ เครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาหาร รวมถึงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตอาหารจะต้องแยกจากกันและระบุใช้ตามประเภทให้ถูกต้องเหมาะสม ถ้าวัตถุดิบในโรงงาน (เช่น น้ำผลไม้) ที่ดำเนินการในโรงงานร่วมกับโรงงานที่ผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทนม วัตถุดิบที่ดำเนินการร่วมจะถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทนมตามหลักศาสนายูดาย บางหน่วยงานที่กำกับดูแลมาตรฐานโคเชอร์อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตนม (DE หรือ Dairy Equipment) มากกว่าการเรียกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวว่าเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทนม ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการระบุว่ามาจาก DE (อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตนม) สามารถบอกผู้บริโภคได้ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมเพิ่มเติมใด ๆ จากนม แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้นได้รับการผลิตจากภาชนะเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ประเภทนม (สามารถดูคำอภิปรายเพิ่มเติมได้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอาการแพ้) ถ้าหากว่าผลิตภัณฑ์ใดที่ไม่มีวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมจากเนื้อสัตว์ แต่ได้รับการผลิตจากโรงงานเดียวกับโรงงานที่ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์ (เช่น ซุปผักมังสวิรัติ) ก็จะได้รับการระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์ (ME หรือ Meat Equipment) เป็นต้น 

แม้ว่ามีความจำเป็นจะต้องล้างภาชนะทั้งก่อนและหลังใช้รับประทานอาหารแต่ละประเภท ทว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจาก DE (อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตนม) สามารถรับประทานร่วมกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ได้ และผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจาก ME (อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตเนื้อสัตว์) ก็สามารถนำมารับประทานร่วมกับอาหารประเภทนมได้เช่นกัน ส่วนการเว้นช่วงระยะเวลาระหว่างการรับประทานอาหารต่างประเภทติดต่อกัน เช่น การรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมจากนมหลังจากเพิ่งรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไป จำเป็นต้องรอตั้งแต่ 3 ถึง 6 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลาเว้นห่างระหว่างรับประทานนมและเนื้อสัตว์ว่าจะต้องรอกี่ชั่วโมงนั้นขึ้นอยู่กับขนบธรรมเนียม (Minhag) ที่ถูกกำหนดขึ้นตามแต่ละพื้นที่ไป ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจาก DE (อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตนม) ผู้บริโภคสามารถนำมาบริโภคก่อนหรือหลังผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์ได้ทันที แต่ไม่สามารถนำมารับประทานร่วมกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์พร้อมกันได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รับประทานผลิตภัณฑ์ประเภทนมเสร็จจะไม่สามารถรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ได้ทันที ซึ่งจำนวนชั่วโมงที่ต้องรอรับประทานเนื้อนั้นใช้เวลาน้อยกว่า โดยปกติแล้วก่อนจะรับประทานเนื้อต่อจากนมจำเป็นต้องล้างปากด้วยน้ำ ไปจนถึงบางขนบธรรมเนียมที่อาจต้องรออีก 1 ชั่วโมง ส่วนอาหารประเภทนมนั้นจำเป็นต้องรอ 3 ถึง 6 ชั่วโมง ดังที่กล่าวไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น ชีสแข็ง (หมายถึงชีสที่ได้รับการหมักเกินกว่า 6 เดือน หรือชีสชนิดแข็งหรือแห้งพิเศษ เช่น ชีสอิตาเลียนหลายชนิด) เมื่อได้รับการบริโภคไปแล้ว จำเป็นต้องรอตามจำนวนระยะเวลาเฉกเช่นเดียวกับที่ต้องรอระหว่างรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ตามหลังผลิตภัณฑ์ประเภทนม ด้วยเหตุนี้ บริษัทส่วนใหญ่ที่ผลิตชีสให้กับตลาดโคเชอร์จึงมักหมักอายุของชีสให้น้อยกว่า 6 เดือน แม้ว่าจะมีเครื่องหมายติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์อย่างถูกต้องเหมาะสมก็ไม่ถือว่าเป็นข้อกำหนดทางศาสนา หากต้องการทำให้ส่วนผสมหรือผลิตภัณฑ์นั้นเป็นพาร์เอเวหรือเป็นกลาง จำเป็นที่อุปกรณ์ เครื่องมือ หรือเครื่องจักรในโรงงานนั้นจะต้องผ่านกระบวนการคืนสภาพโคเชอร์ (Kosherization)* ก่อน

……………………………………………….
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี เรียบเรียง
ข้อมูลจากหนังสือ : Halal food production
โดย Mian N. Riaz, Muhammad M. Chaudry

*เครื่องครัวที่เคยปรุงอาหารที่ไม่เคยเป็นโคเชอร์สามารถทำให้กลับมามีสภาพโคเชอร์ได้อีก โดยกระบวนการคืนสภาพโคเชอร์ที่เรียกว่า “Kosherization” ซึ่งมีวิธีการที่ต่างกันไปตามประเภทเครื่องครัวและลักษณะของอาหาร ถ้าอาหารที่ไม่ใช่โคเชอร์ที่เป็นของเหลว เช่น ซุป วิธีการคืนสภาพโคเชอร์ (Kosherization) คือ ลวกเครื่องครัวที่ใส่อาหารจำนวนนั้นด้วยน้ำเดือด ถ้าเป็นอาหารที่ใช้เตาอบ การคืนสภาพโคเชอร์ (Kosherization) สามารถทำได้โดยนำภาชนะที่ใส่อาหารที่ไม่เป็นโคเชอร์นั้นมาอบด้วยความร้อนสูง เป็นต้น

โคเชอร์ กับความเข้าใจเบื้องต้นสำหรับผู้บริโภคอาหารฮาลาล ตอนที่ 3 ข้อห้ามในเรื่องของเลือด

สัตว์เคี้ยวเอื้องและสัตว์ปีกในครัวเรือนจะต้องผ่านกระบวนการเชือดตามหลักกฎหมายชาวยิว โดยที่ผู้เชือดต้องมีคุณสมบัติทางศาสนาที่ผ่านการฝึกอบรมการเชือดตามธรรมเนียมแบบพิเศษเรียกว่า ‘โชเคท’ (Shochet) และต้องใช้ ‘มีดคาเลฟ’ (Chalef) ที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งมีดนั้นต้องคมมากและใบมีดต้องเป็นแนวราบตรงที่อย่างน้อยความยาวสองเท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของลำคอสัตว์ที่จะถูกเชือด สัตว์ต้องไม่ถูกทำให้อยู่ในสภาวะหมดสติระหว่างเชือด ถ้าหากว่าผู้เชือดสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักกฎหมายชาวยิวและจัดการกับสัตว์ได้ดี สัตว์ที่ถูกเชือดนั้นจะตายโดยไม่แสดงออกถึงอาการเครียดใด ๆ เพื่อเคารพต่อหลักการคัชรูธ (Kashruth) การเชือดเป็นช่วงเวลาเดียวที่บทสวดจะถูกกล่าว ซึ่งบทสวดนั้นจะได้รับการกล่าวก่อนจะเริ่มดำเนินการเชือด โดยที่ผู้เชือดจะกล่าวอภัยโทษที่ได้กระทำการพรากชีวิตของสัตว์ที่จะทำการเชือด ซึ่งบทสวดจะไม่ถูกกล่าวซ้ำกันในสัตว์แต่ละตัว หลักการและกฎเกณฑ์สำหรับการเชือดนั้นมีความเข้มงวดและเคร่งครัดมาก ผู้เชือดโชเคท (Shochet) จะต้องตรวจสอบมีดคาเลฟ (Chalef) ทั้งก่อนและหลังทำการเชือดสัตว์ทุกตัว หากมีปัญหาใดที่เกิดขึ้นกับมีด สัตว์ที่เชือดจะถือว่า ‘เทรอิฟ’ (Treife) หรือมีสถานะไม่โคเชอร์ทันที 

ผู้เชือดต้องตรวจสอบรอยเชือดที่คอของสัตว์แต่ละตัวเพื่อให้แน่ใจว่าตนได้ทำการเชือดอย่างถูกต้องหรือไม่ โดยปกติแล้วสัตว์ที่ผ่านการเชือดจะถูกนำไปตรวจสอบหาข้อบกพร่องอีกครั้งหนึ่งจากผู้ตรวจสอบเฉพาะที่ผ่านการอบรมของแร็บไบหรือนักการศาสนา แต่ถ้าหากว่าสัตว์ที่เชือดแล้วตัวใดพบข้อบกพร่องที่ไม่สอดคล้องตามหลักการของแร็บไบ สัตว์นั้นจะถือว่าไม่เป็นที่ยอมรับและมีสถานะเป็นเทรอิฟ (ไม่โคเชอร์) ทันที ดังนั้นส่วนต่าง ๆ ของเนื้อที่โคเชอร์จะต้องไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่องหรือไม่สอดคล้องตามหลักการ ซึ่งตามปกติอาจถือว่าเป็นที่ยอมรับได้ภายใต้กฎหมายฆราวาสหรือกฎหมายแบบโลกวิสัย (Secular laws) ด้วยเงื่อนไขที่ว่าจุดบกพร่องที่พบจะต้องไม่นำไปสู่สถานการณ์ใด ๆ ที่ทำให้สัตว์ต้องเสียชีวิตภายใน 1 ปี เมื่อความต้องการของผู้บริโภคที่ประสงค์ให้กระบวนการตรวจสอบเนื้อโคเชอร์ในสหรัฐอเมริกามีความเข้มงวดมากขึ้นจึงนำไปสู่การพัฒนาระบบมาตรฐานการตรวจสอบเนื้อโคเชอร์ที่มีอยู่แล้วให้เข้มงวดมากขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค โดยส่วนใหญ่แล้วจุดบกพร่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสภาพปอดของสัตว์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในจุดบกพร่องหลักที่สำคัญตามหลัก ‘ฮาลาคิก’ (Halachic) ตามบัญญัติชาวยิว ดังนั้นสภาพปอดของสัตว์โคเชอร์จึงจะต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เสมอ

สำหรับอวัยวะส่วนอื่น ๆ นั้นจะได้รับการสุ่มตรวจหรือตรวจสอบก็ต่อเมื่อเกิดกรณีที่ผู้ตรวจสอบเล็งเห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เนื้อสัตว์ที่ตรงตามมาตรฐานที่เข้มงวดนี้จะเรียกว่า ‘แกลต โคเชอร์’ (Glatt Kosher) แปลว่าราบเรียบปราศจากตำหนิ ซึ่งตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบพิเศษที่ผ่านการฝึกฝนอบรมเพื่อตรวจดูเครื่องในและการแนบติดของปอดในสัตว์ทั้งหลังและก่อนที่จะถูกถอนออก โดยผู้ตรวจสอบพิเศษนี้จะเรียกว่า ‘โบเด็ก’ (Bodek) สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบ ลำดับแรกโบเด็กจะแยกการแนบติดของปอด (Sirkas) ออกทั้งหมดแล้วทำการขยายปอดด้วยการเติมลมเข้าไปในปอดโดยใช้ความดันอากาศปกติของมนุษย์ จากนั้นปอดก็จะถูกนำไปใส่ในถังน้ำ และโบเด็กก็จะมองหาฟองอากาศ ถ้าหากว่าปอดนั้นยังคงสภาพเดิมไม่มีร่องรอยบุบสลายหรือหลุมใด ๆ ปอดนั้นจะถือว่าโคเชอร์ ในสหรัฐอเมริกา ปอดของสัตว์ที่เป็นแกลต โคเชอร์โดยทั่วไปแล้วจะเป็นปอดที่มีการแนบติดกันน้อยกว่าสองแห่งตามข้อจำกัดของกระบวนการตรวจสอบในโรงงานขนาดใหญ่ที่ต้องดำเนินไปอย่างรอบคอบและระมัดระวังภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างจำกัด

สำหรับเนื้อสัตว์และสัตว์ปีกจะต้องได้รับการจัดเตรียมอย่างถูกต้องเหมาะสม โดยการผ่านการขจัดถอดถอนหลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง ไขมันต้องห้าม เลือด และเส้นประสาทไซอาติก (sciatic nerve) ส่วนในทางปฏิบัติจริงนั้นการถอดถอนชิ้นส่วนเหล่านี้ออกไปหมายความว่ามีเนื้อแดงที่เป็นส่วนหน้าเพียง 4 ส่วนเท่านั้นที่ถูกนำไปใช้เป็นเนื้อโคเชอร์ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ แม้ว่าการถอดเส้นประสาทไซอาติกออกจากสัตว์จะเป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน ถึงกระนั้นในประเทศที่ยังคงต้องการนำส่วนหลังของสัตว์ไปใช้ในการผลิตอาหารโคเชอร์ก็นับว่าเป็นความจำเป็นตามข้อกำหนดที่จะต้องถอดเส้นเลือดดำออกก่อน ในสัตว์บางประเภท เช่น กวาง ถือว่าการถอดเส้นเลือดดำที่อยู่ส่วนหลังของสัตว์นั้นทำได้ง่ายกว่าหากเทียบกับสัตว์ประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าพื้นที่ใดในชุมชนที่ไม่มีประเพณีการกินเนื้อส่วนหลังของสัตว์อยู่แล้ว ในชุมชนนั้นแร็บไบก็จะปฏิเสธเนื้อส่วนหลังของกวางเพื่อไม่ให้มีการบริโภคภายในชุมชน จากนั้นเนื้อที่ได้จะต้องนำไปล้างเลือดต้องห้ามทั้งหมดออก เนื้อแดงและเนื้อสัตว์ปีกจะต้องผ่านการแช่เกลือภายใน 72 ชั่วโมงหลังการเชือด ก่อนที่เนื้อที่ผ่านการแช่เกลือทั้งหมดจะต้องถูกนำไปล้างน้ำเปล่าอีก 3 ครั้ง 

ส่วนผสมหรือวัตถุดิบใด ๆ ที่อาจมีแหล่งที่มาจากสัตว์ถือว่าเป็นที่ต้องห้ามโดยทั่วไป เนื่องจากความยากลำบากของการได้มาซึ่งสัตว์ที่มีสถานะโคเชอร์มาใช้ในกระบวนการผลิต รวมจนถึงสินค้าจำนวนมากที่อาจใช้ส่วนประกอบจากสัตว์ในอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น อีมัลซิไฟเออร์ สารให้ความคงตัว สารลดแรงตึงผิว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ ที่มาจากไขมันสัตว์ ดังนั้นมาตรการการควบคุมดูแลมาตรฐานของแร็บไบจึงมีความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าในผลิตภัณฑ์นั้นไม่มีวัตถุดิบหรือส่วนประกอบใดที่มาจากสัตว์เป็นส่วนผสม ส่วนใหญ่แล้ววัตถุดิบหรือส่วนประกอบดังกล่าวที่ใช้ในผลิตภัณฑ์โคเชอร์จะมาจากน้ำมันพืช เป็นต้น

……………………………………………….
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี เรียบเรียง
ข้อมูลจากหนังสือ : Halal food production
โดย Mian N. Riaz, Muhammad M. Chaudry

โคเชอร์ กับความเข้าใจเบื้องต้นสำหรับผู้บริโภคอาหารฮาลาล ตอนที่ 2 ชนิดของสัตว์ที่อนุมัติสำหรับโคเชอร์

สัตว์เคี้ยวเอื้องที่แยกกีบ สัตว์ปีกในครัวเรือน และสัตว์น้ำหรือปลาที่มีครีบและเกล็ดซึ่งสามารถถอดออกได้ สัตว์เหล่านี้โดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นที่อนุมัติให้รับประทานได้ ในทางกลับกัน สัตว์ประเภทสุกร นกป่า ปลาฉลาม ปลาฉลามหนู ปลาดุก ปลามังค์ฟิช และอื่น ๆ ที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงถือว่าเป็นที่ต้องห้าม นอกเหนือจากนี้ สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง (เช่น กุ้ง) สัตว์จำพวกหอย และแมลงเกือบทุกชนิดนับว่าเป็นที่ต้องห้ามเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ตามทรรศนะส่วนใหญ่ของผู้ควบคุมดูแลและออกพระบัญญัติชาวยิวนั้นถือว่า สีคาร์มีน และสีโคชินีล (สารสีแดงธรรมชาติที่ได้จากแมลง) ไม่ควรนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์โคเชอร์

ขณะเดียวกัน นกหรือสัตว์ปีกในครัวเรือน เช่น ไก่ ไก่งวง ลูกนกพิราบ เป็ด ห่าน นั้นถือว่าโคเชอร์ ส่วนนกที่อยู่ในประเภทบินไม่ได้ (เช่น นกกระจอกเทศ นกอีมู นกเรีย) นั้นไม่ถือว่าโคเชอร์ โดยเฉพาะนกกระจอกเทศซึ่งได้รับการระบุห้ามไว้อย่างเจาะจงในคัมภีร์ไบเบิล ถึงกระนั้นก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า สัตว์ที่ได้รับการกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันกับสัตว์ที่เรารู้จักกันในวันนี้ว่านกกระจอกเทศหรือไม่ หลายครั้งในการกำหนดหลักการอาหารโคเชอร์ก็มีการกล่าวถึงความพยายามที่จะตรวจสอบว่านกนั้นมีสถานะโคเชอร์หรือไม่ นกที่โคเชอร์จะต้องมีกระเพาะอาหาร (กึ๋น) ที่สามารถขจัดออกจากส่วนที่เหลือของกระเพาะอาหารของนกได้ และนกนั้นจะต้องไม่เป็นนกล่าเหยื่อ ส่วนประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมักจะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับขนบประเพณีดั้งเดิม ตัวอย่างเช่น ชนิดของนกที่เพิ่งถูกค้นพบหรือถูกพัฒนาสายพันธุ์อาจไม่ได้รับการยอมรับ เช่น แร็บไบบางท่านไม่ยอมรับไก่งวงป่า ขณะที่บางท่านอาจไม่ยอมรับไก่ที่ไม่มีขน

สัตว์ชนิดเดียวจากทะเลที่ได้รับอนุญาตคือสัตว์น้ำที่มีครีบและเกล็ด ปลาที่มีเกล็ดทุกชนิดจะมีครีบ ดังนั้นชนิดของปลาที่มีครีบจึงเป็นจุดที่ได้รับความสนใจมากกว่า ทั้งครีบและเกล็ดนั้นจะต้องสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและสามารถถอดออกมาจากหนังปลาได้โดยที่หนังปลาไม่ฉีกขาด ขณะที่ปลาบางชนิดเท่านั้นที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงว่าโคเชอร์หรือไม่ ซึ่งหนึ่งในชนิดของปลาที่ถูกนำมาถกเถียงกันมากที่สุดคือปลากระโทงดาบ 

หนอนและแมลงส่วนใหญ่นั้นไม่โคเชอร์ มีเพียงแมลงบางชนิดเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น เช่น แมลงประเภทตั๊กแตน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นที่ยอมรับตามพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกที่ประเพณีการรับประทานตั๊กแตนยังคงอยู่ไม่สูญหายไป แมลงที่รับประทานได้ทั้งหมดนั้นอยู่ในตระกูลตั๊กแตนซึ่งในคัมภีร์โตราห์ระบุว่าตั๊กแตนเป็นที่อนุมัติเนื่องจากกลไกการเคลื่อนไหวที่พิเศษของมัน 

อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่มักกังวลเพียงแมลงที่มองเห็นได้เท่านั้นว่ามันจะโคเชอร์หรือไม่ ขณะที่ชนิดของแมลงที่วงจรชีวิตต้องคอยซุกซ่อนอาศัยอยู่ในอาหารนั้นผู้คนกลับไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก ปัจจุบันได้มีการพัฒนากรรมวิธีการทำความสะอาดใหม่ที่มีความละเอียดถี่ถ้วนกว่าเดิมแก่ผลิตภัณฑ์ประเภทผักผลไม้ที่ได้รับการบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะช่วยลดจำนวนแมลงที่มองเห็นได้เป็นจำนวนมาก จึงเป็นเหตุให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูปเหล่านี้ถูกมองว่ามีสถานะโคเชอร์ 

ดังนั้น สถานประกอบการด้านอาหารโคเชอร์และบ้านที่บริโภคอาหารโคเชอร์จึงนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาจำหน่ายบริโภค แม้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะไม่ผ่านระเบียบขั้นตอนการตรวจสอบพิเศษก็ตาม ขณะที่บริษัทที่ผลิตผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะใช้ความพยายามอย่างสูงในการจัดการเพื่อจำหน่ายสินค้าปลอดหนอนและแมลง ถึงกระนั้นก็มีบางหน่วยงานที่กำกับดูแลมาตรฐานอาหารโคเชอร์ที่ยังคงไม่มั่นใจในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ พวกเขาจะรับรองเพียงผลิตภัณฑ์ (หรือเฉพาะบางส่วนของผลิตภัณฑ์) ที่ตอบรับเกณฑ์มาตรฐานโคเชอร์ตามระเบียบที่เคร่งครัดของพวกเขาเท่านั้น 

สำหรับข้อห้ามการบริโภคแมลงจะครอบคลุมหมายถึงแมลงทั้งตัว ถ้าหากผู้ผลิตใดต้องการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่วนประกอบจำเป็นจะต้องถูกหั่นเป็นชิ้นส่วนระหว่างกระบวนการผลิต มีความเป็นไปได้ว่า ผู้ผลิตอาจละเลยกรรมวิธีการตรวจสอบแมลงที่อาจหลงเหลืออยู่ในผักผลไม้ โดยที่พวกเขานึกว่าชิ้นส่วนของแมลงที่เจือปนในวัตถุดิบเหล่านี้ไม่ทำให้สถานะของอาหารนั้นไม่โคเชอร์ ในบางประเทศจะมีคู่มือที่ช่วยอธิบายว่าผักและผลไม้ชนิดใดบ้างที่ควรได้รับการตรวจสอบเป็นพิเศษ และในคู่มือก็จะแนะนำกรรมวิธีการทำความสะอาดที่เหมาะสมรวมอยู่ในกระบวนการตรวจสอบนี้ด้วยเช่นกัน 

ผู้บริโภคโคเชอร์จะชมชอบการใช้สารกำจัดศัตรูพืชเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นปลอดแมลง เช่นเดียวกันพวกเขาจะนิยมบริโภคผักบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูปที่ผ่านกรรมวิธีการตรวจสอบที่ถูกต้องเหมาะสม นอกเหนือจากนี้ โปรแกรม IPM (Integrated Pest Management : การจัดการศัตรูพืชด้วยวิธีผสมผสาน) สมัยใหม่ที่เพิ่มระดับการปนเปื้อนหรือการเข้าทำลายของแมลงในผักและผลไม้นั้นสามารถสร้างปัญหาแก่ผู้บริโภคโคเชอร์ได้เช่นกัน หนึ่งในตัวอย่างปัญหาการกำจัดศัตรูพืชของโปรแกรม IPM ที่ผู้ใช้อาจคาดไม่ถึงได้แก่ แมลงที่ซ่อนอยู่ในรอยแหว่งเป็นริ้วคล้ายรูปสามเหลี่ยมบนก้านของหน่อไม้ฝรั่ง แมลงที่ซ่อนอยู่ในสตรอเบอร์รี่สีเขียว และเพลี้ยไฟที่ซ่อนอยู่บนใบกะหล่ำปลี ด้วยความยากลำบากในการตรวจสอบที่รอบคอบเหมาะสมเช่นนี้เองทำให้ผู้บริโภคโคเชอร์จำนวนมากที่เคร่งครัดตามขนบประเพณีดั้งเดิมเลือกที่จะไม่บริโภคกะหล่ำดาว

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี เรียบเรียง
ข้อมูลจากหนังสือ : Halal food production
โดย Mian N. Riaz, Muhammad M. Chaudry

โคเชอร์ กับความเข้าใจเบื้องต้นสำหรับผู้บริโภคอาหารฮาลาล ตอนที่ 1 ข้อกำหนดมาตรฐานอาหารโคเชอร์

อาหารที่ได้รับการรับรองว่าสามารถรับประทานได้สำหรับชาวยิวนั้นเรียกว่า ‘โคเชอร์’ ซึ่งชาวมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมจำนวนมากเข้าใจว่าฮาลาลนั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับโคเชอร์ จึงจำเป็นที่เราจะต้องเน้นย้ำถึงลักษณะที่เหมือนและแตกต่างกันระหว่างโคเชอร์และฮาลาล คนจำนวนมากในอุตสาหกรรมอาหารของสหรัฐอเมริกามีความคุ้นเคยกับคำศัพท์คำว่าโคเชอร์อยู่แล้ว อีกทั้งยังรู้ถึงปัจจัยสำคัญตามข้อกำหนดเพื่อนำไปใช้สำหรับผลิตภัณฑ์โคเชอร์ ดังนั้น การศึกษาข้อเปรียบเทียบระหว่างฮาลาลและโคเชอร์สามารถช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมอาหารเข้าใจแนวคิดของทั้งสอง และยังสามารถนำความเข้าใจตรงนี้ไปปรับใช้กับกระบวนการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของมาตรฐานฮาลาลด้วยเช่นกัน

ข้อกำหนดมาตรฐานอาหารโคเชอร์จะคอยเป็นเกณฑ์ตรวจสอบว่าอาหารแต่ละชนิดนั้นถูกต้องเหมาะสมแก่ผู้บริโภคชาวยิวที่ยึดถือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือไม่ ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้มีแหล่งที่มาดั้งเดิมจากพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเก่า ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากเบญจบรรณหรือพระคัมภีร์เดิมห้าเล่มแรกของโมเสส (คัมภีร์โตราห์ หรือ เตารอต) ในขณะที่โมเสสได้รับพระบัญญัติ 10 ประการ ที่ภูเขาซีนาย ตามประเพณีของชาวยิวนั้นเชื่อว่าโมเสสยังคงได้รับพระวจนะบัญญัติ หลายปีต่อมาพระวจนะบัญญัติเหล่านี้ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เล่าสืบต่อกันมาจึงถูกนำมาบันทึกเรียกว่า ‘คัมภีร์ทัลมุด’ อย่างไรก็ตาม พระวจนะบัญญัติเหล่านี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมบัญญัติไบเบิลเทียบเท่ากับตัวบทบัญญัติที่ได้รับการจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหมายของข้อกำหนดโคเชอร์ตามธรรมบัญญัติไบเบิลก็ถูกแร็บไบ (ธรรมาจารย์ผู้ทรงความรู้ในศาสนายูดาย) ตีความและขยายความออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวยิวละเมิดบทบัญญัติในส่วนที่เป็นรากฐาน อีกทั้งยังเพื่อตอบประเด็นปัญหาและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตามบริบทของยุคสมัย หลักนิติธรรม หรือระบอบการดำเนินชีวิตของชาวยิวนั้นเรียกว่า ‘ฮาลอคา’ (Halacha) 

ข้อกำหนดมาตรฐานอาหารโคเชอร์ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปยังสามประเด็นหลัก ซึ่งทั้งหมดล้วนข้องเกี่ยวกับอาณาจักรสัตว์ ดังนี้:
• ชนิดของสัตว์ที่อนุมัติ 
• ข้อห้ามในเรื่องของเลือด
• ข้อห้ามในเรื่องของการผสมนมกับเนื้อสัตว์

นอกเหนือจากนี้ ในช่วงเทศกาลปัสกาของชาวยิว (Passover หรือที่เรียกกันว่าเทศกาลเปสสัค ช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือ เมษายน) ยังมีข้อห้ามมิให้บริโภค ‘คาเมตซ์’ (Chometz หรือ ขนมปังใส่เชื้อหรือส่าเหล้า) รวมถึงธัญพืชที่ขึ้นฟูก็ถือว่าเป็นที่ต้องห้ามในช่วงเทศกาลเช่นเดียวกัน (เช่น ข้าวสาลี ข้าวไร ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ และแป้งสเปลท์) ข้อห้ามเหล่านี้สำหรับชาวยิวที่มีการขยายเพิ่มเติมเข้ามาได้นำไปสู่กฎระเบียบใหม่ทั้งหมด ซึ่งมุ่งเน้นไปยังอาณาจักรพืชเป็นกรณีพิเศษ ยิ่งกว่านั้น ยังมีข้อบังคับที่แยกย่อยออกไปอีก เช่น ข้อบังคับในเรื่องของน้ำองุ่น ไวน์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้จากผลิตภัณฑ์องุ่น เป็นต้น อีกทั้งยังมีข้อบังคับในเรื่องของมาตรการควบคุมดูแลผลิตภัณฑ์นมของชาวยิว ; กระบวนการปรุงอาหาร การผลิตชีส และการอบของชาวยิว ; เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตอาหารโคเชอร์ ; การจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือจากผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิว ; และข้อบังคับในการใช้แป้งเก่าและแป้งใหม่ เป็นต้น

……………………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี เรียบเรียง
ข้อมูลจากหนังสือ : Halal food production
โดย Mian N. Riaz, Muhammad M. Chaudry

ความหมายของอุฎฮียะฮ์ (เนื้อกุรบาน) และกฎเกณฑ์ของมัน

อุฎฮียะฮฺ (กุรบาน) หมายความอย่างไร มันเป็นวาญิบหรือซุนนะฮฺ ?

คำว่า อุฎฮียะฮ์ หมายถึง สัตว์ที่อยู่ในชั้นของ อันอาม (เช่น อูฐ วัว แกะหรือแพะ) ซึ่งถูกเชือดในช่วงวันอีดอัฎฮาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและเป็นการทำอิบาดะฮฺ เพื่อหวังความใกล้ชิดและโปรดปรานจากอัลลอฮฺ

นี่เป็นศาสนกิจอย่างหนึ่งในอิสลามที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺและแบบแผนการปฏิบัติของศาสนทูต (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) ตามมติเอกฉันท์ของประชาชาติมุสลิม

:: ในอัลกุรอาน ::
1 – อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า 
“ดังนั้นเจ้าจงละหมาดเพื่อพระเจ้าของเจ้าและจงเชือดสัตว์พลี” [อัลเกาษัรฺ 108:2]

2 – พระองค์ทรงกล่าวไว้อีกว่า 
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ (นุสุก) ของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น”[อัลอันอาม 6:162]

คำว่านุสุก (สามารถแปลได้ว่าเป็นการเชือดพลี) หมายถึงการกุรบาน; นี่เป็นมุมมองของ สะอีด อิบนุญุบัยร์ และยังหมายถึงการปฏิบัติทุกอย่างที่เป็นบัญญัติศาสนา, รวมทั้งการเชือดพลีซึ่งมีความหมายลึกยิ่งขึ้น 

3 – พระองค์ยังตรัสอีกว่า: 
“และสำหรับทุก ๆ ประชาชาติเราได้กำหนดสถานที่ทำพิธีกรรมเพื่อพวกเขาจักได้กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา คือสัตว์สี่เท้า (เช่น อูฐ วัว แพะ แกะ) ฉะนั้นพระเจ้าของพวกเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้นสำหรับพระองค์เท่านั้น พวกเจ้าจงนอบน้อมและจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้จงรักภักดีนอบน้อมถ่อมตนเถิด” [อัลหัจญ์ 22:34]

:: ในหะดีษของท่านนบี :::
1 – มีรายงานใน เศาะฮีฮฺบุคอรีย์ (5558) และเศาะฮีฮฺมุสลิม (1966) ว่า ท่านอนัส บินมาลิก (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน) กล่าวว่า “ท่านนบี (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) เชือดแกะสีเทาสองตัว ท่านเชือดด้วยมือของท่านเอง ท่านได้กล่าวว่า “อัลลอฮุอักบัรฺ” และวางเท้าของท่านบนคอ (สีข้าง) ของมันทั้งสอง”

2 –มีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัร (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน) กล่าวว่า “ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อาศัยอยู่ในมะดีนะฮฺเป็นเวลาสิบปี ท่านได้เชือดกุรบาน (ทุกปีของวันอีด) รายงานโดยอะหมัด (4938) อัตติรฺมิซีย์ (1507) อัลบานีย์กล่าวว่าเป็นหะดีษเศาะฮีฮฺใน มิชกาต อัลมะศอบีฮฺ 1475

3 – รายงานจากอุกบะฮฺ บินอามีรฺ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน)เล่าว่าท่านนบี (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) ได้แจกจ่ายสัตว์สำหรับอุฎฮียะฮ์ให้แก่บรรดาเศาะฮาบะฮ์ โดยอุกบะฮฺได้รับแกะอายุหกเดือน ท่านได้กล่าวว่า “โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮฺ ฉันได้รับแกะอายุหกเดือน” นบีจึงกล่าวว่า “จงนำมันเพื่อเชือดอุฎหิยะฮ์” รายงานโดยบุคอรีย์ (5547)
.
4 –อัลบัรรออ์ บินอาซิบ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน)รายงานว่าท่านนบี (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) กล่าวว่า “ผู้ใดเชือดหลังละหมาดอีด ถือว่าการเชือดอุดฮียะฮฺของเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว และถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติของมุสลิม” (รายงานโดยบุคอรีย์, 5545)

ท่านนบี (ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน) ได้ทำอุฎฮียะฮ์ และบรรดาเศาะฮาบะฮ์ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจพวกเขา) ก็เช่นเดียวกัน และท่านยังกล่าวด้วยว่านี่เป็นแนวทางของมุสลิม

ดังนั้น มุสลิมต่างเห็นตรงกันว่านี้เป็นบัญญัติหนึ่งในอิสลาม ซึ่งนักวิชาการรายงานไว้หลายท่าน แต่สิ่งที่แตกต่างคือกันความเห็นที่ว่านี่เป็น สุนนะฮ์มุอักกะดะฮ์ (สุนนะฮ์ที่สมควรปฏิบัติอย่างยิ่ง) หรือว่าเป็นสิ่งวาญิบ (บังคับ) หรืออนุญาตให้ละเว้นที่จะไม่ทำก็ได้

นักวิชาการส่วนใหญ่มีทรรศนะว่านี่เป็นสุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺ นี่เป็นความเห็นของอิมามชาฟิอีย์ อิมามมาลิกและอิมามอะหมัดซึ่งเป็นทรรศนะที่รู้จักกันดี

นักวิชาการอื่นเห็นว่าเป็นสิ่งวาญิบ นี่เป็นความเห็นของอิมามอบูหะนีฟะฮฺและยังเป็นความเห็นหนึ่งของอิมามอะหมัด และยังเป็นความเห็นที่อิบนุตัยมิยะฮ์สนับสนุนมากที่สุดซึ่งได้กล่าวว่า “นี่เป็นความเห็นหนี่งจากสองความเห็นที่รายงานในมัซฮับมาลิกีย์ หรือเป็นความเห็นของอิมามมาลิก”

ในหนังสือ ริสาละฮฺ อะห์กาม อัลอุฎฮียะฮฺ วัลซะกาฮฺ อิบนุอุษัยมีน (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า “อุฎฮิยะฮ์เป็นซุนนะฮ์มุอักกะดะฮ์สำหรับผู้ที่มีความสามารถที่จะทำ ดังนั้นเขาควรจะทำการเชือดในนามของตนเองและสมาชิกในครอบครัว”

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก islamqa.info

#อีดอัฎฮา #ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำนักงานปัตตานี

ความสุรุ่ยสุร่ายและอาหารเหลือทิ้งในเดือนรอมฎอน

ในเดือนรอมฎอน มุสลิมได้รับการส่งเสริมให้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในระหว่างการละศีลอดและรับประทานอาหารสะหูรฺ ขณะเดียวกันให้ละเว้นจากการกระทำบาปด้วยการรับประทานอาหารอย่างทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ

แม้ว่ารอมฎอนเป็นเดือนแห่งการถือศีลอด แต่ครัวเรือนส่วนใหญ่กลับเตรียมอาหารเป็นจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าโภชนาการของอาหาร ยิ่งไปกว่านั้น อาหารจำนวนมากถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ซึ่งไม่เป็นที่อนุญาตในศาสนาอิสลาม อาหารที่ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์นั้นเป็นบาปในศาสนาอิสลามและยังเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของเดือนรอมฎอนอย่างยิ่ง 

ในเดือนรอมฎอน เราจะเห็นภัตตาคาร และโรงแรมหลายแห่งเตรียมอาหารบุฟเฟ่ต์เพื่อให้มุสลิมได้ทำการละศีลอด ซึ่งอาหารบุฟเฟ่ต์โดยทั่วไปนำเสนออาหารที่น่ารับประทานเป็นจำนวนมาก รวมทั้งอาหารเรียกน้ำย่อยและ “ขนมหวานล่อใจ” ซึ่งแต่ละคนสามารถรับประทานได้มากเท่าที่ปรารถนา

บรรดาอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เตรียมไว้เหล่านี้ จะล่อใจด้วยอาหารที่มีกลิ่นและลักษณะที่ดูดี การล่อใจด้วยประสาทสัมผัสทางกลิ่นและภาพของอาหาร บ่อยครั้งทำให้มีการตักอาหารเกินความจำเป็น แม้ว่าการกินและดื่มมากเกินไปไม่เป็นที่อนุญาตในศาสนาอิสลาม แต่ลูกค้าบุฟเฟ่จำนวนมากยอมให้ความอยากของเขาครอบงำในเวลาละศีลอด ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีความรู้สึกว่า ควรตักอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้บนจานอาหารของพวกเขาเพื่อความคุ้มค่ากับเงินที่เขาจ่ายไป

มีการจัดอาหารให้มีอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อสนองความหิวกระหาย ซึ่งเป็นแบบฉบับของอาหารบุฟเฟ่ย์ นำไปสู่การเหลือทิ้งบนจานอาหารเป็นจำนวนมากที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดก็ไม่สามารถบริโภคได้จนหมด ที่เหลือก็จะถูกโยนทิ้งไป

เพราะเหตุใดมุสลิมจึงทิ้งอาหารไปอย่างปล่าวประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนรอมฎอน? หรือว่านี่เป็นการตอบสนองทางจิตใจที่รู้สึกว่า ฉันไม่ใช่คนจนเนื่องจากฉันสามารถจ่ายอาหารอย่างทิ้งขว้างได้? หรือบางทีอาหารที่ทิ้งไป (หรือน้ำ) เป็นเพียงความเลินเล่อจนเคยชิน? มุสลิมไม่ตระหนักหรือว่าอาหารเป็นปัจจัยยังชีพที่ทรงประทานมาจากอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) และสักวันหนึ่ง เราจะถูกสอบสวนเกี่ยวกับสิ่งที่เราทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์

อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงตรัสความว่า

“พวกเจ้าจงกินจากสิ่งที่ดีทั้งหลาย ที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าอย่าได้ฝ่าฝืน มิฉะนั้น ความกริ้วของข้าจะเกิดขึ้นแก่พวกเจ้า และผู้ใดที่ความกริ้วของข้าเกิดขึ้นแก่เขาแน่นอนเขาจะประสบความพินาศ” (ฎอฮา : 81)

“…และจงกินและจงดื่ม และจงอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ไม่ชอบบรรดาผู้ที่ฟุ่มเฟือย” (อัลอะอฺรอฟ : 31)

“… แท้จริง บรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของเหล่าชัยฏอน และชัยฏอนนั้นเนรคุณต่อพระเจ้าของมัน” (อัลอิสรออฺ : 26 – 27)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ.สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
จากหนังสือ Halal Haram : An Important book for muslim consumers โดย Consumers Association of Penan g

ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์และเนื้อสัตว์แปรรูปกับมะเร็งกระเพาะอาหาร

ไม่ว่าจะเป็นการดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูป และการมีน้ำหนักเกิน ต่างก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ตามรายงานทางวิทยาศาสตร์ฉบับใหม่ที่จัดทำโดยสถาบันวิจัยโรคมะเร็งแห่งชาติอเมริกัน (American Institute for Cancer Research) และกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (World Cancer Research Fund)

รายงานจากโครงการอัปเดตปรับปรุงต่อเนื่อง (The Continuous Update Project) จัดทำขึ้นโดยสถาบันวิจัยโรคมะเร็งแห่งชาติอเมริกัน (American Institute for Cancer Research) และกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (World Cancer Research Fund)

นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอย่างเป็นระบบ หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติได้ประเมินผลอย่างเป็นอิสระ พบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารจำนวน 952,000 ราย ในปี 2012 หรือ 7% ของผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ทั้งหมด

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นสาเหตุอันดับที่สามของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง มีผลต่อผู้ชายเป็นสองเท่าเทียบกับผู้หญิง และเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติในหมู่ผู้สูงอายุ ซึ่งอายุเฉลี่ยของการวินิจฉัยผู้ป่วยเป็นโรคในสหรัฐอเมริกานั้นอยู่ที่ 72 ปี 

ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาอัตราการมีชีวิตรอดจากโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอยู่ที่ 25 – 28% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 63% หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งอาการจะไม่ปรากฏให้เห็นในระยะเริ่มแรกจนกว่ารอยโรคจะมีการเจริญเติบโตมากขึ้น และ 70% ของผู้ป่วยทั่วโลกจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเมื่ออยู่ในระยะท้าย ๆ ซึ่งส่งผลให้อัตราการรอดชีวิตลดลง โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกและจีน

การจำแนกโรคมะเร็งกระเพาะอาหารขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการเจริญเติบโตของเนื้องอก มะเร็งบริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (cardia stomach cancer) เกิดขึ้นบริเวณด้านบนสุดของกระเพาะอาหารใกล้หลอดอาหาร ส่วนมะเร็งที่ไม่ได้อยู่บริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (non-cardia cancer) นั้นเกิดขึ้นนอกเหนือจากบริเวณดังกล่าว

โรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่ไม่ได้อยู่บริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (non-cardia cancer) จะพบมากกว่าในทวีปเอเชีย แต่อัตราการเกิดโรคนั้นลดลง อาจเป็นเพราะอัตราการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) นั้นลดลง และผู้คนก็เริ่มใช้เครื่องทำความเย็นมากกว่าการใช้เกลือในการถนอมและรักษาอาหาร

อย่างไรก็ตาม มะเร็งบริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (cardia stomach cancer) เป็นโรคที่พบมากกว่าในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น

ผลการวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่า 11% ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารทั่วโลกนั้นมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่

การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (H. pylori) เป็นที่ทราบกันว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่ไม่ได้อยู่บริเวณส่วนต้นของกระเพาะอาหาร (non-cardia cancer) และมีการศึกษาตรวจสอบที่อยู่ในระหว่างกระบวนการว่าสาเหตุของโรคอาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสเอปสตีนบาร์ หรือย่อว่า อีบีวี (Epstein-Barr virus: EBV) 

การรับการสัมผัสของสารเคมีในอุตสาหกรรมและการสัมผัสกับฝุ่นและอุณหภูมิสูงในสถานที่ทำงานก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน ผู้ที่ใช้เครื่องจักรในการผลิตอาหาร ผลิตยางพารา การแปรรูปไม้หรือโลหะ การผลิตโครเมียม และการทำเหมืองถ่านหินถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสูง

การศึกษาในปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของปัจจัยการดำเนินชีวิตบางอย่างที่มีต่อความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ข้อมูลนี้มีการสังเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์อภิมานข้อมูลกว่า 89 เรื่องจากผู้ใหญ่จำนวน 17.5 ล้านคน และผู้ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารอีก 77,000 คน

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
โดย Yvette Brazier จาก MedicalNewsToday.com:

ความคลุมเครือระหว่างสิ่งที่ฮาลาลและหะรอม

ในหะดีษของอบู อับดุลลอฮฺ อัล-นุอฺมาน อิบนุ บาชีร เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุมา กล่าวว่า จากอบูอับดุลลอฮฺ (อัน-นุอฺมาน บิน บะชีร) กล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงสิ่งที่อนุมัติ (หะลาล) นั้นชัดเจนและสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ก็ชัดเจนเช่นกัน และในระหว่างทั้งสองนั้นคือสิ่งที่คลุมเครือ ซึ่งผู้คนส่วนมากไม่รู้ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ระแวดระวังและปกป้องตัวเขาจากสิ่งที่คลุมเครือ แท้จริงเขาได้ให้ศาสนาและเกียรติของเขาบริสุทธิ์ และใครก็ตามที่ตกอยู่ในสิ่งที่คลุมเครือ ก็เสมือนกับว่าเขาได้ตกอยู่ในสิ่งที่ต้องห้าม เปรียบดังเช่นผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์อยู่รอบ ๆ บริเวณเขตหวงห้าม ซึ่งมันเกือบจะเล็ดลอดเข้าไปกินในเขตหวงห้ามอยู่แล้ว พึงทราบเถิดว่าทุก ๆ กษัตริย์ย่อมมีเขตหวงห้าม และพึงทราบเถิดว่า แท้จริงเขตหวงห้ามของอัลลอฮฺคือบรรดาสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย พึงทราบเถิดว่า ในร่างกายมนุษย์นั้น มีก้อนเนื้อชิ้นหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทั้งหมดก็จะดีตามไปด้วย และถ้าหากว่ามันเสีย ร่างการทั้งหมดก็จะเสียตามไปด้วย พึงทราบเถิดว่า มันคือ หัวใจ” (รายงานโดยอิหม่ามบุคอรียฺและมุสลิม)

:: คำศัพท์ ::
คำว่า ฮาลาล ได้เข้าไปอยู่ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษแล้ว ซึ่งในทางภาษาคำนี้หมายถึง อนุมัติ หรือ อนุญาต ส่วนคำศัพท์ทางเทคนิคจะหมายถึงชื่อที่กำหนดหมวดทางกฎหมายของสิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาตในอิสลาม ฮาลาลคือสิ่งที่ได้รับการอนุมัติด้วยอัล-กุรอานหรือสุนนะฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม

1.ฮาลาล
ตามข้อกำหนดของอิสลาม หลักการพื้นฐานแรกที่อิสลามได้วางไว้คือการถือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺทรงสร้างและประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากมันนั้นล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญกับมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นที่อนุมัติ ไม่มีสิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) นอกจากว่าตัวบทที่มีความถูกต้องและชัดเจนกล่าวว่ามันเป็นที่ต้องห้าม (นั่นหมายถึง อายะฮฺอัล-กุรอานที่รัดกุมชัดเจนกับหะดีษที่ศอเฮี้ยะฮฺ) 

ดังกล่าวนี้นำเราไปสู่ความเข้าใจที่ว่าขอบเขตของสิ่งหะรอม (สิ่งที่ต้องห้าม) นั้นเล็กน้อยมากในขณะที่ขอบเขตของสิ่งที่ฮาลาล (สิ่งที่อนุมัติ) นั้นกว้างขวางมาก

หะรอม ในทางภาษานั้น หมายถึง สิ่งต้องห้ามหรือผิดกฎหมาย ในศัพท์ทางเทคนิคหมายถึงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้อย่างชัดเจน ซึ่งปรากฎในอัล-กุรอานหรือในวจนะของท่านนบี มุฮัมมัด สำหรับคนที่ยุ่งอยู่กับมันนั้นมีแนวโน้มว่าจะประสบกับความเสียหาย

2.หะรอม
อันที่จริงแล้ว ตัวบทที่ชัดเจนและถูกต้อง (ทั้งในอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ) ในประเด็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในหลักนิติธรรมของอิสลามนั้นมีระดับที่แตกต่างกันกันในเรื่องหะรอม (สิ่งต้องห้าม) มีทั้งเรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก และเรื่องที่น่ารังเกียจ

อย่างไรก็ตาม ความชอบธรรมในการกำหนดฮาลาลและหะรอมนั้นเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว

3. ฮิมัน
ตามพจนานุกรมของอิสลามแล้ว “ฮิมัน” ในทางภาษาหมายถึง “ปกป้อง ห้าม” การที่ผู้ปกครองประเทศได้สงวนที่ดินส่วนหนึ่งเพื่อให้เป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์ส่วนตัว เจ้าชายทุกคนล้วนมี “ฮิมัน” ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามแก่ประชาชน และ “ฮิมัน” ถูกห้ามโดยเจ้าชายแก่คนทั่วไป กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นบริเวณสงวนไว้สำหรับสัตว์เลี้ยงของกษัตริย์อันเป็นที่ต้องห้ามสำหรับสัตว์อื่น ๆ ดังนั้นหากว่าสัตว์อื่น ๆ ละเมิดขอบเขตต้องห้ามของสัตว์โดยเข้าไปกินหญ้าผู้เป็นเจ้าของสัตว์นั้นย่อมจะถูกลงโทษ

นี่คือการเปรียบเทียบที่สวยงามที่แสดงให้เราเห็นว่าผู้ที่ฝ่าฝืนข้อต้องห้ามของอัลลอฮฺนั้นจะได้รับการลงโทษ

หะดีษเน้นย้ำจิตสำนึกของผู้ศรัทธา ซึ่งจะคอยตรวจสอบผู้ที่มีหน้าที่ดูแลที่จะต้องรับผิดชอบการงานและมองดูว่าได้ดำเนินการไปอย่างถูกต้องเหมาะสม พูดง่าย ๆ คือ มันเป็นเกณฑ์ที่จะแสดงให้เห็นถึงการยึดมั่นของมุสลิมในเรื่องฮาลาล ด้วยการหลีกห่างเรื่องหะรอม ตลอดจนการออกห่างจากการกระทำที่มีความคลุมเคลือ

:: ทางนำและศีลธรรม ::
หะดีษนี้กระตุ้นให้มุสลิมหลีกเลี่ยงการกระทำที่คลุมเครือ อันเนื่องจากว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะล่อลวงให้พวกเขากล้าที่จะกระทำสิ่งที่ต้องห้ามก็เป็นได้

หะดีษที่สำคัญนี้นำเราไปสู่การอ้างถึงหลักการเกี่ยวกับพฤติกรรมของมุสลิมและคอยมาควบคุมทั้งในแง่ปัจเจกบุคคลและในสังคม ส่วนหนึ่งได้แก่

1. ฮาลาลนั้นชัดเจนในอิสลาม เช่น สิ่งที่มีประโยชน์ทั้งหมดครอบคลุมถึงอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องประดับประดาที่ดี การแต่งงาน เป็นต้น เนื่องจากว่าหลักการพื้นฐานพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นที่อนุญาตตราบใดที่ไม่มีตัวบท (อัล-กุรอานและสุนนะฮฺ) ห้ามอย่างชัดเจน

2. หะรอมนั้นชัดเจนและมีข้อจำกัด เช่น เนื้อสัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อสุกร สิ่งมึนเมา การฆ่าคนบริสุทธิ์ การให้การเป็นพยานเท็จ การขโมย ความอกตัญญู การติดสินบน การผิดประเวณี การล่วงประเวณี ดอกเบี้ย คำสบถ การดูถูก การคดโกง การอิจฉาริษยา การเกลียดชัง การโกหกและอื่น ๆ ที่คนดีต้องละเว้น

3. อะไรก็ตามที่นำไปสู่หะรอมนั่นคือสิ่งที่หะรอมในตัวมันเอง

4. เจตนาที่ดีจะไม่อาจทำสิ่งหะรอมเป็นสิ่งฮาลาลให้เป็นที่ยอมรับได้

5. หะรอมเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับทุกคนเหมือน ๆ กัน

6. สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นข้อห้ามนั้นอันเนื่องจากความไม่บริสุทธิ์และเป็นโทษ

7. ความจำเป็นทำให้เกิดข้อยกเว้น

อย่างไรก็ตามหะดีษนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า “มีพื้นที่สีเทาระหว่างฮาลาลที่ชัดเจนและหะรอมชัดเจน นี่คือพื้นที่ของสิ่งที่คลุมเครือ (ชุบฮาต) บางคนอาจไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเรื่องใดที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับอนุญาต ความสับสนเช่นนี้ อาจเกิดจากหลักฐานที่คลุมเครือหรือเนื่องจากความคลุมเครือในเรื่องการประยุกต์ใช้ตัวบทกับสถานการณ์หรือประเด็นเฉพาะที่เป็นปัญหา

สำหรับเรื่องนี้ อิสลามถือว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่มุสลิมจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่มันคลุมเครือเพื่อที่จะมีจุดยืนที่ชัดเจนจากสิ่งที่หะรอม ดังกล่าวนี้คล้ายกับสิ่งที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการปิดกั้นลู่ทางซึ่งนำไปสู่สิ่งที่เป็นหะรอม (ต้องห้าม)

อีกประการหนึ่ง อนุมัติสำหรับมุสลิมคนหนึ่งที่จะจัดการกับทรัพย์สินจำนวนมากที่ฮาลาล ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานจากอาหารของเขา จนกว่ามุสลิมจะตระหนักถึงสิ่งที่หะรอม ดังที่เราถูกเรียกร้องให้หลีกห่างจากการกินสิ่งที่หะรอมเพราะจะทำให้หัวใจดำมืดและทำให้การงานนั้นเสียหาย .

หะดีษนี้กล่าวว่า การทำสิ่งที่ฮาลาล การออกห่างจากสิ่งที่หะรอม และการหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่คลุมเครือนั้นจะแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่แข็งแกร่งหนักแน่น ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการควบคุมของคนหนึ่งและเป็นแหล่งที่มาแห่งความดีงามและความชั่วร้าย

ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “คนที่ให้เพื่ออัลลอฮฺ ห้ามเพื่ออัลลอฮฺ รักเพื่ออัลลอฮฺ เกลียดเพื่ออัลลอฮฺ เขาได้บรรลุถึงศรัทธาที่สมบูรณ์แล้ว”

สุดท้าย หากว่าเรานำความโน้มเอียงและกิจกรรมต่าง ๆ ของเราไปสู่ความดีงามเพื่ออัลลอฮฺ ความศรัทธาของเราจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นทั้งภายในและภายนอก

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง

**ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับอาหารฮาลาล-หะรอม**

เหตุผลและคำอธิบายถึงอาหารที่ต้องห้ามในอิสลามและวิทยาศาสตร์

ตามหลักศรัทธาของอิสลามนั้น อัลลอฮฺ คือผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพ พระองค์มิทรงมีภาคีหรือสิ่งอื่นใดเทียบเคียง เงื่อนไขแรกของการเป็นมุสลิมคือการกล่าวปฏิญาณว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การสักการะบูชาเว้นแต่พระเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว (อัลลอฮฺ) เท่านั้น” ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอุทิศเพื่อผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นข้อท้าทายที่จะบดบังความเป็นจริงนี้

ดังนั้น คำอธิบายใด ๆ จึงไม่จำเป็นและมิได้เป็นที่ต้องการสำหรับการเชื่อฟังพระองค์ หลักพื้นฐานสำหรับข้อห้ามประเภทต่าง ๆ ที่ได้ระบุไว้ข้างต้นเป็นทางนำที่มาจากแสงสว่างแห่งอัลกุรอานที่มีความรัดกุมและบริสุทธิ์ยิ่ง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้พยายามศึกษาเพื่อทำการอธิบายและพิสูจน์เหตุผลของข้อห้ามบางส่วนบนพื้นฐานของความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ดังนี้

1. ซากสัตว์และสัตว์ที่ตายเองไม่เหมาะสมแก่การบริโภคเนื่องจากกระบวนการย่อยสลายได้นำไปสู่การก่อตัวของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

2. เลือดที่ไหลออกจากร่างกายมีแบคทีเรียที่เป็นอันตราย มีสารที่เกิดจากกระบวนการเมเเทบอลิซึม รวมจนถึงสารพิษ

3. สุกรทำหน้าที่เป็นพาหะของพยาธิที่สามารถนำโรคเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ การติดโรคผ่านอาหารด้วยพยาธิตัวกลมชนิดทริคิ-เนลล่า สไปราลิส (Trichinella spiralis) และพยาธิตืดหมู (Taenia solium) เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป นอกจากนี้ยังพบว่าองค์ประกอบของกรดไขมันที่มาจากสุกรไม่สามารถเข้ากันได้กับไขมันและระบบชีวเคมีของมนุษย์

4. สิ่งมึนเมาถือว่าเป็นอันตรายต่อระบบประสาทที่ส่งผลต่อประสาทสัมผัสและการตัดสินใจของมนุษย์ มีหลายกรณีที่สิ่งมึนเมาเหล่านี้เป็นต้นเหตุของปัญหาทางสังคม ปัญหาครอบครัว หรือแม้กระทั่งการสูญเสียชีวิต

แม้ว่าคำอธิบายเหล่านี้จะมีน้ำหนักมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม หลักการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังข้อห้ามเหล่านี้คือคำสั่งของผู้เป็นเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏในอัลกุรอานตามโองการต่าง ๆ มากมาย ดังที่ว่า “เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเจ้าที่จะ …” ซึ่งได้กำหนดทิศทางวิถีการดำเนินชีวิตให้แก่มุสลิมผู้ศรัทธา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ต่อมุสลิมทุกคนที่จะต้องนำมาเป็นวิถีปฏิบัติในชีวิต

……………………………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจากหนังสือ : Halal food production
โดย Mian N. Riaz, Muhammad M. Chaudry

ควรกินและดื่มอย่างไรให้มีผลดีต่อสุขภาพในช่วงเดือนรอมฎอน

คำตอบที่เพื่อนแพทย์ของเราได้ให้ไว้มีดังนี้

เป็นที่ทราบกันดีว่าคนที่รับประทานอาหารโดยขาดสมดุลในเดือนรอมฎอนจะก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพหลายประการ เช่น หมดเรี่ยวแรง อาการซึมเศร้า ปวดท้อง อาการท้องอืด และความดันโลหิตต่ำ และเป็นสิ่งที่ไม่ถูกหากไม่ยอมตื่นขึ้นมารับประทานอาหาร “สะฮูร” (การรับประทานก่อนรุ่งอรุณ) หรือการบริโภคอาหารที่เต็มไปด้วยไขมันในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่สมควรที่จะรับประทานหลายอย่างและมากเกินไปในช่วงเวลาละศีลอด (อิฟฏอร) หรือรับประทานอาหารจานด่วนหรืออาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและดื่มน้ำไม่พอเพียง สำหรับอิฟฏอรและซะฮูรนั้นอาหารเบาๆ ที่อุดมไปด้วยเส้นใยและผักจะต้องได้รับการบริโภคมากกว่าอาหารที่หนักและมีแต่ไขมัน

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับเดือนรอมฎอนมีดังนี้
1. เอาใจใส่ในการตระเตรียมตารางรายการในการละศีลอด ซึ่งควรเป็นอาหารที่สมดุลมีสารอาหารครบถ้วนสำหรับความต้องการด้านอาหารของร่างกาย

2. จงเริ่มละศีลอดด้วยอาหารเบาๆและจำนวนน้อย การกินอย่างตะกละจะทำให้ท้องตึง ในกรณีนี้ จะทำให้เกิดการปวดกระเพาะและลำไส้ เช่น อาหารไม่ย่อย อาการหนักกระเพาะอาหาร สภาพเป็นกรด อาการจุกเสียดท้อง คลื่นไส้ ท้องผูกและสำไส้บวม เพราะการถือศีลอดจะต้องละศีลอดด้วยอาหารอย่างเช่นอินทผลัม ชีส มะเขือเทศ มะกอกและขนมปังข้าวสาลีหรือจะเป็นอาหารเบาๆ อย่างเช่น ซุป จานผักที่มีเนื้อ และปล่อยให้ย่อยหลังจากนั้น 15-20 นาทีแล้วตามด้วยอาหารไขมันต่ำ เนื้อย่าง ถั่ว ผัก สลัด โยเกิร์ต เป็นต้น

3. จงเลือกอาหารที่มีค่าดรรชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวสาลีอบ ขนมปังโฮลวีตหรือพาสต้าโฮลวีต (เป็นอาหารที่มีคุณสมบัติดังกล่าวและเป็นอาหารที่หาได้ง่ายในพื้นที่…ผู้แปล) มากกว่าอาหารที่มีค่าดรรชนีน้ำตาลสูง ซึ่งจะเร่งให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพิ่มอย่างรวดเร็ว เช่น ขนมปังขาวและข้าวอบ 

4. รับประทานอย่างช้าๆแล้วเคี้ยวอาหารให้ละเอียด

5. ช่วงเวลาอิฟฏอรต้องรับประทานอาหารแบบเบาๆ ที่ปรุงด้วยการย่าง ต้ม หรืออบไอน้ำ มากกว่าการทอดและอาหารไขมันสูง

6. รับประทานของหวานเป็นนมดีกว่าของหวานหนัก ๆ

7. ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่ม 2-2.5 ลิตรหรือเครื่องดื่มในช่วงเวลาค่ำถึงเช้ามืด

8. หากต้องการรับประทานอาหารระหว่างมื้อควรเลือกเป็นผลไม้

9. ควรดื่มน้ำชาและกาแฟหนึ่งหรือสองชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหาร เนื่องจากมันจะทำให้ความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กลดลง

10. อย่าคิดว่าอาหารมื้อค่ำเพียงมื้อเดียวจะเพียงพอสำหรับการถือศีลอดตลอดทั้งวัน จงตื่นขึ้นมาเพื่อรับประทานอาหารสะฮูร โดยการรับประทานอาหารที่ไม่ต้องมาก ช่วงระหว่างการอดอาหารในเวลาหลายชั่วโมงระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตจะลดลง การหลั่งกรดในท้องที่ว่างเปล่าก็จะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ยืดออกไปของการอดอาหารในแต่ละวัน อัตราการเผาผลาญลดลง ทำให้ขาดพลังงานจนเกิดอาการปวดหัว ดังนั้นการรับประทานอาหารช่วงสะฮูรจะต้องไม่ถูกมองข้ามไป เพื่อจะได้ไม่เกิดความหิวในช่วงกลางคืนและกลางวัน

11. การรับประทานอาหารสะฮูรในปริมาณมากและหลายอย่างนับว่าเป็นเรื่องวิกฤตอย่างยิ่ง เพราะอัตราการเผาผลาญอาหารในช่วงสะฮูรนั้นจะช้าลง อาหารหนักซึ่งบริโภคในช่วงเวลานั้นส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน นอกจากนั้นแล้วใครก็ตามที่รับประทานอาหารหนักๆหลังจากนั้นแล้วเข้านอน สุดท้ายแล้วเขาอาจเกิดอาการปวดท้องรุนแรงได้ ดังนั้นควรรับประทานอาหารเบาๆอาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันและมีน้ำตาลเชิงซ้อน (Complex Sugar) ซึ่งพบในพืชประเภทข้าว ถั่ว ผัก ที่จะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว

มื้อเบาๆที่ประกอบไปด้วยนม ชีส มะกอก ขนมปังธัญพืช ซุป มะเขือเทศ แตงกวา พริก แยมหรืออาหารที่มีนม เกล็ดข้าวโอ๊ต ผลไม้ (อาหารที่หาได้ง่ายในพื้นที่…ผู้แปล) นั้นถือว่ามีความเหมาะสมมากที่สุด การดื่มน้ำประมาณ 2-2.5 ลิตร เนื่องจากไม่สามารถดื่มน้ำได้ตลอดทั้งวัน ดังนั้นต้องบริโภคน้ำให้มากๆในช่วงรับประทานสะฮูร

……………………………………………………..
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก http://www.myreligionislam.com/