Halal Tech News: Manasikana แอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ประกอบพิธิฮัจญ์และอุมเราะห์

ข่าว 3 มิติ ซึ่งเป็นสื่อกระแสหลักในไทย ได้รายงานข่าวและเกาะติดสถานการณ์ประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนี้ โดยมีพิธีกรอย่างคุณไอลดา สุโง๊ะ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้รายงานข่าว โดยพิธีฮัจญ์ปีนี้มีผู้แสวงบุญจากทั่วโลกประมาณ 2 ล้านกว่าคน จากรายงานข่าว 3 มิติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้นำเสนอเรื่องราวการใช้แอปพลิเคชันตัวหนึ่งที่ชื่อว่า MANASIKANA เพื่อเป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญในการประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ มาทำความรู้จักกับแอปพลิเคชันนี้กันครับ…

Manasikana คืออะไร?

Manasikana เป็นแอปพลิเคชันที่ทางกระทรวงฮัจญ์และอุมเราะห์ของประเทศซาอุดิอารเบียได้พัฒนาขึ้น เพื่อเป็น platform อำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญในพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ โดยคุณสมบัติพิเศษของแอปพลิเคชัน manasikana มีด้วยกัน 10 ข้อดังนี้

1. ค้นหาเส้นทางและสถานที่: ค้นหาเพื่อนๆที่ร่วมแสวงบุญและค้นหาเส้นทางเพื่อไปยังพวกเขา
2. บริการแจ้งเตือนเมื่อคุณอยู่นอกขอบเขต: ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณยังอยู่ในขอบเขตของมีนา อารอฟะห์ มุซดาลีฟะห์ หรือ ฮะรอม
3. บริการแผนที่ออฟไลน์: ค้นหาสถานที่สาธารณะที่น่าสนใจ เช่น มัสยิดที่ใกล้ที่สุดร้านอาหาร ห้องน้ำ ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ
4. บริการฉุกเฉิน: โทรบริการฉุกเฉินโดยเพียงแค่สัมผัสปุ่มสีแดงที่มองเห็นได้เสมอบนหน้าจอ
5. การแลกเปลี่ยนเงินตราและการแปลงสกุลเงิน: ค้นหาเส้นทางไปยังศูนย์แลกเปลี่ยนเงินตราที่ใกล้ที่สุด และรับอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นปัจจุบัน
6. บทดุอาอฺและทิศกิบลัต : เวลาละหมาดและทิศกิบลัตตามตำแหน่งของคุณ
7. การอัปเดตสภาพอากาศ: รับการแจ้งเตือนสภาพอากาศในมักกะฮ์ มาดีนะห์ และเจดดะห์
8. บริการข่าวสาร: รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับฮัจย์และอุมเราะห์จากทางกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
9. ทวีตเตอร์ฮัจย์และอุมเราะห์: เพื่อรับทวีตล่าสุดจากกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
10. บริการแปลและข้อความเป็นคำพูด: แปลคำหรือวลีใด ๆ จากภาษาต่างๆเป็นภาษาอาหรับ (ต้องใช้อินเทอร์เน็ต)

แอปพลิเคชันนี้รองรับการใช้งาน 9 ภาษา ได้แก่ ภาษาอาหรับ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อูรดู ตุรกี มาเลย์ อินโดนีเซีย และเบ็งกอล แต่ยังไม่มีภาษาไทย โดยรองรับผู้ใช้ทั้ง iOS และ Android ซึ่งสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแอปพลิเคชันได้ที่ https://manasikana.haj.gov.sa/

……………………………………………………………………………………………………………
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=-zg9V33LCVM

http://www.arabnews.com/node/1346671/saudi-arabia

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.hajj.manasikana

มังสวิรัติแบบฮาลาล

ส่วนนี้ของบทความจะแสดงให้เห็นว่าการรับประทานมังสวิรัติและจริยศาสตร์ในการรับประทานตามหลักศาสนาอิสลามนั้นมีความสอดคล้องกันอย่างไร และพฤติกรรมการรับประทานแบบมังสวิรัติจะสามารถช่วยสัตว์ ช่วยโลก และช่วยสุขภาพของคุณอย่างไร

:: ส่วนประกอบจากสุกรอยู่ในผลิตภัณฑ์น้ำนมของคุณหรือไม่? ::
คุณรับประทานเนื้อ “ฮาลาล” หรือไม่ ? คุณรู้ไหมว่าแกะของคุณอาจกินไก่เป็นอาหาร ? หรือโคนมของคุณอาจมีกระดูกสุกรเป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหารของมัน ? บทความนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ขยายไปไกลกว่าเนื้อสัตว์ในอเมริกามาก แม้แต่สัตว์ในโลกอิสลามก็อาจได้รับอาหารที่มีส่วนประกอบที่ไม่ฮาลาลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

:: เมตตาธรรมในอิสลาม ::
อัลกุรอานได้กล่าวชัดเจนถึงชีวิตที่พิเศษของสัตว์

“เจ้าไม่รู้หรือว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺนั้นทรงได้รับการสรรเสริญสดุดีจากผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และมวลสกุณาที่ร่อนอยู่กลางอากาศ ทุก ๆ สิ่งนั้นต่างก็รู้การนมัสการแด่พระองค์และกล่าวสรรเสริญสดุดีแด่พระองค์ของตนเอง และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเขากระทำ” (อัน นูร 24:41)

“และไม่ว่าจะเป็นสัตว์ในแผ่นดิน และไม่ว่าจะเป็นนกที่บินได้ด้วยปีกทั้งสองข้างของมันก็ตาม นอกจากว่า (พวกมันเหล่านั้นก็) เป็นบรรดาประชาชาติที่เหมือนกับพวกเจ้าทั้งหลายนั่นเอง เรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์ หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกรวบรวมไปยังองค์อภิบาลของพวกเขา (เพื่อรอรับการพิพากษา)” (อัล อันอาม 6:38)

อัลกุรอานกล่าวว่าสัตว์เป็นดั่งเผ่าพันธุ์และประชาชาติในลักษณะของพวกเขาเอง และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคุณค่ามากกว่าการนำมาใช้เป็นทรัพยากรสำหรับการบริโภคเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สัตว์เหล่านี้ปัจจุบันได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากเครื่องจักรที่ไม่มีชีวิต อย่าง “ฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหาร” (factory farming) ไม่ใช่แค่ฟาร์มโรงงานที่พบในตะวันตกเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นกระบวนการสำคัญในการผลิตเนื้อสัตว์ ไข่ และนมทั่วโลก ในแต่ละปีมีการฆ่าสัตว์เพื่อใช้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหารมากกว่า 20 พันล้านตัวทั่วโลก สัตว์หลายพันล้านตัวถูกคุมขังในพื้นที่จำกัดขนาดเล็กเพื่อให้ผู้ผลิตสามารถเลี้ยงสัตว์ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไข่ 90% ของสหรัฐอเมริกามาจากไก่ที่ถูกยัดในกรงที่ขนาดเท่าหน้าปกแผ่นเสียงด้วยกัน 5 ตัว และกระบวนการผลิตไข่แบบนี้ได้แพร่หลายไปทั่วโลก

ไก่จะถูกตัดจะงอยปากของมันด้วยเหล็กร้อน ปศุสัตว์ทั้งหลายจะถูกสูญเขา ถูกตอน และถูกประทับตราหรือเลขกำกับไว้ ส่วนหางของมันก็จะถูกตัดโดยปราศจากการใช้ยาชา โคนมจะถูกจำกัดอยู่ในคอกเล็ก ๆ และถูกกักไว้ตลอดด้วยการผสมเทียม สัตว์ทุกตัวที่อยู่ในฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน

ความแออัดยัดเยียดของฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารนี้เองทำให้สัตว์หลายชนิดเกิดภาวะจิตป่วยและก่อความเสียหายให้กับตัวเองเนื่องจากความเบื่อหน่ายหรือความเครียด เพื่อต่อสู้กับโรคภัยที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมที่แออัดเหล่านี้ เกษตรกรประจำโรงงานมักฉีดพ่นสัตว์ด้วยสารกำจัดศัตรูพืชและฉีดยาปฏิชีวนะ เพื่อให้ปศุสัตว์ที่เลี้ยงนั้นอ้วนอย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนที่ราคาไม่แพง สัตว์เหล่านั้นจะได้รับการฉีดฮอร์โมนการเจริญเติบโต ซึ่งฮอร์โมนและสารเคมีที่ตกค้างเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคที่รับประทานเนื้อของมัน
การปฏิบัติต่อสัตว์เยี่ยงนี้นั้นละเมิดคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งท่านได้สั่งห้ามมิให้สร้างความเจ็บปวดทรมานต่อสัตว์ก่อนที่จะถูกเชือด นอกจากนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ยังห้ามมิให้ตัดหางและตัดชิ้นส่วนอื่น ๆ ของสัตว์ให้พิกลพิการ รวมถึงการประทับตราสินค้าบนใบหน้า (ซึ่งยังคงปฏิบัติโดยเจ้าของฟาร์มหลายแห่ง)

ในระหว่างกระบวนการลำเลียงและขนส่งสัตว์ สัตว์ที่ถูกนำไปผลิตเป็นอาหารโดยทั่วไปมักไม่ได้รับอาหารและน้ำ สภาพแวดล้อมในระหว่างการลำเลียงก็จะแออัดยัดเยียด สัตว์ที่อยู่ในยานพาหนะจะไม่ได้รับการปกป้องจากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อาจสร้างความอันตราย และสัตว์ที่อ่อนแรงก็จะถูกละเลยไม่ได้รับการดูแลรักษาเป็นเวลาหลายวันจนกระทั่งต้องรอจนถึงวันเชือด ไก่หลายตัวต้องปีกหักในระหว่างการขนส่ง สัตว์หลายตัวต้องขาดอากาศหายใจในพาหนะขนส่ง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่าอย่าให้สัตว์ต้องรอการเชือด และท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เคยทำโทษชายที่ปฏิเสธที่จะให้น้ำแก่แกะก่อนที่มันจะถูกนำไปเชือด

บ่อยครั้งที่เกิดการทารุณกรรมที่โหดร้ายต่อสัตว์ในระหว่างการเชือด หนึ่งในเรื่องราวระหว่างตรวจสอบสัตว์ที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการเชือดแบบซะบีฮะฮฺ (ตามหลักการศาสนา) พบว่า บางแห่งก็มีวัวที่ถูกตัดชิ้นส่วนแขนขาออกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้กระทั่งชาวมุสลิมที่พยายามหาเนื้อสัตว์ฮาลาลมาบริโภคก็อาจซื้อเนื้อฮาลาลที่เหมือนกับจะผ่านกรรมวิธีการเชือดตามหลักการศาสนา แต่ด้วยกระบวนการที่โหดร้ายไม่ถูกหลักจริยศาสตร์อิสลามเช่นนี้ อาจทำให้พวกเขาไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์ฮาลาลจริงที่ถูกต้องตามหลักการก็เป็นได้ จากการตรวจสอบเนื้อสัตว์ฮาลาลที่ส่งออกจากประเทศอินเดียพบว่า ในระหว่างกระบวนการนั้น สัตว์กลับถูกถลกหนังและถูกเชือดในขณะที่สัตว์เหล่านั้นอยู่ในสภาพกระวนกระวายและพยายามหลบหนี หรือบางทีก็พบว่าสัตว์เหล่านั้นถูกเชือดในขณะที่ได้รับสัญญาณที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนถึงกระบวนการที่จะคร่าชีวิตของพวกเขา (เช่น การลับมีดให้เห็นต่อหน้าสัตว์ที่จะเชือด) แม้จะมีคำตัดสินทางศาสนาถึงกระบวนการเชือดว่า สัตว์จะต้องอยู่ในสภาพที่สิ้นชีวิตอย่างชัดเจนก่อนจะเริ่มทำการถลุงหนังหรือตัดชิ้นส่วนของสัตว์ และหลักการที่ว่าห้ามลับมีดให้เห็นต่อหน้าสัตว์ที่จะเชือด

เนื้อที่ได้จากฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเหล่านี้อาจไม่ฮาลาล (อนุญาต) เพราะปศุสัตว์ทั้งหลายที่เลี้ยงในฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเหล่านี้ เช่น วัว แกะ ไก่ และสัตว์อื่น ๆ อาจได้รับอาหารจากชิ้นส่วนหรือกระดูกบดจากสุกร ไก่ และวัว รวมทั้งมูลไก่ และของเสียอื่น ๆ ที่น่ารังเกียจมาใช้เป็นส่วนประกอบที่อยู่ในอาหารสัตว์ ซึ่งนักวิชาการมุสลิมบางท่านเชื่อว่าการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ผ่านการเลี้ยงดูด้วยอาหารชนิดนี้นั้นหะรอม (ต้องห้าม) ด้วยเหตุผลสองประการ:

1. สัตว์เหล่านี้ได้บริโภคชิ้นส่วนจากสุกร
2. สัตว์เหล่านี้อาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นสัตว์กินเนื้อ (และชิ้นส่วนจากสัตว์) ซึ่งสัตว์กินเนื้อโดยทั่วไปนั้นถือว่าต้องห้ามสำหรับการบริโภคในศาสนาอิสลาม

:: สิ่งแวดล้อม ::
ชาวมุสลิมนั้นได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบและดูแลสิ่งแวดล้อม อัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า

“แท้จริงเราได้เสนอ[คุณลักษณะแห่ง]ความซื่อสัตย์ (อะมานะฮฺ) ให้แก่ฟากฟ้า แก่แผ่นดิน และแก่ภูเขา [ให้รับผิดชอบ] แต่พวกมันปฏิเสธที่จะรับผิดชอบสิ่งนั้น และพวกมันมีความหวาดกลัว[ภาระอันหนักอึ้ง]ต่อสิ่งนั้น แต่มนุษย์กลับรับมันไว้” (อัล อะหฺซาบ 33:72)

ซึ่งการบริโภคผลิตภัณฑ์จากฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารโดยตรงจะนำไปสู่การทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ทำให้ดินเสื่อมโทรม การใช้ทรัพยากรน้ำปริมาณมหาศาล สร้างมลพิษทั้งในดินและในน้ำจากน้ำทิ้งที่เป็นสิ่งปฏิกูล ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของการทำฟาร์มสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มเติมได้

:: สุขภาพ ::
ชาวมุสลิมนั้นได้รับการส่งเสริมให้รับประทานอาหารที่ดี บริสุทธิ์ และมีประโยชน์ แต่ตอนนี้เราทราบแล้วว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์นั้นสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย ผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจถึง 10 เท่า เสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และเสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน ไส้ติ่งอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน และโรคอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ ในผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์พบสารกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีชนิดอื่น ๆ ที่ตกค้างมากถึง 14 เท่า หากเทียบกับที่พบในอาหารที่ได้จากพืช ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพจากการรับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์เพิ่มเติมได้


:: อิสลามไม่ได้กำหนดการรับประทานเนื้อสัตว์เป็นข้อบังคับ ::
“จงกล่าวเถิด[มุฮัมมัด]ว่า ฉันไม่พบเลยในบทบัญญัติที่ฉันได้รับการดล[จากอัลลอฮฺ]ว่ามีสิ่งที่ถูกห้ามแก่ผู้ต้องการบริโภคจะพึงบริโภคสิ่งนั้น นอกจากที่ห้ามบริโภค” (อัล อันอาม 6:145)

อัลกุรอานกล่าวว่า เฉพาะเนื้อสัตว์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถบริโภคได้หากท่านประสงค์ที่จะบริโภคมัน ในคำสอนอิสลามไม่ได้กำหนดการรับประทานเนื้อสัตว์ว่าเป็นข้อบังคับสำหรับชาวมุสลิม ซึ่งการบริโภคเนื้อสัตว์ประเภทนี้นั้นไม่ได้รับการส่งเสริมหรือได้รับการแนะนำเป็นพิเศษ

ขณะที่การเลี้ยงสัตว์ตามระบบอุตสาหกรรมอาหารสมัยใหม่ไม่สอดคล้องกับคำสอนในเรื่องเมตตาธรรมของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม และไม่สอดคล้องกับสถานะของสัตว์ที่ได้รับการอธิบายไว้ในอัลกุรอาน การปรับใช้พฤติกรรมการบริโภคแบบมังสวิรัติ (อาหารปลอดจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม และไข่) บ้างตามโอกาสเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับชาวมุสลิมในการดำรงชีพตามหลักจริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของศาสนาอิสลาม

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: animalsinislam.com

อาหารเกษตรอินทรีย์ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่?

อาหารเกษตรอินทรีย์ (Organic Food)

การทำเกษตรอินทรีย์และผลผลิตที่ปลูกในท้องถิ่น แทนที่จะใช้สารกำจัดศัตรูพืชหรือปุ๋ยสังเคราะห์ เกษตรกรอินทรีย์ต้องพึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพในการทำเกษตรกรรมเพื่อลดที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรูพืช เกษตรกรอินทรีย์ยังตั้งใจรักษาและเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ของดิน

ในการอภิปรายอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเกษตรอินทรีย์ วิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน (London School of Hygiene and Tropical Medicine) ได้ยื่นคำค้านพร้อมอธิบายว่า อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้มีประโยชน์ทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารปกติธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของการศึกษานี้ก่อให้เกิดคำถามมากมาย และลักษณะของสื่อที่รายงานประเด็นนี้กลับขาดความถูกต้อง


มาลองศึกษาร่วมกัน
จากการศึกษานี้ มีการอ้างว่าอาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้มีประโยชน์ทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารที่ไม่ได้เป็นเกษตรอินทรีย์ นักวิจัยได้ค้นหาเอกสารกว่า 50,000 ฉบับ และได้ค้นพบบทความทั้งหมดกว่า 162 เรื่องที่เกี่ยวข้อง (บทความที่เผยแพร่ในช่วงระยะเวลา 50 ปี ก่อนปีค.ศ. 2008)

นอกจากนี้ พบว่ามีเพียง 55 ฉบับเท่านั้นที่มีคุณภาพที่น่าพอใจและสามารถใช้เปรียบเทียบปริมาณสารอาหารของอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และอาหารที่ผลิตแบบปกติธรรมดาทั่วไป (London School of Hygiene and Tropical Medicine)

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ได้ตัดเอกสารและงานวิจัยจำนวนมากออก แม้องค์กรอื่น ๆ อาจมองว่าเอกสารเหล่านั้นถูกต้องใช้ได้ก็ตาม ยิ่งกว่านี้ การศึกนี้ยังตัดเอกสารงานวิจัยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณค่าสารอาหารของอาหารเกษตรอินทรีย์โดยตรงอีกด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในการคัดสรรเอกสารเพียง 55 ฉบับจากกว่า 50,000 ฉบับ เป็นที่ประจักษ์เมื่อพิจารณาว่านักวิจัยคนอื่น ๆ ได้ใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการสนับสนุนข้ออ้างว่าอาหารเกษตรอินทรีย์นั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า

ในตอนท้ายรายงานฉบับนี้ระบุว่า “การศึกษาตรวจสอบของเราชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานใด ๆ มาสนับสนุนการคัดสรรอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์จะมีคุณค่าทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารที่ผลิตแบบปกติทั่วไป” และ “แม้ว่าความต้องการของผู้บริโภคต่ออาหารเกษตรอินทรีย์จะมีเพิ่มขึ้น ถึงกระนั้น ข้อมูลจากการทบทวนคุณภาพทางโภชนาการอย่างเป็นระบบต่ออาหารเกษตรอินทรีย์ก็ยังมีไม่เพียงพอ” (American Journal of Clinical Nutrition)

อย่างไรก็ตาม การรายงานข่าวในหัวข้อนี้ได้แปลผลลัพธ์ทางโภชนาการไม่ถูกต้องด้วยการตั้งข้อสรุปเพียงว่า “อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการหรือมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากไปกว่าอาหารปกติธรรมดา” และ “ผลลัพธ์จากการศึกษาพบว่า ความแตกต่างทางด้านโภชนาการระหว่างอาหารที่ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และที่ผลิตแบบปกติทั่วไปมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพจากการรับประทานอาหารเกษตรอินทรีย์” (Reuters, The Daily Mail)

น่าเสียดายที่ผู้สื่อข่าวหลายท่านไม่ชำนาญในการรายงานข้อมูลเวชศาสตร์ทางการแพทย์หรือข้อมูลเชิงสุขภาพ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า “ปริมาณสารอาหารทางโภชนาการ” กับ “ประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ” แต่กลับแปลสรุปประหนึ่งว่าทั้งสองคำนี้นั้นมีความหมายเดียวกัน

ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการรายงานที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ถึงความแตกต่างในระดับพื้นฐานที่สุดและสามารถมองได้อย่างสมเหตุสมผลที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณออกกำลังกายเป็นประจำนั้น การออกกำลังกายจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพของคุณ ขณะเดียวกันการออกกำลังกายก็ไม่มีปริมาณสารอาหารทางโภชนาการใด ๆ เลย

อาหารเกษตรอินทรีย์มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าจริงหรือ?
แม้ว่าข้อเท็จจริงจากการรายงานข่าวนั้นอาจไม่ถูกต้องและแทบจะคลาดเคลื่อนอย่างมากหากมองไปยังผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษา ในอุตสาหกรรมอาหารเกษตรอินทรีย์นั้นไม่เคยอ้างว่าผู้บริโภคควรซื้ออาหารเกษตรอินทรีย์ด้วยเหตุผลทางคุณค่าโภชนาการเพียงอย่างเดียว

ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นอกเหนือจากรายการปริมาณสารอาหารที่กล่าวไว้ในการศึกษา การศึกษาเองก็ระบุชัดเจนว่า “การศึกษาวิเคราะห์นี้จำกัดเพียงกรอบการรายงานที่พบได้ทั่วไปที่สุดของปริมาณสารอาหาร” (American Journal of Clinical Nutrition)

ขณะที่สารพฤกษเคมี (Phytochemicals) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา และส่วนผสมเหล่านี้นั้นกลับอยู่ในอาหารเกษตรอินทรีย์และไม่ได้อยู่ในรายการปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้แต่ละคนได้รับในแต่ละวัน (RDI) ซึ่งมันเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดประโยชน์ต่อสุขภาพที่มีของอาหาร

แม้ว่าสารพฤกษเคมี หรือ ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) จะไม่ได้อยู่ในรายการหลักของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้แต่ละคนได้รับในแต่ละวัน (RDI) แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสารอาหารเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญต่อร่างกายน้อยไปกว่าวิตามินซี วิตามินเอ หรือวิตามินอี สารพฤกษเคมีส่วนใหญ่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของระบบการป้องกันตัวเองของพืช นอกจากนี้ คุณสามารถพบสารเหล่านี้ในปริมาณที่สูงขึ้นในผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ เพราะพืชจะพึ่งพาการป้องกันตัวเองมากกว่าในกรณีที่ไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นปกติ

นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบระดับที่สูงขึ้นของไลโคปีน (lycopene) ในมะเขือเทศอินทรีย์ โพลีฟีนอล (polyphenols) ในมันฝรั่งอินทรีย์ ฟลาโวนอล (flavonols) ในแอปเปิ้ลอินทรีย์ และเรสเวอราทรอล (resveratrol) ในองุ่นอินทรีย์ การวิเคราะห์ทบทวนเรื่องนี้สามารถพิจารณาได้ว่าผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีไฟโตนิวเทรียนท์ (phytonutrients) สูงกว่าพืชแบบปกติทั่วไปถึง 10 – 50% (Heaton)

นอกจากนี้ ผลไม้และผักที่ปลูกแบบอินทรีย์จะมีระดับสารต้านอนุมูลอิสระในการต่อสู้กับมะเร็งสูงกว่าอาหารที่ปลูกแบบปกติทั่วไป การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า สารกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีกำจัดวัชพืชได้เข้าไปขัดขวางการผลิตสารฟีนอลิก (phenolics) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่ป้องกันตัวเองตามธรรมชาติของพืช และสารนี้ก็สามารถทำหน้าที่และมีบทบาทต่อมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน

ในทางกลับกัน ปุ๋ยไม่เพียงแต่ช่วยลดสารฟีนอลิกที่สามารถช่วยป้องกันตัวเองในพืชและในร่างกายเท่านั้น แต่มันยังเพิ่มระดับของสารก่อมะเร็งที่โจมตีร่างกายอีกด้วย

ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) เป็นสารประกอบฟีนอลิกในทางพฤกษศาสตร์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมนุษย์ สารฟลาโวนอยด์เหล่านี้รวมทั้งสารประกอบฟีนอลิกอื่น ๆ จะถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเครียดจากสิ่งแวดล้อม ความเครียดนี้อาจรวมถึงการโจมตีของแมลงหรือการโจมตีของพืชชนิดต่าง ๆ ยิ่งจากนี้ ฟลาโวนอยด์ยังช่วยปกป้องพืชจากรังสียูวี เชื้อรา และแบคทีเรียอีกด้วย

ดร. อลิสัน มิทเชล นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้อธิบายกระบวนการนี้ว่า “ขณะที่เพลี้ยอ่อนกำลังแทะใบ พืชจะผลิตสารฟีนอลิกเพื่อป้องกันตัวเอง สารฟีนอลิกนี้จะช่วยปกป้องพืชจากศัตรูพืชเหล่านี้” (Byrum)

พืชผักที่ถูกแมลงกัดแทะจะผลิตฟลาโวนอยด์ได้มากกว่าพืชผักที่ผ่านการฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพราะจากสภาพแวดล้อมที่ถูกกัดแทะของแมลง ตัวพืชจะถูกบังคับให้สร้างกลไก “การควบคุมสัตว์รบกวน” ภายใน แทนที่จะอาศัยความช่วยเหลือภายนอกอย่างการใช้สารเคมี (Denoon)

อาหารเกษตรอินทรีย์ไม่ได้เป็นเรื่องของคุณค่าทางสารอาหารเพียงเท่านั้น
ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการทำเกษตรกรรมอินทรีย์สนับสนุนหลักการตามมาตรฐานของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมซึ่งมีกฎไว้ว่า:
– ห้ามใช้พันธุวิศวกรรม รังสีไอออไนซ์ และกากตะกอนน้ำทิ้ง
– สัตว์ที่เลี้ยงแบบเกษตรอินทรีย์จะต้องไม่ฉีดฮอร์โมนส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือรับยาปฏิชีวนะ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
– สัตว์ที่เลี้ยงแบบเกษตรอินทรีย์ทุกตัวจะต้องออกไปบริเวณพื้นที่กลางแจ้งได้ รวมทั้งการเข้าถึงทุ่งหญ้าสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง สัตว์เลี้ยงเหล่านี้อาจถูกจำกัดพื้นที่ชั่วคราวด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ด้านความปลอดภัย หรืออยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิตสัตว์ หรือเพื่อปกป้องคุณภาพดินหรือน้ำ
– ห้ามไม่ให้ผู้ผลิตระงับการรักษาสัตว์ที่ป่วยหรือสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม สัตว์ที่ได้รับยาต้องห้ามจะต้องไม่นำไปจำหน่าย (EPA)

*** อาหารเกษตรอินทรีย์เป็นอาหารที่ผลิตโดยวิธีการที่สอดคล้องกับมาตรฐานของการทำเกษตรกรรมอินทรีย์ มาตรฐานนั้นอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ ถึงกระนั้น การทำเกษตรอินทรีย์ในลักษณะทั่วไปจะให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน ส่งเสริมความสมดุลทางนิเวศวิทยา และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

มาตรฐานเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารของพวกเขาไม่มีสารเคมีตกค้างที่อาจนำไปสู่มะเร็ง หรือไม่มีฮอร์โมนตกค้างซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น การเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควรของผู้บริโภค หรือยาปฏิชีวนะตกค้างที่อาจทำให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะ เนื่องจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินไปในสัตว์ (National Cancer Institute, Sierra Club, Sellman)

มาตรฐานเหล่านี้ยังเน้นย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ว่า คุณสมบัติของการทำเกษตรอินทรีย์แทบจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางโภชนาการ ในความเป็นจริง เกษตรกรอินทรีย์ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลด้านโภชนาการในผลิตภัณฑ์ของตนเพื่อให้ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เกษตรกรอินทรีย์เพียงแต่ต้องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ของตนไม่มีสารกำจัดศัตรูพืชที่เป็นอันตรายและมีกระบวนการเลี้ยงดูสัตว์ของตนอย่างดี นอกจากนี้ พวกเขายังต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่นำสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือป่วยมาจำหน่าย รวมถึงข้อกำหนดอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน

ชาวมุสลิมควรเข้าใจว่ามาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้เรามั่นใจดังที่ท่านศาสนทูตของเรา (ขอความสันติจงประสบแด่ท่าน) มักพูดถึงการดูแลร่างกายตัวเอง การมีเมตตาต่อสัตว์ และอนุรักษ์โลกใบนี้ นอกจากนี้ ท่านนบียังให้คำแนะนำในเรื่องของชีวิตดังหะดีษที่กล่าวว่า “ไม่มีความเสียหายใด ๆ (คือไม่อนุญาตให้ก่อความเสียหายใด ๆ) แก่ผู้อื่น และจะไม่มีความเสียหายซึ่งกันและกัน” (Al-Hakim)

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
โดย ดร. คาริมา เบิร์นส์

เทรนด์การท่องเที่ยวฮาลาลยอดนิยมในปี2019

การท่องเที่ยวฮาลาลเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก นักท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลกต่างกระหายในประสบการณ์การเดินทางและนี่คือแรงผลักดันของปรากฎการณ์การเติบโตของภาคส่วนนี้ ตามรายงานของ State of the Islamic Economy Report 2018/2019 มุสลิมที่ใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวจะเติบโตเป็น 274 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เพิ่มขึ้นจาก 177 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2017 ดังนั้นอนาคตจึงสดใสสำหรับแบรนด์และธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของตลาดนี้ ในปี 2019 จำนวนนักท่องเที่ยวมุสลิมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้มีความต้องการสินค้าและบริการใหม่ ๆ นี่คือบางส่วนของเทรนด์ชั้นนำที่จะครองตลาดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฮาลาลในปี 2019 และปีหลังจากนั้น

#เทรนด์สตรีมุสลิมคนเดียวก็เที่ยวได้
นักท่องเที่ยวหญิงเดี่ยวเป็นเทรนด์กระแสหลักที่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนักท่องเที่ยวหญิงเดี่ยวมุสลิมเพิ่มขึ้นอย่างมาก สตรีมุสลิมกำลังเสาะแสวงหาการเดินทางที่อิสระเสรีด้วยเหตุผลหลายประการ พวกเขามีการศึกษาที่ดี มีรายได้ให้จับจ่าย และมักจะแต่งงานช้า ทำให้พวกเขามีเวลาในการออกเดินทางผจญภัยที่น่าสนุกสนานทั่วโลก สตรีมุสลิมรุ่นมิลเลนเนียล (Gen-Me) เหล่านี้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ทั้งในฐานะมุสลิมและในฐานะผู้หญิงที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร ดังนั้นการเดินทางคนเดียวไม่ได้ทำให้พวกเขากลัวเช่นเดียวกับคนในรุ่นก่อน ๆ

ปัจจัยดังกล่าวนี้นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มเพิ่มมากขึ้น ด้วยกับกลุ่มแพ็คเกจสำหรับสตรีมุสลิมได้เกิดขึ้นมาใหม่ บางครั้งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกผลิตและเปิดให้บริการโดยสตรีมุสลิมที่มีความมั่นใจและต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นในแพ็คเกจดังกล่าว และด้วยกับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยและการจัดการท่องเที่ยวผจญภัยแบบคนเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้ ในปี 2019 เราได้เห็นสตรีมุสลิมจำนวนมากได้ก้าวออกมาเดินทางไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแบบกลุ่มหรือแบบเดี่ยว นอกจากนี้เทคโนโลยีกระแสหลักยังช่วยให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยบนท้องถนน พวกเขายังมีช่องทางเลือกใช้โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อติดต่อกับครอบครัว ตลอดจนบริการ app sharing services ที่สามารถให้บริการการจองพาหนะในการเดินทางและที่พักที่สะดวก ปลอดภัย และสามารถติดตามได้

#สู่ยุคดิจิทัล
เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากในการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในส่วนที่สำคัญที่สุดของการเดินทางของมุสลิม นั่นคือการแสวงบุญที่นครมักกะห์ หรือการทำฮัจย์ เพิ่งมีการประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าตัวแทนให้บริการการท่องเที่ยวออนไลน์ Agoda ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกระทรวงกิจการฮัจย์เพื่อให้บริการดิจิทัลโซลูชั่นและทางเลือกที่พักเพิ่มเติมสำหรับมุสลิมที่เดินทางไปยังซาอุดิอาระเบียเพื่อแสวงบุญ นี่คือการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นจากผู้ให้บริการหลัก Agoda ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนให้บริการการท่องเที่ยวออนไลน์ (OTAs) ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด นอกจากนี้ด้วยวีซ่าท่องเที่ยวใหม่ที่จะเปิดตัวในประเทศซาอุดิอาระเบีย ในไม่ช้านี้นักท่องเที่ยวมุสลิมจะสามารถเดินทางไปสำรวจประเทศอื่นๆ ได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

ด้วยความมุมานะแห่งโอกาสและในการเคลื่อนไหวที่หวังว่าจะส่งเสริมการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและการเปิดกว้างในตลาดฮัจย์ สายการบินราคาประหยัดของซาอุดิอาระเบีย Flynas ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับกระทรวงกิจการฮัจย์ของซาอุดิอาระเบียเพื่อจัดสรรงบประมาณแพ็คเกจฮัจย์ที่สามารถจองออนไลน์ได้ แพ็คเกจราคาถูกเหล่านี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวแสวงบุญทางศาสนาจำนวนมากจากทั่วโลก

ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพลังให้กับพื้นที่ดิจิทัลการท่องเที่ยวฮาลาลและยังมอบความยืดหยุ่นในการค้นหาและจับจองการบริการให้เหมาะสมกับตนเอง แทนที่จะซื้อแพ็คเกจที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เนื่องจากราคาเป็นสิ่งสำคัญแม้ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฮาลาลซึ่งจะนำเราไปสู่เทรนด์สำคัญในปี 2019 …

#การแข่งขันด้านราคา
ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อทริปท่องเที่ยวโดยทั่วไป แต่ยังไม่ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในตลาดการท่องเที่ยวฮาลาลที่ราคาและคุณภาพมักจะไม่สมเหตุสมผลกัน

มุสลิมรุ่นมิลเลนเนียล (Gen-Me) มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โดยมีข้อมูลและตัวเลือกมากมายให้เลือกใช้บริการออนไลน์ การแข่งขันด้านราคาจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจับจองทริปการเดินทางครั้งต่อไป ตามรายงานของ The Mastercard-Crescentrating Digital Muslim ประมาณการมูลค่าการซื้อทริปท่องเที่ยวออนไลน์จะเพิ่มขึ้นจาก 45 พันล้านดอลลาร์ในปี 2017 เป็น 180 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026

การเสนอแพ็คเกจที่มีคุณภาพ เช่น เที่ยวบิน ที่พัก และการบริการอาหารฮาลาลในราคาที่เหมาะสมซึ่งตรงตามความต้องการกับการให้บริการในกระแสหลักจะเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต

#นักท่องเที่ยวมุสลิมผลักดันความสนใจในการท่องเที่ยวฮาลาล
การพัฒนาที่น่าสนใจในสนามการท่องเที่ยวฮาลาลที่ MuslimTravelGirl.com ได้ระบุไว้คือนักท่องเที่ยวมุสลิมกำลังสำรวจความนิยมของจุดแวะชมหรือสถานที่ท่องเที่ยวในกระแส “Instagram-worthy” ซึ่งสถานที่นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นมิตรกับมุสลิม
ประเด็นนี้ได้สร้างปัจจัยที่แปลกใหม่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยมีผลให้ผู้ให้บริการตามสถานที่ท่องเที่ยวและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ความใส่ใจนักท่องเที่ยวมุสลิมอย่างจริงจังมากขึ้น และพิจารณาว่าจะตอบสนองความต้องการของพวกเขาให้ดีที่สุดได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวมุสลิมที่ไปยังเกาะกรีกจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการได้ไวน์แดงหนึ่งขวดเป็นของขวัญในการต้อนรับ สิ่งนี้ทำให้โรงแรมไม่เพียงแต่พิจารณาตัวเลือกของขวัญที่ไม่มีแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ยังเปิดให้มีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ฮาลาลและเป็นมิตรซึ่งอำนวยความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยวมุสลิมมากยิ่งขึ้น

นี่คือตัวอย่างที่ดีที่นักท่องเที่ยวมุสลิมสามารถมีส่วนในการขับเคลื่อนผลักดันอุปสงค์สำหรับการให้บริการที่ดีกว่า เพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขาในการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวกระแสหลักที่ได้รับความนิยม เมื่อเทคโนโลยี และโซเชียลมีเดียแอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ ปรากฏขึ้น นักท่องเที่ยวมุสลิมจะสามารถสื่อสารกับที่หมายปลายทางและผู้ให้บริการหลักได้ง่ายขึ้น และบทบาทสำคัญในการให้ความรู้แก่พวกเขาเกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยวฮาลาล

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก HALAL TOURISM โดย ELENA NIKOLOVA

เราะมะฎอน เดือนแห่งการฝึกฝนควบคุมตนเอง

เดือนเราะมะฎอนมิได้มีเป้าหมายเพียงแค่ควบคุมการบริโภคเท่านั้น แต่เป้าหมายของเดือนเราะมะฎอน คือการบรรลุถึง “ตักวา” หรือที่เรียกว่า (god consciousness) หมายถึง การสำนึกถึงการเฝ้ามองจากผู้ทรงสร้าง ซึ่งเป็นการเพียงพอแล้วที่เราจะกระทำในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงพอพระทัยอย่างกระตือรือร้นและนั่นคือสิ่งที่ดีงามและเราจะต้องละเว้นจากสิ่งที่ทำให้พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยและนั่นคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง …

ถ้าบางคนที่ออกจากเดือนเราะมะฏอนเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เขาเข้าเดือนนี้ ดังนั้นบางทีพวกเขาอาจพลาดเรื่องนี้ไป เราขอต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา ให้พระองค์ทรงชี้แนะแนวทางและแสดงให้พวกเขาเห็นถึงแนวทางอันบริสุทธิ์ที่สุดที่จะก่อเกิดขึ้นในชีวิตนี้ตลอดจนทำให้พวกเขารับผลตอบแทนในโลกหน้า

ฉันตั้งข้อสังเกตประการหนึ่งคือว่า ท่านอาจจะสรุปคร่าว ๆ กับเพื่อนที่เป็นมุสลิมเพียงไม่กี่คนที่ท่านรู้จัก แต่ท่านสามารถกล่าวด้วยความแน่ใจได้หรือไม่ว่ามีมุสลิมนับแสนหรือนับล้านคนไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากเดือนเราะมะฏอนไม่ว่าจะเป็นทางจิตวิญญาณ ร่างกาย สติปัญญาตลอดจนในทางสังคม? ในเรื่องนี้คือเราไม่มีข้อมูลที่แม่นยำพอที่จะสรุปออกมาได้

ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม อัลลอฮ ตะอาลา จะทรงชี้แนะและให้ความรู้กับผู้คน ซึ่งมันขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามหรือละเลยในเรื่องนี้

อันที่จริงแล้ว ฉันถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่ได้รับประโยชน์อย่างมากจากเดือนเราะมะฎอน ซึ่งมีการปรับปรุงอุปนิสัยที่ดีขึ้น ละทิ้งในสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษพร้อมทั้งถือศีลอดต่ออีก 6 วันในเดือนเชาวาล ดังที่ท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) กล่าวว่า “ใครก็ตามที่ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนจากนั้นตามด้วยอีก 6 วันในเดือนเชาวาลเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนเสมือนกับว่าเขาถือศีลอดตลอดทั้งปี (รายงานโดยอิหม่าม มุสลิม)”

ดังนั้น เรื่องนี้เราไม่สามารถกล่าวสรุปแบบคร่าว ๆ กับตัวอย่างหนึ่งที่ไม่อาจนำเอามาเป็นแบบอย่างได้ แต่เราจะต้องหาข้อมูลอย่างดีพอเพื่อหาข้อสรุปที่ดี่ที่สุดสำหรับเรื่องนี้

สำหรับคนอีกจำนวนมากทั่วโลก เราะมะฎอนจะยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งการยกระดับจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่แค่เรื่องอาหารเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น (กับมนุษย์ด้วยกัน) กับการมีสำนึกถึงการเผ้ามองจากผู้ทรงสร้าง (ตักวา)

เราะมะฎอนที่ผ่านมาตอนที่ฉันตัดสินใจที่จะใส่ผ้าคลุม (ฮิญาบ) หลังจากได้ศึกษาการอธิบายในอัลกุรอาน และฉันยังคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่แห่งการตัดสินใจนี้ในชีวิตของฉันจนถึงปัจจุบัน

มันเป็นเดือนเราะมะฎอนที่ฉันได้เฝ้าวิงวอนขอเพื่อที่จะนำพาสาส์แห่งอิสลามอย่างดีที่สุด โดยฉันขอให้เป็นผู้แสวงหาอย่างบริสุทธิ์ใจและฉันยังคงเก็บเกี่ยวภาคผลจากการวิงวอนของฉันจนถึงปัจจุบัน

เราะมะฏอน 2 ปีที่ผ่านมาเมื่อเพื่อนอันเป็นที่รักยิ่งของฉันคนหนึ่งเข้ารับอิสลามและผลลัพธ์ของการตัดสินใจครั้งนี้กับชีวิตของเธอมันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากมาก ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเธอมีความผ่อนคลาย และมีความสุขในการใช้ชีวิต

ดังนั้นเดือนเราะมะฎอนคือการเปลี่ยนแปลงชีวิต มันเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราได้รับจากผู้ทรงสร้างอย่างแท้จริงและนี่เป็นเรื่องราวที่ฉันกล่าวออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เมื่อชีวิตดำเนินตามไปคำบัญชาของผู้ทรงสร้าง มันจึงเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อนในชีวิต

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net โดย Dina Mohamed Basiony

ผู้ชายกับเครื่องสำอาง

อะไรคือกฏเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางของผู้ชาย เช่น การทาครีมเพื่อให้ผิวสวย (ทำให้ผิวขาวขึ้น) เรื่องนี้อนุมัติให้ทำได้หรือไม่ เพราะการใช้เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายเป็นที่แพร่หลายกันมากในภูมิภาคของเรา

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ กฏเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอาง เช่น ครีมต่าง ๆ หรือเครื่องสำอางหลาย ๆ รูปแบบสามารถอธิบายได้ดังนี้

ประการแรก ในกรณีที่ใช้โดยมีจุดประสงค์เพื่อความงามหรือเป็นการตบแต่งนั้นไม่เหมาะสมสำหรับผู้ชายที่จะทำเช่นนั้น เพราะการเสริมสวยเป็นเรื่องของผู้หญิงต่างหาก สิ่งที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายคือเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความเป็นชาย เช่น การมีผิวที่กระด้าง การมีลักษณะของความเป็นหญิงเป็นสิ่งไม่เหมาะสมสำหรับเขา

ประการที่สอง สิ่งใดก็ตามที่เป็นการประดับประดาหรือเสริมสวยสำหรับผู้หญิงเป็นการเฉพาะ เช่น ลิปสติก ยาทาเล็บ ไม่อนุญาตที่จะให้ผู้ชายนำมาใช้กับตัวเอง เพราะการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการลอกเลียนแบบผู้หญิง ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นบาปใหญ่

ประการที่สาม หากมีการใช้บางอย่างที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสิผิว จากดำให้ขาวขึ้นเป็นต้น หากเป็นการเปลี่ยนเพียงชั่วคราวก็ถือว่าไม่ผิดแต่ประการใด แต่หากเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถาวร การกระทำนี้ไม่เป็นที่อนุญาต เพราะมันจะอยู่ภายใต้หัวข้อการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ

จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าการใช้เครื่องสำอางนั้นไม่เหมาะสมสำหรับผู้ชายตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น

ประการที่สี่ ไม่เป็นความผิดแต่ประการใดในการที่จะใช้เครื่องสำอางเพื่อกำจัดตำหนิ เช่น การใช้ครีมเพื่อลบจุดออกจากใบหน้าเนื่องจากสิ่งนี้อยู่ภายใต้หัวข้อของการรักษาพยาบาล

มีผู้ถามชัยค์ อัลอุษัยมีน (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) ว่า อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับการใช้ครีมเพื่อให้ผิวขาวหรือครีมกำจัดสิวหรือริ้วรอยต่าง ๆ
ท่านตอบว่า ในส่วนของคำถามแรกนั้นถือว่าไม่อนุญาต ท่านไม่ควรใช้สิ่งใด ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสีผิว เพราะถือว่าเสียหายกว่าการสักผิวซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นถูกสาปแช่ง

ในส่วนของการกำจัดสิวนั้น ไม่มีความผิดแต่ประการใดเพราะเป็นการรักษาโรค และไม่ผิดแต่ประการใดในการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างอยู่ระหว่างความตั้งใจที่จะเสริมสวยกับความมุ่งมั่นที่จะกำจัดรอยตำหนิ ส่วนแรกนั้นไม่อนุญาต หากกระทำไปเป็นการถาวร แต่ส่วนที่สองนั้นเป็นที่อนุมัติ (จากฟัตวา นูร อะลา อัดดัรบ์ 22/2)

อีกทั้งต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางที่ทำจากสารไม่บริสุทธิ์ (นญิส) หรือสารเคมีที่เป็นอันตรายซึ่งไม่อนุญาต (หะรอม) ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

.………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.Info

Halal Tech News : Selamat Hari Raya Aidilfitri HJ.1440

เทศกาลฮารีรายอถือเป็นวันเฉลิมฉลองของบรรดาพี่น้องมุสลิมกว่า 1,800 ล้านคนทั่วโลก ผ่านการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเดือนแห่งการถือศีลอดทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณของผู้ศรัทธา

เมื่อเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 สิ่งที่มีมาพร้อมกันคือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ที่จะมาสนับสนุนการดำเนินชีวิตในเดือนรอมฎอนเดือนแห่งการถือศีลอดนี้ อย่างเช่น Smartphone ที่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญของการดำเนินชีวิต (Halallifestyle) ของการถือศีลอด ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาตารางเวลาละหมาด ทิศกิบลัตเพื่อการละหมาด การอ่านอัลกุรอานและความหมายรวมทั้งเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแอปพลิเคชันหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเดือนรอมฎอนคงหนีไม่พ้นแอปพลิเคชัน MuslimPro ที่มียอดการดาวน์โหลดสูงถึง 70 ล้านครั้งกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ทั้งใน Apple App Store และ Google Play Store ในช่วงเริ่มต้นของเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา

Muslim Pro app ถูกพัฒนาขึ้นโดย Erwan Mace ซีอีโอบริษัท Bitsmedia ซึ่งเป็น Startup ที่พัฒนา mobile application ที่มีฐานอยู่ในประเทศสิงคโปร์ Muslim Pro ถือได้ว่าเป็นโปรแกรมอะซานและแจ้งเวลาละหมาดที่แม่นยำตามแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีพระคัมภีร์อัลกุรอานฉบับสมบูรณ์ในภาษาอาหรับ มีเสียงอ่านของอิหม่ามหลายท่าน มีคำแปลหลายภาษาและบทดุอาอฺต่างๆ ตลอดจนเครื่องมือระบุทิศกิบลัต ปฏิทินฮิจเราะห์ในอิสลาม แผนที่ร้านอาหารฮาลาลและมัสยิดใกล้เคียง เป็นต้น รองรับในหลายภาษา รวมไปถึงภาษาไทยก็มีรองรับด้วยเช่นเดียวกัน

ในประเทศไทยมีผู้ประกอบการ Startup หลายรายที่ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน Halallifestyle แต่มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จ Startup เหล่านี้ยังคงต้องได้รับการสนับสนุน การพัฒนาและยกระดับจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกันต่อไป เพราะตลาดโลกมุสลิมยังมีมูลค่ามหาศาลที่เรายังเข้าไม่ถึง….

……………………..
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานปัตตานี

ที่มา : https://www.nst.com.my/lifestyle/bots/2019/05/489159/most-downloaded-app-ramadan?fbclid=IwAR20rwf6APuHszSnJ1i8imFYnwp5VpWQ1NaOzOiMHNzB7xRJrxQA5zqLt7w
https://play.google.com/store/apps/details?id=com.bitsmedia.android.muslimpro

เลี้ยงอาหารละศีลอดในเดือนเราะมะฎอนเฉพาะคนจนใช่หรือไม่?

:: คำถาม ::
เราจะเลี้ยงอาหารละศีลอดในเดือนเราะมะฏอนเฉพาะคนจนอย่างเดียวได้หรือไม่?

:: คำตอบ ::
ข้าพเจ้าเข้าใจถึงเหตุผลของผู้ที่กล่าวว่าคนที่มีกำลังพอที่จะรับผิดชอบตัวเองจะต้องไม่รับประทานอาหารละศีลอดที่บริจาค (อาหารสำหรับการละศีลอด) มันเกิดคำถามขึ้นว่าควรจะเลี้ยงอาหารให้กับคนที่สมควรได้รับมากกว่าหรือไม่ … แต่คนที่ให้อาหารเลี้ยงละศีลอดนั้นเพียงแค่แสวงหารางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺเท่านั้น ท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) อธิบายว่า อัลลอฮฺจะทรงมอบรางวัลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้ใดก็ตามที่เลี้ยงอาหารละศีลอดให้กับผู้อื่น พระองค์ไม่ได้มอบรางวัลตอบแทนนี้ในการเลี้ยงอาหารละศีลอดกับคนจนหรือคนที่ขัดสนเป็นการเฉพาะเจาะจง คนหนึ่งอาจได้รับรางวัลตอบแทนโดยการเลี้ยงอาหารละศีลอดให้กับมิตรสหายหรือญาติสนิท เมื่อท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) กล่าวถึงเรื่องนี้ ท่านต้องการที่จะกระตุ้นให้ผู้คนร่วมแบ่งปันอาหารของพวกเขาให้กับคนอื่น ๆ ในช่วงวันแห่งการถือศีลอด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกของความเป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้นในการอิบาดะฮฺ เมื่อท่านเชิญชวนญาติสนิทหรือมิตรสหายมาละศีลอดที่บ้านของท่าน ท่านไม่เพียงแต่จะได้รับความรู้สึกซาบซึ้งใจและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นจากพวกเขาเท่านั้น แต่ท่านยังได้รับรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺเทียบเท่ากับรางวัลตอบแทนการถือศีลอดของพวกเขา

คนที่บริจาคเงินเพื่อเลี้ยงอาหารละศีลอดและทำหน้าที่บริการให้กับคนละศีลอดในมัสญิดนั้นย่อมเป็นการกระทำที่จะได้รับรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺเช่นเดียวกัน พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางการเงินของผู้ที่มารับประทานอาหารเลี้ยงละศีลอด

สำหรับคำถามที่ว่า เมื่อบุคคลหรือครอบครัวที่มีกำลังพอที่จะรับผิดชอบตัวเองจะสามารถร่วมรับประทานอาหารเลี้ยงละศีลอดได้หรือไม่? คำตอบคือได้เพราะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ ถ้าท่านอาศัยอยู่ในประเทศที่มีคนจนจำนวนมาก ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะให้โอกาสกับคนจนได้รับประโยชน์นี้ ในทางกลับกัน การที่คนใดก็ตามจะร่วมรับประทานอาหารเลี้ยงละศีลอดที่มีมากพอสำหรับทุกคนย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islam Q&A

ทำงานหนักในเดือนเราะมะฎอนจำเป็นต้องถือศีลอดหรือไม่?

:: คำถาม ::
สำหรับสถานะของคนที่ใช้แรงงานหนัก โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ฉันยกตัวอย่างคนที่ทำงานหน้าเตาหลอมสำหรับหลอมโลหะ หลักการอิสลามอนุญาตให้พวกเขาไม่ต้องถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนได้หรือไม่?

:: คำตอบ ::
รากฐานของอิสลามประการหนึ่ง คือการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนนั้นเป็นข้อบังคับสำหรับทุกคนที่บรรลุศาสนะภาวะและเป็นหลักปฎิบัติ(รุก่น)ข้อหนึ่งในอิสลาม ดังนั้นทุกคนที่บรรลุศาสนะภาวะแล้วจะต้องมุมานะในการถือศีลอดเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับที่อัลลอฮฺทรงสั่งใช้เพื่อหวังรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺและกลัวการลงโทษจากพระองค์ โดยที่เขาจะไม่ละทิ้งการหาเลี้ยงชีพที่อนุมัติในโลกนี้ตลอดจนไม่ทำให้ดุนยาแห่งนี้เป็นที่ชื่่นชอบสำหรับเขามากกว่าโลกหน้า

ถ้ามีข้อขัดแย้งระหว่างการทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺกับการทำงานเพื่อหารายได้ในโลกนี้ ดังนั้นเขาจะต้องทำให้มีความสมดุลเพื่อที่เขาจะสามารถกระทำมันได้อย่างพร้อม ๆ กัน ตัวอย่างที่เอ่ยขึ้นในคำถาม เขาจะต้องทำงานในช่วงเวลากลางคืนในการหารายได้และถ้าไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้เขาจะต้องหยุดงานดังกล่าวในช่วงเดือนเราะมะฎอน แม้ว่าจะไม่ได้รับค่าแรงก็ตาม ถ้าเขาไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นเขาจะต้องมองหางานอื่นที่เขาสามารถปฏิบัติภาระหน้าที่ทั้งสองนี้ได้

การแสวงหารายได้ของเขาในโลกนี้จะต้องไม่เป็นผลกระทบกับผลประโยชน์ของเขาในโลกหน้า มีวิธีการหารายได้และงานอีกมากมายที่มิได้ถูกจำกัดเพียงแค่งานที่สร้างความลำบากประเภทนี้เท่านั้น มุสลิมจะต้องแสวงหาหนทางการหาปัจจัยยังชีพที่อนุมัติไปพร้อม ๆ กับสามารถกระทำการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ ดังที่ อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า

“และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขา และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากที่ที่เขามิได้คาดคิด และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้พอเพียงแก่เขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงบรรลุในกิจการของพระองค์โดยแน่นอนสำหรับทุกสิ่งอย่างนั้นอัลลอฮฺทรงกำหนดกฎสภาวะไว้แล้ว” สูเราะฮฺ อัฏ-เฏาะลาก อายะฮฺที่ 2-3

ถ้าเราคิดว่าไม่สามารถหางานอื่นทดแทนได้นอกจากงานที่ทำให้เขามีความยากลำบากที่กล่าวมา ดังนั้นเขาจะต้องอพยพจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งเพื่อแสวงหาความสะดวกง่ายดายในการปฏิบัติศาสนกิจของเขาทั้งหน้าที่ทางศาสนาและหน้าที่ทางโลกรวมไปถึงสถานที่ที่เขาสามารถร่วมมือกับมุสลิมคนอื่น ๆ ในเรื่องคุณธรรมและความดีงาม เพราะแผ่นดินของอัลลอฮฺนั้นกว้างใหญ่ อัลลอฮฺทรงตรัสว่า

“และผู้ใดที่อพยพไปในทางของอัลลอฮฺเขาก็จะพบในผืนแผ่นดิน ซึ่งสถานที่อพยพไปอันมากมาย และความมั่งคั่ง” สูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะฮฺที่ 100

อีกอายะฮฺหนึ่งที่กล่าวว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด โอ้ปวงบ่าวผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกท่านเถิด สำหรับบรรดาผู้ทำความดีในโลกนี้คือ (จะได้รับการตอบแทน) ความดีและแผ่นดินของอัลลอฮฺนั้นกว้างใหญ่ไพศาล แท้จริงบรรดาผู้อดทนนั้นจะได้รับการตอบแทนรางวัลของพวกเขาอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องคำนวณ” สูเราะฮฺ อัซ-ซุมัร อายะฮฺที่ 10

แต่ถ้าเขาไม่สามารจัดการเรื่องนี้ได้และถูกบังคับให้ทำงานที่ยากลำบากนี้ (ดังที่ถูกกล่าวในคำถาม) ดังนั้นเขาจะต้องถือศีลอดจนกว่าเขาจะรู้สึกว่าเขาไม่ไหว และเขาจะต้องกินและดื่มเพียงแค่ให้เขามีแรงทำงานต่อได้จากนั้นเขาจะต้องอดอาหารและเครื่องดื่มต่อและเขาจะต้องถือศีลอดชดใช้ในวันอื่นที่เขามีความสะดวก

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islam Q&A

การล้างพิษ ประโยชน์ที่ซ่อนอยู่จากการถือศีลอดเดือนรอมฎอน

มีการศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพของการอดอาหาร ตอนนี้เรารู้ว่าเมื่อเรางดให้อาหารแก่ร่างกายของเรา ร่างกายจะรักษาตัวเอง

เมื่อได้รับโอกาส ร่างกายจะพยายามฟื้นฟูสมดุลให้กับทุกระบบ การศึกษาแสดงให้เห็นถึงประโยชน์มากมายต่อสุขภาพของการอดอาหารที่มีต่อร่างกายของเรา แต่ยังมีประโยชน์ที่เราได้รับในระดับจิตวิญญาณและอารมณ์อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการถือศีลอดในช่วงรอมฎอน ขอแนะนำให้ปฏิบัติตามซุนนะฮและอย่านอนทั้งวัน หรือรับประทานมากเกินไป

เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ที่ดีขึ้น ก่อนอื่นขอให้เราเข้าใจเรื่องการล้างพิษและกระบวนการที่เกิดขึ้นในระดับกายภาพ

– การล้างพิษคืออะไร? –
การล้างสารพิษมักเป็นวิธีที่ร่างกายกำจัดสิ่งสกปรกออกไป นี่เป็นเรื่องจริงและเป็นสิ่งที่ร่างกายทำอยู่ตลอดเวลา

ร่างกายของเราใช้ระบบต่าง ๆ เพื่อกำจัดสารที่เป็นอันตราย ซึ่งรวมถึงต่อมเหงื่อของผิวหนัง ต่อมน้ำเหลือง น้ำตา จมูก ระบบทางเดินอาหาร ลำคอ ปอด ไต ถุงน้ำดี และที่แน่นอนคือตับ

ความผิดปกติในระบบหนึ่งสามารถนำไปสู่การรับภาระหนักเกินไปและความล้มเหลวของระบบอื่น ระบบของร่างกายจะต้องทำหน้าที่เป็นทีมเพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกายของเรา

การรับประทานอาหารมากเกินไปจะช่วยลดความสามารถของร่างกายในการอดอาหารอย่างจริงจัง เพราะมันเป็นอุปสรรคต่อการลดการบริโภคอาหาร และช่วยให้ร่างกายกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคเรื้อรังจำนวนมากเชื่อมโยงกับภาระพิษที่ร่างกายของเราแบกรับ และไม่สามารถกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ (1)

สารพิษที่ไม่ได้ถูกกำจัดโดยระบบอื่น ๆ จะถูกส่งไปยังตับซึ่งจะถูกเปลี่ยนผ่านทางเดินสองเส้นทางเพื่อที่จะถูกขับออกมา เส้นทางทั้งสองจะต้องทำงานอย่างเหมาะสม หรือไม่ก็ของเสียจะยังคงอยู่ในร่างกาย ติดอยู่ในเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะของเรา (2, 5, 12)

แม้ว่าปกติเราจะเข้าใจการล้างพิษว่าเป็นการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่เราก็สามารถสัมผัสกับการชำระล้างอารมณ์ความรู้สึก และจิตใจได้เช่นกัน

– ฟื้นฟูจิตวิญญาณ –
เดือนรอมฎอนเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการฟื้นฟูจิตวิญญาณ หากเราต้องการจะทำมันเรามีเวลาที่จะขยายการอิบาดะฮฺของเรา แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ด้วยกับการอดอาหารเราอยู่ในสถานะแห่งการรำลึกอย่างต่อเนื่อง
แต่บางคนเลือกที่จะนอนในช่วงเวลากลางวัน และไม่นอนตลอดทั้งคืน พลาดการตื่นตัวทางจิตวิญญาณที่อาจเกิดขึ้นในช่วงอดอาหาร

การละหมาด การซิกรฺ (ถ้อยคำรำลึกสั้น ๆ) และการทำสมาธิยังเป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่อดอาหารโดยการส่งเสริมการผ่อนคลายและลดการผลิตฮอร์โมนความเครียดที่ร่างกายจำเป็นที่จะต้องกำจัด

นอกจากนี้ผู้คนจำนวนมากลบสารเสพติดออกจากการอดอาหารของพวกเขาในช่วงรอมฎอน ซึ่งสามารถสร้างการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับความศรัทธาทางศาสนาของเรา ศักยภาพในการเติบโตทางจิตวิญญาณนั้นเพิ่มขึ้นเมื่อเราลบสิ่งรบกวนและสารยับยั้งออก

– การบำบัดทางจิตวิทยา –
บางคนอาจคิดว่าอารมณ์ไม่มีผลกับร่างกายของเราราวกับว่าพวกมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา แต่กระนั้นปฏิกิริยาทางอารมณ์ของเราต่อสิ่งเร้าภายนอกนั้น อันที่จริงแล้วเป็นการต่อเรียงของสารสื่อไฟฟ้าทางชีวเคมีที่ซับซ้อนซึ่งร่างกายของเราต้องรับมือในชีวิตประจำวัน
ฮอร์โมนที่ถูกหลั่งโดยต่อมของเราที่มีปฏิกิริยาต่อการตอบสนองทางอารมณ์จะกลายเป็นของเสียจากการเผาผลาญ ยิ่งเราเครียดมากเท่าไหร่ร่างกายก็ยิ่งต้องทำความสะอาดมากขึ้นเท่านั้น (5)

Dr. Dietrich Klinghardt บันทึกว่าการชอกช้ำทางอารมณ์เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อของเรา และอาจทำให้เกิดความผิดปกติหากอารมณ์ที่เป็นพิษเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ กระบวนการล้างพิษหรือการรักษาจะไม่เกิดขึ้นหรือจะไม่ได้ผล (12)

สิ่งนี้มีผลโดยตรงกับเส้นทางการล้างพิษของตับ เมื่อเราเปิดใช้งานร่างกายของเราเพื่อกำจัดของเสียจากการเผาผลาญส่วนเกินแม้ว่าการอดอาหาร เรายังช่วยล้างพิษทางอารมณ์ของเรา

เดือนรอมฎอนเป็นเวลาสำหรับการฟื้นฟูและการต่ออายุหากเราปฏิบัติตามซุนนะฮฺ เราไม่เพียงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางกายภาพที่เราต่างรับรู้กันดีเท่านั้น แต่ยังได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ของเราเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก aboutislam.net โดย Anisa Abeytia

References:
1. Brady, David, ND, “The Role of Detoxification and the Gastrointestinal Environment in Chronic Disease: Novel Diagnostic and Therapeutic Approaches.” Conference. June 17, 2006, Los Angeles.
2. Brady, David, ND, JJ Virgin, “Detoxification for Health.” Designs for Health booklet, East Windsor, CT.
3. Al-Jauziyah, Ibn Qayyim, Healing with the Medicine of the Prophet, trans. Jalal Abdu Rub, (Darussalam: Riyadh) 1999.
4. Gates, Donna, The Body Ecology Diet (Healthful Communications, Inc: Juno Beach, Florida) 1996.
5. Murray, Michael, ND, Total Body Tune-Up (Bantam Books: New York) 2000.
6. Murray, Michael, N.D. The Encyclopedia of Nutritional Supplementation (Prima Publishing: Rocklin, Ca) 1996.
7. Pollan, Michael The Omnivore’s Dilemma (Penguin Press: New York) 2006.
8. Roehl, Evelyn Whole Food Facts (Healing Arts Press: Rochester, Vermont) 1996.
9. Shelis, Maurice, Moshe Shike, A Catharine Ross, Benjamin Caballero, Robert J. Cousins, ed. Modern Nutrition In Health and Disease (Lippincott Williams & Williams: New York) 2006.
10. Whitney, Ellie and Sharon Rady Rolfes, ed. Understanding Nutrition (Thomson Wadsworth: Belmont, Ca) 2005.
11. Steingraber, Sandra, Having Faith (Berkley Books: New York) 2003.
12. Klinghardt, Dietrich MD, PhD “The Connection Between Heavy Metals, Chronic Infections (including Candida) and the Aftereffect of Psychological Trauma.” Designs for Health Professional Resources, July 12, 2006.