จุดยืนในอิสลามเรื่องโมโนและไดกลีเซอไรด์

:: คำถาม ::
ขอความศานติและความจำเริญจงประสบแด่ท่าน ในขณะที่โมโนและไดกลีเซอไรด์ส่วนใหญ่ (อิมัลซิไฟเออร์ที่อยู่ในพุดดิ้ง ไอศกรีม เนยถั่ว น้ำสลัด ขนมปังและอื่น ๆ) ที่พบในตลาดนั้นมีแหล่งที่มาจากพืช (น้ำมันข้าวโพด ถั่วลิสงและถั่วเหลือง) ขณะที่บางส่วนก็มีแหล่งที่มาจากสัตว์ (วัวและสุกร) การจะทราบว่าอาหารใดบ้างที่มีแหล่งที่มาจากสัตว์นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉลากอาหารจะบอกเพียงว่าอาหารชนิดนั้นมีโมโนและไดกลีเซอไรด์เป็นส่วนประกอบ ไม่ได้บอกแหล่งที่มา ดังนั้นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถือว่าฮาลาลหรือไม่ ?

:: คำตอบ ::
ขอความศานติและความจำเริญของอัลลอฮ์จงประสบแด่ท่าน ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ การขอบคุณและการสรรเสริญทั้งหมดเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ขอความศานติและความศิริมงคลจงประสบแด่ท่านศาสนทูตของพระองค์

เรียนผู้ที่ส่งคำถามมา เราขอขอบคุณความเชื่อมั่นที่ดีที่ท่านมีในตัวเราและเราขอวิงวอนให้อัลลอฮ์ทรงช่วยให้เรามีความสามารถในการรับใช้อิสลามและอุทิศงานนี้ในหนทางของพระองค์

ก่อนอื่นเราต้องขอเกริ่นก่อนว่าอัลลอฮ์ทรงประทานพรแก่บ่าวของพระองค์ด้วยการสร้างสรรค์และประทานปัจจัยยังชีพทุกชนิดบนโลกใบนี้แก่พวกเขา และพระองค์ก็อนุญาตให้พวกเขาบริโภคทุกอย่างที่ฮาลาล (อนุญาต) และมีประโยชน์

อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า “มนุษย์เอ๋ย! จงบริโภคสิ่งอนุมัติที่ดี ๆ จากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า” (อัล บะเกาะเราะฮ์ 2: 168)

อย่างไรก็ตาม อัลลอฮ์ทรงห้ามอาหารบางชนิดที่ไม่ดีและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมทุกคนที่จะแสวงหาสิ่งที่ฮาลาลและหลีกเลี่ยงสิ่งที่หะรอม (ต้องห้าม) ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตของเราอีกด้วย

กลับมาที่คำถามของท่าน เราจะอ้างอิงฟัตวา (ข้อวินิจฉัยทางศาสนา) ดังต่อไปนี้ :

โมโนและไดกลีเซอไรด์เป็นอิมัลซิไฟเออร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร อิมัลซิไฟเออร์เป็นสารที่มีสมบัติละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน ช่วยลดแรงตึงผิวระหว่างของเหลว 2 ชนิด ที่ไม่ผสมน้ำมันเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำ และไม่ผสมน้ำให้เป็นเนื้อเดียวกันกับไขมัน ซึ่งสารเหล่านี้จะฮาลาลหรือหะรอมก็ได้ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของมัน อิมัลซิไฟเออร์มีทั้งแบบที่สกัดมาทั้งจากพืชและจากสัตว์

ตัวอย่างเช่น: หมากฝรั่งอารบิก ไข่แดง (เลซิทิน) โมโนและไดกลีเซอไรด์ เกลือน้ำดี ถั่วเหลือง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้มีแหล่งที่มาของอิมัลซิไฟเออร์ อิมัลซิไฟเออร์ที่ได้จากเลซิทินนั้นอนุญาตสำหรับชาวมุสลิมที่จะบริโภค ส่วนอิมัลซิไฟเออร์ที่ได้จากโมโนหรือไดกลีเซอไรด์ ท่านจำเป็นต้องค้นหาแหล่งที่มาของมันเสียก่อน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ผลิตอาหารเริ่มติดฉลากที่แสดงแหล่งที่มาของโมโนและไดกลีเซอไรด์ แต่ถ้าผลิตภัณฑ์ชิ้นใดที่ไม่ได้บอกแหล่งที่มา วิธีเดียวที่จะค้นหาคือการสอบถามทางร้านเบเกอรี่หรือผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ที่ท่านต้องการบริโภค

นอกจากนี้ ยังมีหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับส่วนผสมของอาหาร วัตถุเจือปนในอาหาร และวัตถุกันเสียในประเทศตะวันตก และสถานะของส่วนประกอบเหล่านี้ตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม คุณสามารถศึกษาเรื่องราวเหล่านี้จากหนังสือดังกล่าวซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเด็นเหล่านี้

และแท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ทรงรู้ดีที่สุด

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: aboutislam.net

กฏเกณฑ์ว่าด้วยการรับประทานหอยทาก: การปรุงหอยทากสด ๆ เป็นที่อนุมัติหรือไม่

หลักการอิสลามกล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับการรับประทานหอยทาก เท่าที่ทราบมาการปรุงหอยทากนั้นจะปรุงกันสด ๆ โดยมิได้เชือด และในยุคของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มีการนำเอาหอยทากมาเป็นอาหารหรือไม่

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

หอยทากมีสองชนิด หอยทากบกและหอยทากทะเล หอยทากบกถูกจัดอยู่ในกลุ่มของแมลงและสัตว์น่ารังเกียจ ซึ่งไม่มีเลือดไหลเวียน ส่วนหอยทากทะเลถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์ที่มีเปลือกเช่นหอย กุ้ง ปูซึ่งเป็นสัตว์ทะเล

ใน เมาซูอะฮฺ อัลอะเราะบิยฺยะฮฺ อัลอะลามิยฺยะฮฺ กล่าวไว้ว่า
หอยทาก (snail) เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และจัดเป็นหอยชนิดหนึ่ง (shellfish) หอยทากส่วนใหญ่จะมีเปลือกข้างนอกลำตัว บางชนิดมีเปลือกขนาดเล็กอาจอยู่นอกหรืออาจอยู่ใต้ผิวหนัง แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีเปลือกคลุมทั้งตัว

หอยทากน้ำจืดจะมีหนวดหนึ่งคู่ ซึ่งจะมีดวงตาอยู่ที่ปลายหนวดที่ยาวทั้งสอง หอยทากรูปกรวย (large sand snail) ถือว่าเป็นศัตรูพืชชนิดหนึ่ง เนื่องจากมันชอบกัดกินพืช บางตัวอาจมีความยาวถึง 10 เซนติเมตร

เกี่ยวกับกฎเกณฑ์การรับประทานหอยทาก
1. หอยทากน้ำจืดจะถูกจัดในกฏว่าด้วยการรับประทานแมลง นักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่ามันเป็นสัตว์ต้องห้ามที่จะรับประทาน (หะรอม) อิมานะวาวีย์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวไว้ในอัลมัจญมูอ์ (9/16) ว่า มุมมองของเราถือว่ามันต้องห้าม ส่วนทรรศนะของ อบูหะนีฟะฮฺ อิมามอะหมัด และอิมามดาวุด และอิมามมาลิกถือว่ามันหะลาล (อนุญาตให้รับประทาน)

อิบนุอัซม์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้รับประทานหอยทากน้ำจืดหรือสัตว์อื่นที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ “แมลงหรือปรสิต” เช่น ตุ๊กแก, แมลงสาบ, มด, ผึ้ง, แมลงวัน, ตัวต่อ, หนอน, เหา, หมัด, ตัวเรือด, ไร, ยุง หรืออื่น ๆ ที่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกัน เนื่องอัลลอฮฺทรงกล่าวว่า “ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเองและเลือดและเนื้อสุกรและสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ ขณะเชือดมัน และสัตว์ที่ถูกรัดคอตายและสัตว์ที่ถูกตีตายและสัตว์ที่ตกเหวตายและสัตว์ที่ถูกขวิดตายและสัตว์ที่สัตว์ร้ายกัดกิน นอกจากที่พวกเจ้าเชือดกัน” (อัลมาอิดะฮฺ 5:3) และมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าการเชือดต้องทำที่คอเหนือบริเวณเหนื่อหน้าอก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเชือดพวกมัน ดังนั้นการที่จะกินพวกมันได้ต้องรอให้พวกมันตายเสียก่อน ซึ่งถือว่าไม่มีการเชือดอย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งต้องห้าม

ในอัลมุหัลลา (6/76, 77) มัซฮับมาลิกี มิได้กำหนดเงื่อนไขว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเลือดไหลเวียนจะต้องถูกเชือดเสียก่อน แต่พวกเขาได้วางไว้ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกับตั๊กแตนและการวิธีการฆ่าพวกมันก็ด้วยการต้ม ย่าง หรือเจาะด้วยไม้ หรือเข็มจนกว่าจะตายพร้อมกับกล่าวบิสมิลลาฮฺ

ในอัลมุเดาวะนะฮฺ (1/542) กล่าวว่า อิมามมาลิกถูกถามปัญหาบางอย่างในดินแดนมัฆริบ (แอฟริกาเหนือ) จากสิ่งที่เรียกว่าหอยทาก ที่พบในทะเลทรายและตามต้นไม้ ว่าจะรับประทานได้หรือไม่ ท่านตอบว่า ฉันคิดว่ามันคล้ายกับกรณีตั๊กแตน ถ้าจับขณะมันมีชีวิตแล้วนำมาต้ม หรือย่าง ฉันคิดว่าไม่ผิดอะไรที่จะกิน แต่หากพบขณะที่มันตายแล้ว ไม่สมควรที่จะรับประทาน

อบุล วาลีด อัลบาญี (ขออัลลอฮฺโปรดเมตตาท่าน) กล่าวไว้ในอัลมุนตะกอ ชัรห์ อัลมุวัฏเฏาะอฺ (3/110) ว่า หากว่ามันได้รับการพิสูจน์ ดังนั้น กฎเกณฑ์ของหอยทากจึงเป็นเช่นเดียวกับตั๊กแตน อิมามมาลิกกล่าวว่า การฆ่ามันจะกระทำโดยการต้มเดือดหรือแทงด้วยไม้แหลมหรือเข็มจนกระทั่งมันตาย และควรเอ่ยนามของอัลลอฮฺขณะที่ทำการดังกล่าว เช่นเดียวกันกับการตัดหัวของตั๊กแตน

2. หอยทากทะเลนั้นหะลาลที่จะรับประทาน ซึ่งจัดอยู่ในกฏเกณฑ์เกี่ยวกับอาหารทะเลว่าโดยทั่วไปแล้วอนุญาตให้รับประทาน ดังดำรัสของอัลลอฮฺที่กล่าวว่า
“ได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้า ซึ่งสัตว์ล่าในทะเลและอาหารจากทะเลทั้งนี้เพื่อเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์แก่พวกเจ้า และแก่บรรดาผู้เดินทาง” (อัลมาอะดะฮฺ 5:96)
อิมาม บุคอรีย์ บันทึกว่า ท่านอุมัรฺ อิบนุค็อฏฏอบ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน) กล่าวว่า
صَيْدُهُ : مَا اصْطِيدَ ، وَطَعَامُهُ : مَا رَمَى بِهِ

“การล่า (ในทะเล) หมายถึง สิ่งที่ถูกล่า และอาหารของมันคือสิ่งที่ทะเลคายออกมา (บนชายฝั่ง)”

อิมามบุคอรีย์ รายงานจากชุร็อยฮฺ ซึ่งเป็นเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีกล่าวว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า كُلُّ شَيءٍ فِي الْبَحْرِ مَذْبُوحٌ “ทุกอย่างในทะเลล้วนถูกเชือด (มัซบูฮ-นั่นคือนุมัติ)” อย่างไรก็ตามเราไม่พบหะดีษต้นใดที่รายงานว่าท่านนบีรับประทานหอยทาก

สรุป อนุญาต (หะลาล) ที่จะกินหอยทากทั้งสองชนิดทั้งบกและทะเล หากมีการปรุงสดถือว่าไม่ผิดแต่ประการใด เพราะมันไม่มีเลือดที่อาจทำให้อ้างได้ว่าจำเป็นต้องเชือดให้ถูกต้องและให้เลือดไหลออกเสียก่อน และหอยทากทะเลนั้นจัดอยู่ภายใต้กฎพื้นฐานที่กล่าวว่าสัตว์ทะเลโดยทั่วไปนั้นรับประทานได้

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islamqa

การให้อาหารไก่ด้วยเนื้อสุกรฮาลาลหรือหะรอม?

:: [คำถาม] ::
ฮาลาลหรือหะรอมที่จะรับประทานเนื้อไก่ที่ถูกเลี้ยงด้วยเนื้อสุกรและสัตว์ที่ตายแล้ว หากว่าหะรอม แล้วไข่ของมันจะรับประทานได้หรือไม่?

:: [คำตอบ] ::
ในการเชื่อมโยงกับสิ่งที่ท่านได้อ้างถึง มีความขัดแย้งในบรรดานักวิชาการในการรับประทานเนื้อและไข่ของมัน

อิหม่ามและนักนิติศาสตร์อิสลามกลุ่มหนึ่งกล่าวว่ามันเป็นมุบาห์ (อนุญาต) ที่จะรับประทานเนื้อและไข่ของมัน เนื่องจากอาหารที่ไม่บริสุทธิ์จะมีความบริสุทธิ์เมื่อมันกลายเป็นเนื้อและไข่

นักนิติศาสตร์บางท่านซึ่งมีท่านสุฟยาน อัษ-เษารียฺ อิหม่าม อัช-ชะฟีอียฺและอิหม่ามอะหฺมัด ห้ามกินเนื้อและไข่หรือดื่มนมของมันยกเว้นมันจะถูกให้อาหารด้วยกับอาหารที่บริสุทธิ์อย่างน้อย 3 วัน

มีนักวิชาการบางส่วนกล่าวว่าหากอาหารที่มันรับประทานนั้นมีความสกปรก พวกมันจะถูกพิจารณาป็น “ญัลลาละฮฺ” (สัตว์ที่เลี้ยงด้วยสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์) ดังนั้น จึงไม่ควรรับประทาน ในทางตรงกันข้าม หากอาหารของมันส่วนใหญ่มีความบริสุทธิ์ มันเป็นที่อนุญาตที่จะรับประทานเนื้อของมัน

นักนิติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งห้ามรับประทานเนื้อของมัน ซึ่งได้ใช้หลักฐานจากหะดีษที่รายงานโดย อิหม่าม อะหฺมัด อบู ดาวูด อัล นาซาอียฺและอัต-ติรมีซียฺ ในหะดีษ จากท่านอิบนุ อับบาส รดิยัลลอฮุ อันฮุ ที่รายงานว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ห้ามการดื่มนมจากสัตว์ญัลลาละฮฺ ซึ่งเป็นหะดีษศอฮี้ยฺ โดย อิหม่าม ติรมีซียฺ และอิบนุ ดะกีก อัล อิฎ รดิยัลลอฮุ อันฮุ มีรายงานจากท่านอิหม่าม อบู ดาวุด อัต-ติรมีซียฺ และ อิบนุ มาญะฮฺ จาก ท่านอิบนุ อุมัร รดิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่า ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ห้ามการรับประทาน “อัล-ญะลาละฮฺ” และดื่มนมของมัน

และความคิดเห็นที่สองย่อมเป็นความคิดเห็นที่ดีกว่า …

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง

กฏเกณฑ์การบริโภคโปรตีนสกัดจากกัญชง (hemp)

ข้าพเจ้าขอถามเกี่ยวกับโปรตีนที่ผลิตจากต้นกัญชง (hemp) ซึ่งหาซื้อได้ในร้านขายเครื่องกีฬาในประเทศอังกฤษ จุดประสงค์ของการบริโภคโปรตีนชนิดก็เพื่อเป็นแหล่งพลังงานตามธรรมชาติจะเป็นที่อนุมัติหรือไม่โดยที่สารนี้ไม่มี THC (สารที่ทำให้มึนเมา)

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ
ในสารานุกรม อัลเมาสูอะฮฺ อัลอะเราะบิยะฮ์ อัลอะลามิย์ยะฮฺ กล่าวไว้ว่า กัญชง (Hemp) (บางครั้งเรียกกันในชื้อแคนนาบิส-cannabis) เป็นพืชที่ปลูกเพื่อนำเส้นใยที่แข็งแรงของมัน เพื่อนำมาแ.ปรรูปทำเป็นเส้นด้ายและเชือกหลากหลายชนิด การปลูกกัญชงเป็นสิ่งผิดกฏหมายในหลายประเทศ ซึ่งอาจมีสารอาจมีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ที่รู้จักกันในชื่อกัญชา

กัญชงมีผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นนักนิติศาสตร์ในอดีตและปัจจุบันจึงห้ามมิให้บริโภคมัน รวมทั้งกฏหมายของหลายประเทศทั่วโลก

สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในแคนนาบิสที่มีผลต่อสมองและระบบประสาทตามที่ผู้ถามได้อ้างถึงนั้นมีอักษรย่อ คือ THC ซึ่งหมายถึง tetrahydrocannabinol เป็นที่ทราบกันดีว่าสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทนี้ไม่ได้มีที่อื่น ๆ แต่จะมีมากในใบเพศผู้หรือช่อดอกและไม่มีอยู่ในเมล็ด
.
มุฮัมมัด ฟัตฮิอีดซึ่งเป็นแพทย์ทหารกล่าวว่า ต้นกัญชงเป็นพืชที่ถูกห้ามมิให้ปลูกตามกฏหมายระหว่างประเทศของอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 (the Single Convention on Narcotic Drugs of 1961) ซึ่งอนุสัญญานี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพิธีสารฯค.ศ.1972 แต่ได้รับการยกเว้นในจำนวนที่เล็กน้อยแก่ประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาทั้งนี้เพื่อใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษกล่าวว่า “แคนนาบิส” หมายถึงช่อดอกหรือผลของกัญชง (ไม่รวมเมล็ดและใบเมื่อไม่ได้ติดกับยอด) ซึ่งยังไม่ได้สกัดเรซิ่นออกมาไม่ว่าจะเรียกด้วยชื่อใดก็ตาม อนุสัญญาระบุว่านิยามนี้ไม่รวมใบที่อยู่ใต้ช่อดอกและเมล็ด

จากที่กล่าวมา หากโปรตีนได้มาจากกัญชงสกัดมาจากหนึ่งในสองสิ่งคือใบและเมล็ด ซึ่งไม่มี THC แล้วไม่มีความผิดอะไรหากจะบริโภค (หะลาล) ตราบเท่าที่มันไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายและไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นี่คือกฏทั่วไปที่สามารถนำไปใช้กับทุกสิ่งที่มีอยู่ในท้องตลาดไม่ว่าจะเป็นสารตามธรรมชาติหรือผลิตสังเคราะห์ออกมาที่อ้างว่าเป็นประโยชน์กับร่างกายและให้พลังงานแก่นักกีฬา

อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.info

จะเป็นนะญิสหรือไม่ ? ถ้าอาหารที่รับประทานปนเปื้อนนะญิส (สิ่งสกปรก)

:: คำถาม ::
ถ้าให้แมวกินอาหารที่หะรอม (เช่น หมูหรือเนื้อหะรอมอื่น ๆ ) ตัวแมวเองจะ “นะญิส” (สิ่งสกปรกตามบัญญัติอิสลาม)หรือไม่? สิ่งใดก็ตามที่มันสัมผัสหรือเลียจะเป็นนาญิสด้วยหรือไม่? ถ้าคนต้องกินสิ่งที่หะรอมหรือสิ่งที่ไม่สะอาด เขาจะกลายเป็นคนที่ไม่บริสุทธิ์(นะญิส)ด้วยหรือไม่? ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนท่านด้วยครับ

:: คำตอบ ::
แมวจะไม่เป็นนะญิส (สิ่งสกปรกตามบัญญัติอิสลาม) อันเนื่องจากกินอาหารที่มีนะญิส ข้อชี้ขาดเดียวกันนี้จะใช้กับสิ่งมีชีวิตอื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ สิ่งมีชีวิตใดก็ตามจะไม่เป็นนะญิสเพียงเพราะบริโภคสิ่งไม่อนุมัติหรือสิ่งที่เป็นนะญิส (ตามหลักการ) และสิ่งที่มันสัมผัสก็จะไม่เป็นนะญิสเช่นกัน …

แมวจะไม่เป็นนะญิส (สิ่งสกปรกตามบัญญัติอิสลาม) อันเนื่องจากกินอาหารที่มีนะญิส ข้อชี้ขาดเดียวกันนี้จะใช้กับสิ่งมีชีวิตอื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ สิ่งมีชีวิตใดก็ตามจะไม่เป็นนะญิสเพียงเพราะบริโภคสิ่งไม่อนุมัติหรือสิ่งที่เป็นนะญิ ส(ตามหลักการ) และสิ่งที่มันสัมผัสก็จะไม่เป็นนะญิสเช่นกัน …

เชค คอลีล นักนิติศาสตร์จากสำนักคิด (มัซฮับ) มาลิกียฺได้รวบรวมสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เป็นนะญิสที่กล่าวในหนังสือ “อัล-มุคตะศ็อร” “น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย น้ำมูก และไข่ของมันไม่ใช่นะญิส แม้ว่ามันจะกินอาหารที่มีนะญิสก็ตาม”

อิหม่าม นะนาวีย์ กล่าวว่า “น้ำที่เหลือจากการดื่มของแมวในภาชนะนั้นไม่ใช่นะญิส แม้ว่าจะไม่ชอบใช้น้ำที่เหลือนี้ก็ตาม และข้อชี้ขาดเดียวกันนี้ใช้กับน้ำที่เหลือจากการดื่มของสัตว์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ข้อชี้ขาดนี้นำมาใช้กับสัตว์ที่เนื้อของมันจะเป็นที่อนุมัติหรือไม่อนุมัติในการรับประทาน เหงื่อและน้ำที่เหลือของสัตว์ทุกตัวนั้นบริสุทธิ์ แม้ว่าไม่ชอบที่จะนำมาใช้ก็ตาม ยกเว้น น้ำที่เหลือจากสุนัข หมู และลูกผสมที่เกิดจากพวกมันทั้งสอง” มัจญฺมูอฺ อัล-ฟะตาวา

ไม่ว่าแมวกินที่กินอาหารนะญิสจะเลียหรือคนที่บริโภคสิ่งต้องห้ามอะไรก็ตาม เช่น แอลกอฮอล์หรือการสัมผัสสุกรนั้นไม่ได้ทำให้เป็นนะญิสนอกจากจะปรากฎ “นะญิสที่ชัดเจน” เช่น ในปากของแมว มือของคน หรือมีความชัดเจนว่าปากหรือมือนั้นเปื้อนนะญิส หากเป็นเช่นนั้น อะไรก็ตามที่แมวเลียหรือคนสัมผัสด้วยมือจะเป็นนะญิสทันที (มินะห์ อัล-ญะลีล อะลา มุคตะศ็อร)

คอลีล อัล-มะลีกียฺ กล่าวว่า “หากมีการพิสูจน์ว่ามีนะญิสอยู่ในปากหรือมือของคนที่ดื่มสุราโดยใช้การสังเกตหรือรายงานที่เชื่อถือได้ ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่ามือและปากนั้นมีนะญิส เช่นเดียวกับสัตว์ที่ไม่ได้หลีกเหลี่ยงจากสิ่งนะญิสต่าง ๆ อย่างเช่น แมวช่วงระหว่างที่กินน้ำ ถ้าแมวเลียน้ำ สี รสและกลิ่นของมันมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมันจึงเป็นนะญิสอย่างชัดเจน แต่ถ้าน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่สามารถที่จะใช้น้ำนี้ได้หากน้ำมีปริมาณที่น้อย สำหรับอาหาร ถ้าแมวเลียอาหารไม่ว่าจะเป็นของแข็งหรือของเหลวมันจะเป็นนะญิสเช่นกัน”

อิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า “ถ้าแมวกินหนูหรือสิ่งที่เป็นนะญิส (สิ่งสกปรกตามบัญญัติอิสลาม) น้ำลายของมันจะบริสุทธิ์เมื่อช่วงเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว นี่คือทัศนะที่แข็งแรงที่สุดของบรรดานักนิติศาสตร์อิสลามในประเด็นนี้ โดยที่สานุศิษย์กลุ่มหนึ่งของอิหม่ามอะหฺมัดและอิหม่าม อบู หะนีฟะฮฺยึดถือทัศนะนี้ ข้อชี้ขาดเดียวกันนี้นำมาใช้กับปากของเด็กและแมวด้วยเช่นกัน” (อัล-ฟะตาวา)

สรุป แมวและสัตว์อื่น ๆ จะไม่เป็นนะญิสโดยกินสิ่งต้องห้ามหรืออาหารที่มีนะญิสปนเปื้อนแต่เพียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า บรรดาผู้รู้มีทัศนะที่แตกต่างกันไม่ว่าจะอนุญาตหรือไม่ชอบที่จะให้อาหารนะญิสกับสัตว์ก็ตาม ทัศนะที่แข็งแรงกว่านั้นอนุญาต ซึ่งได้รับการยึดถือโดยผู้ที่ดำเนินตามสำนักคิดทางนิติศาสตร์ของฮัมบาลียฺและบรรดาผู้ที่เห็นพ้องกับเรื่องนี้ ผู้รู้สำนักคิดฮัมบาลียฺท่านหนึ่ง อัล-บุฮูตียฺ กล่าวว่า “ถ้าสัตว์จะยังไม่ถูกเชือดหรือรีดนมอีกไม่นาน การให้อาหารที่มีนะญิสกับมันถือว่าเป็นที่อนุมัติ”

สำหรับสัตว์ที่จะถูกเชือดอีกไม่นาน ในสำนักคิดทางนิติศาสตร์ฮัมบาลียฺถือว่าเป็นที่ต้องห้ามที่จะให้อาหารนะญิสกับพวกมัน เพราะว่ามันจะกลายเป็น “ญัลลาละฮฺ” (สัตว์ที่กินสิ่งสกปรก) ซึ่งเนื้อของมันเป็นที่ต้องห้ามในการบริโภคตามความเห็นของสำนักคิดทางนิติศาสตร์ฮัมบาลียฺ ….

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islam Q&A

นำรกไปใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์

:: [คำถาม] ::
เร็ว ๆ นี้ดิฉันจะคลอดบุตร และหมอบอกดิฉันว่าเธอต้องการจะเก็บเลือดจากสะดือ เธอบอกว่ามันสามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคหลายอย่าง นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้ยินเรื่องแบบนี้ และไม่รู้ว่าศาสนาอิสลามมีมุมมองเกียวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ดิฉันหวังว่าท่านจะสามารถให้คำแนะนำกับดิฉันได้ ดิฉันควรตอบตกลงหรือไม่? เธอบอกฉันว่ามันขึ้นอยู่กับดิฉัน

:: [คำตอบ] ::

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

ไม่มีความผิดแต่ประการใดในการที่จะนำสายสะดือหรือรกไปใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์
เราได้นำคำถามนี้ไปถาม ชัยค์มุฮัมมัด บินศอลิฮ์ อัลอุษัยมีน (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) ว่า
การเก็บรก (placenta) ไว้เพื่อนำไปใช้รักษาโรคมะเร็งและลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ามีกฏเกณฑ์อย่างไร

ท่านตอบคำถามดังนี้ :
ดูเหมือนว่า ไม่เป็นความผิดแต่ประการใดในเรื่องนี้ตราบใดที่สามารถพิสูจน์ได้ (ว่ามันมีประสิทธิผล)

คำถาม:
หลักการที่กล่าวว่า “สิ่งใดก็ตามที่ตัดหรือเฉือนออกจากสิ่งมีชีวิตถือว่าเป็นซากสัตว์ (มัยตะฮ์)” นำมาใช้กับกรณีนี้หรือไม่

คำตอบ:
มัยตะฮ์ของมนุษย์เป็นสิ่งที่สะอาด(ฎอฮิเราะฮ์)

คำถาม:
เมื่อไม่ใช้ประโยชน์จากมัน จำเป็นจะต้องฝังหรือไม่หรือว่าสามารถโยนทิ้งที่ไหนก็ได้

คำตอบ:
เห็นได้ชัดว่ามันคล้ายกับเล็บและเส้นผม นั่นไม่ผิดแต่ประการใดที่จะโยนมันทิ้งหรือนำไปฝัง

และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.Info

สิ่งสปรก(นะญิส) คืออะไร ?

การมีเสื้อผ้าและร่างกายที่สะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องสุขอนามัย แม้แต่สัตว์บางตัวก็ทำความสะอาดตัวมันเองหรือทำความสะอาดตัวอื่น ๆ ในกลุ่มของมัน
เรื่องของความสะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญมากขในอิสลามและมุสลิมดำเนินตามหลักการที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับเงื่อนไขส่วนบุคคลในชีวิตของเขาโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เขารับประทาน …

ดังนั้น ถ้ามุสลิมจะสัมผัสสัตว์หรือเนื้อสัตว์ใดก็ตาม พวกเขาจะต้องปฏิบัติตามหลักการที่คอยควบคุมนะญิส (สิ่งสปรกตามบทบัญญัติ) และฏอฮิร (ความสะอาด) โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่พวกเขาจะเตรียมตัวทำการละหมาดในแต่ละวัน

ตามความเชื่อของมุสลิมสิ่งสกปรกต่าง ๆ นั้นถูกแบ่งออกเป็น 10 ประเภท
1. ปัสสาวะ
2. อุจจาระ
3. อสุจิ
4. ซากศพ
5. เลือด
6. สุนัข
7. สุกร
8. สุรา
9. เหล้าไวน์
10. เหงื่อที่ไหลออกมาของผู้ที่กินสิ่งที่เป็นนะญิส

– เลือด ปัสสาวะ อุจจาระของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดที่กินเนื้อนั้นนะญิส –
บางทีอาจพูดได้ว่ามันมีความชัดเจนในตัวมันเองว่าทำไมปัสสาวะ อุจจาระ อสุจิ ร่างกายที่ตายแล้วและเลือดนั้นเป็นนะญิส(สิ่งสกปรกตามบทบัญญัติ) เหล่านี้มีธรรมชาติอันไม่พึงประสงค์เป็นการเฉพาะที่ยังไม่พูดถึงการมีอยู่ของแบคทีเรีย … ตัวอย่างเช่น เมื่อสัตว์เช่น วัว ซึ่งเนื้อของมันสามารถรับประทานได้ถูกยิงด้วยกับปืนยาสลบเพื่อนำเนื้อนมาวางขายนั้นถือว่าเป็นที่ต้องห้ามเนื่องจากเลือดของมันยังคงค้างอยู่ในตัวสัตว์

สัตว์ต่าง ๆ เช่น แกะ วัว อูฐ แพะ ไก่ ไก่งวง เป็นต้น นั้นอิสลามได้จัดเตรียมและวางแนวทางการเชือดให้กับผู้บริโภค โดยมุสลิมจะต้องให้น้ำกับสัตว์เพื่อความสดชื่นเป็นประการแรกและหันหัวของมันไปทางบัยตุลลอฮฺ(ทิศแห่งการละหมด) จากนั้นต้องเอ่ย “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ” (บิสมิลลาฮฺ อัร-เราะหฺมาน อัร-เราะหฺฮีม) และทำการเชือดที่ลำคอด้วยมีดอันแหลมคมถึงเส้นประสาทไขสันหลัง เมื่อเลือดไหลออกมาจนหมดจากลำคอ (บริสุทธิ์ที่จะรับประทานตามหลักการ) เนื้อของมันจึงบริสุทธิ์และฮาลาล

– สุนัข สุกร สุรา ไวน์ และเหงื่อที่ไหลออกมาของสัตว์ที่กินสิ่งสกปรก –
ตอนนี้เราขอลงไปในรายละเอียดของเหตุผลว่าทำไม สุนัข สุกร สุรา ไวน์ และเหงื่อที่ไหลออกมาของสัตว์ที่กินสิ่งสกปรกนั้นเป็นนะญิส

สุนัขตามธรรมชาติแล้วเป็นนักล่ากินซากศพและเลือด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์เลี้ยงก็ตาม เมื่อปล่อยให้วิ่งอย่างอิสระ มันก็จะกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วหากว่ามันพบเจอสุนัขจะประสบกับโรคภัยต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคหัดสุนัข โรคพิษสุนัขบ้า โรคตับอักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรียและปรสิต เช่น หนอน หมัด ไร และเหา (แมลงเล็ก ๆ ที่อยู่บนสัตว์) มันได้รับการฝึกฝนให้เป็นเหมือนยามเฝ้ารักษาความปลอดภัยหรือเป็นเพื่อนทื่ซื่อสัตย์และไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามันแสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความรู้สึกบางอย่างแต่คุณลักษณะเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติเดิมของมันที่ทำให้มันยังคงอยู่ในสัตว์ประเภทที่มีนะญิส

แมวจะติดเชื้อด้วยกับหมัดแมว ตัวไร หนอน การติดเชื้อทางเดินหายใจระดับสูง ลำไส้เล็กอักเสบที่ติดเชื้อในแมวและเชื้อไวรัสลิวคีเมีย (เกิดเป็นเนื้องอกขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ไต ม้าม เป็นต้น) ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีที่จะเอาสัตว์มาเลี้ยงไว้ในบ้าน

พวกเราส่วนใหญ่ไม่มีอุปนิสัยชอบกินสุนัข แต่ประเด็นที่เราต้องการ คือสุนัขนั้นเป็นสัตว์ที่มีนะญิสและจะต้องไม่เลี้ยงมันไว้ในบ้านของคน ถ้ามันกินอาหารจากจานของคน จานทั้งหมดที่มันสัมผัสนั้นจะต้องทิ้งไป (หรือไม่นำมาใช้จนกว่าจะทำความสะอาดได้อย่างถูกต้อง)

ตอนนี้ เรามาพิจารณาในเรื่องของหมู ไม่มีเพียงแค่ตัวหมูเท่านั้น บางครั้งต้องเผชิญกับอหิวาตกโรค โรคไข้หวัดหมู การเป็นไข้ อันดูแลนท์ ฟีเวอร์ (Undulant fever) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ “บรูเซลล่า” โรคแบล็กเลก (Blackleg) ที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ

ข้อมูลดังต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นถึงเหตุผลบางประการว่าทำไมหมูไม่เพียงแต่เป็นนะญิส(สิ่งสกปรก) เท่านั้นแต่ยังเป็นที่ต้องห้ามในการรับประทานเช่นกันทั้ง 3 ศาสนา ยิว คริสเตียน และอิสลาม

อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า
“ที่จริงที่พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้านั้นเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่ออื่นจากอัลลอฮ์” (สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 173)

“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเอง หรือเลือดที่ไหลออก หรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิด” (สูเราะฮฺ อัล-อันอาม อายะฮฺที่ 145)

และอีกอายะฮฺอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า
“แท้จริง พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้าเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่ออื่นจากอัลลอฮ์ ดังนั้นผู้ใดที่อยู่ในสภาพคับขัน โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่เป็นผู้ละเมิดแล้ว แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (สูเราะฮฺ อัน-นะหฺลฺ อายะฮฺที่ 115)

นักชีวเคมีมุสลิมได้ทำการศึกษาหมูและค้นพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางอย่าง
อย่างแรก คือไขมันที่รวมอยู่ในเนื้อสัตว์และมันไม่ได้แยกออกจากส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ ซึ่งพบว่าไขมันของสัตว์ที่กินได้นั้นมาจากรูปแบบหนึ่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ในขณะที่เนื้อหมูเป็นแบบของกรดไขมันอิ่มตัว นั่นหมายความว่าหากคนกินเนื้อสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร ไขมันของส่วนหลังจะถูกย่อยสลายในลำไล้เล็กหลังจากที่มีการผสมเข้ากับเกลือน้ำดี มันจะถูกดูดซึมเป็นไขมันของมนุษย์และเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อไขมันของมนุษย์

เอ็นไซม์ไลเปส (pancreatic lipase) ย่อยไขมันโดยอาศัยเกลือน้ำดี สัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหารไม่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ๆ ดังนั้นโมเลกุลของสัตว์เหล่านี้จะถูกผสมให้เข้ากันและดูดซึมเป็นไขมันจากสัตว์ มันจะถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมันของร่างกายมนุษย์เหมือนไขมันสัตว์ ซึ่งไม่ใช่ไขมันของมนุษย์ ไขมันหมู(น้ำมันหมู)มีลักษณะเช่นเดียวกับไขมันของสัตว์ที่เรากินเนื้อของมันเป็นอาหาร

ดังนั้น จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมันหมูถือว่าเป็นนะญิสและเป็นที่ต้องห้าม ซึ่งคนที่ตระหนักในเรื่องนี้จะไม่ใส่มันไว้ในรายการของพวกเขา เช่น คุกกี้สำเร็จรูปที่มีน้ำมันหมู

ปรสิตที่มีผลต่อหนู ได้แก่ พยาธิปากขอ พยาธิตัวกลม และแบคทีเรีย เช่นเดียวกับ พยาธิตัวแบนพาราโกนิมัส พยาธิใบไม้ตับชนิดคลอนอร์คิสซิเนนซิสและโรคอีริซิเพโลทริกซ์ (erysipelothrix rhnsiphathiae) (มีอาการรุนแรงมากในสุกร ทำให้เกิดข้ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผิวหนังมีการอักเสบ บวมมีสีแดงคล้ำคล้าย ๆ ไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก บางที่จะคัน) สามารถฝังตัวเข้าไปอยู่ในอวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น สมอง ตา หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ รวมไปถึงตับ

Dr. El-Fangary รายงานว่าคนจำนวนมากกินสัตว์ที่กินเนื้อมักจะมีทรรศคติที่ไม่ได้ ขาดมนุษยธรรมต่อคนอื่น ๆ ที่พร้อมจะฆ่าคนอื่นโดยปราศจากเหตุผลใด ๆ และบางคนถึงกับกินเนื้อของมนุษย์ด้วยกัน

– เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ –
ต่อมาเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด ตามหลักการทั่วไปทุกสิ่งที่มึนเมาหรือสารเสพติดนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างแน่นอน มันจะคอยทำลายสมรรถภาพทางร่างกายและสภาพจิตใจเช่นกัน

ธรรมชาติดั้งเดิมของมัน เช่น องุ่นถูกทำไม่ให้บริสุทธิ์เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงและผสมกับสารอื่น ๆ และสามารถสร้างผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายมากในมนุษย์ ส่วนผสมพิเศษได้ทำให้ธรรมชาติดั้งเดิมถูกทำลายคุณค่าเดิมของมัน

สุราประกอบด้วยเอทานอล ซึ่งเป็นของเหลวไวไฟไม่มีสี (C2H5OH) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มึนเมาในสุราและยังใช้เป็นตัวทำละลายในน้ำยาทำความสะอาดอีกด้วย
.
– ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา –

มนุษย์จะมีความบริสุทธิ์ด้วยการดำเนินตามหลักการที่บริสุทธิ์และศรัทธาในผู้สร้าง นั่นคือ อัลลอฮฺอิสลามมีคำแนะนำหลากหลายวิธีให้กับผู้คนในเรื่องของการรักษาความสะอาด เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า ร่างกาย ผม ฟัน การดื่มน้ำ น้ำที่ใช้ชำระล้างและการอาบน้ำ ที่อยู่อาศัย ถนน สถานที่สาธารณะ อาหาร ตลอดจนทุกสิ่งที่มนุษย์ใช้ประโยชน์

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ข้อมูลจาก Islam Q&A

ยาสมุนไพรต้มกับเหล้า

:: [คำถาม] ::
ยาสมุนไพรที่มาจากรากไม้แล้วนำไปต้มกับเหล้าสามารถนำมาทานได้หรือไม่

:: [คำตอบ] ::
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

ไม่อนุญาตให้ผลิตยาด้วยวิธีนี้ เพราะเกี่ยวข้องกับการใช้เหล้าหรือแอลกอฮอล์ และอัลลอฮฺทรงห้ามเรามิให้ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งมึนเมา ดังที่พระองค์ตรัสไว้มีความหมายว่า

“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัญ และการเสี่ยงติ้วนั้นเป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ” [อัลมาอิดะฮ์ 5:90]

ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ห้ามทำยาจากเหล้าและท่านกล่าวว่าเหล้านั้นคือโรคไม่ใช่ยาบำบัด

ในบันทึกของมุสลิม (1984) เล่าว่า ฏอริก อิบนุสุวัยด์ อัลญุอฺฟีย์ (ขออัลลอฮฺทรงพึงพอใจท่าน) ถามท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เกี่ยวกับเหล้า ท่านศาสนทูตได้ห้ามเขาหรือห้ามไม่ให้ผลิต เขากล่าวว่า “แต่ฉันผลิตมาเพื่อเป็นยารักษา” ท่านนบีตอบว่า “แท้จริง มันไม่ใช่ยา แต่มันคือโรค”

อิมามนะวะวีย์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า
นี่แสดงให้เห็นว่าห้ามไม่ให้เก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเหล้าไว้แล้วรอเพื่อให้ได้น้ำส้มสายชูและยังเป็นคำพูดที่ชัดเจนว่าเหล้าไม่ใช่ยารักษาและห้ามไม่ให้นำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์

แต่หาก ยาที่ผลิตในรูปแบบที่ต้องห้ามนี้ อนุญาตให้ไช้ได้หากแอลกอฮอล์ได้ชึมสลายเข้าไปในตัวยาโดยไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้ไม่ว่าจะเป็นสี รสชาติและกลิ่น แต่หากยังมีร่องรอยตกค้างอยู่ ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ เพราะการใช้หรือดื่มกินก็เปรียบเสมือนการดื่มเหล้านั่นเอง

อัลบะฮูตี (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า หากเหล้าผสมกับน้ำและถูกดูดซึมเข้าไปในนั้นแล้วเขาก็ดื่มมัน จะไม่มีการลงโทษเขา เพราะเมื่อมันซึมสลายไปกับน้ำ มันไม่ทำให้ธรรมชาติหรือคุณสมบัติของน้ำเปลี่ยนไป (กัชชาฟ อัลกินาอ์ 6/118)

ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมิยะฮ์ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า
หากเหล้าหกหล่นในน้ำแล้วละลายไป ต่อมามีคนไปดื่มน้ำนั้น ดังนั้นไม่ถือว่าเขาดื่มเหล้าและจะไม่มีการลงโทษเขาด้วยเหตุผลของการดื่มเหล้า หากว่าน้ำยังคงมี รสชาติ สีและกลิ่นเหมือนเดิม หากนมของหญิงสาวคนหนึ่งไหลลงน้ำแล้วละลายไปจนไม่เหลือร่องรอยทิ่งไว้ แล้วเด็กนำไปดื่มน้ำนั้น ถือว่าเด็กทารกชายคนนั้นจะไม่กลายเป็นบุตรของนางผ่านการดื่มนม (มัจญมูอ์ อัลฟะตาวา 21/33)

คณะกรรมการถาวรเพื่อการวินิจฉัยปัญหากล่าวว่า
ไม่อนุญาตให้นำแอลกอฮอล์หรือเหล้าใส่ผสมกับยา แต่หากมีการผสมด้วยแอลกอฮอล์ถือว่าอนุญาตให้นำไปใช้ได้หากอัตราส่วนแอลกอฮอล์ต่ำและร่องรอยของมันในตัวยาได้สลายไปแล้วไม่ว่าจะเป็น สี รสชาติหรือกลิ่น มิเช่นนี้แล้วไม่อนุญาตหากนำไปใช้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามหากมีการผสมกับแอลกอฮอล์ (ฟัตวา อัลลัจญนะฮ์ อัดดาอิมะฮ์ 25/39)

ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมิยะฮฺ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า
แอลกอฮอล์ถือว่าเป็นน้ำเมาตามที่รู้กันดี ดังนั้นมันจึงเป้นเหล้า (อัลค็อมร์) เนื่องจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “ทุกสิ่งที่ทำให้มึนเมานั้นหะรอม” ในบางรายงานกล่าวว่า “ทุก ๆ สิ่งที่ทำให้มึนนับเป็นเหล้า (ค็อมร์)”

จากที่กล่าวมา หากแอลกอฮอล์ไปผสมกับบางอย่างและไม่ได้ซึมสลายไปในนั้น ดังนั้นส่วนผสมดังกล่าวเป็นสิ่งต้องห้าม เนื่องจากมันยังปรากฏร่องรอยของแอลกอฮอล์อยู่ แต่หากแอลกอฮอล์ได้ซึมสลายในส่วนผสมและไม่เหลือร่องรอยใดๆ ดั้งนั้นมันย่อมไม่หะรอม (ฟัตวา นูร อะลาอัดดัรบ์ 122/21)

ท่านยังกล่าวด้วยว่า
ในส่วนของการผสมกันระหว่างยากับแอลกอฮอล์จำนวนเล็กน้อย ไม่จำเป็นว่าจะต้องหะรอมเสมอไป หากแอลกอฮอล์ที่ผสมมีน้อยมากและไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้ในยาที่เกิดการผสม (มัจญมูอ์ ฟะตาวา วะเราะสาอิล อิบนุอุษัยมัน 11/193)

และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง

………………………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.Info

เหตุผลของการห้ามกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้เชือดให้เลือดไหลออกจากร่างกาย

มีเหตุผลสำคัญอะไรหรือไม่ที่มีการห้ามรับประทานที่ไม่ได้เชือดตามหลักชะรีอะฮฺ เช่น การฆ่าโดยการช๊อตด้วยไฟฟ้าหรือยิงด้วยปืนเป็นต้นเป็นต้น

มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

อัลลอฮฺตรัสไว้มีใจความว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเองหรือเลือดที่ไหลออกหรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิด ซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน ถ้าผู้ใดได้รับความคับขัน โดยมิใช่เป็นผู้แสวงหาและมิใช่ผู้ละเมิดแล้วไซร้ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา”( อัลอันอาม 6:145)

เลือดเป็นสาเหตุของการห้ามกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ถูกเชือดตามหลักชะรีอะฮฺ ชะรีอะฮฺของเรามีเจตนาว่าสัตว์ที่ถูกเชือดจะทำให้เลือดไหลออกมาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เนื่องจากความเสียหายที่อาจเกิดจากการกินเลือดเข้าไป

มันคงดูไม่มีเหตุผลและไม่อาจยอมรับได้ ที่อิสลามได้กำหนดวิธีการเชือดตามที่กล่าวมา แล้วกลับอนุมัติให้บริโภคเลือดที่ไหลออกมาจากสัตว์ที่ถูกเชือด จากเหตุผลข้อนี้เองที่อิสลามได้กำหนดแน่ชัดมิให้บริโภคเลือดเพื่อเป็นโภชนาการของมนุษย์

“และจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย(นั่นคือสิ่งดีๆทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของ การกระทำ ความเชื่อ บุคคลและอาหาร) และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา ซึ่งสิ่งที่เลวทั้งหลาย” (อัลอะอฺรอฟ 7:157)

อัฏเฏาะบารีกล่าวไว้ในหนังสืออธิบายกุรอาน(ตัฟซีร)ของท่านว่า “คำว่า เลือดที่ไหลออก หมายถึงเลือดที่ไหลรินออกมา” นี่คือวิธีที่อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงเลือดเมื่อพระองค์ทรงแจ้งแก่บ่าวของพระองค์ว่ามันหะรอม ท่านอิกริมะฮฺกล่าวว่า ถ้าไม่ใช่เพราะอายะฮฺนี้มุสลิมคงจะทำตามแนวทางที่พวกยิวได้ปฏิบัติไว้ในการหลีกเลี่ยงเลือดที่คงเหลืออยู่ในเส้นเลือด อิมามมะวัรดีย์กล่าวเกี่ยวกับเลือดที่ไม่ได้ไหลออกมา ซึ่งกลายเป็นเกล็ดแข็งในเส้นเลือด ในตับหรือม้าม เพราะท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “ได้ถูกกำหนดหะลาลแก่เราซึ่ง สองชนิดของสัตว์ที่ตายและสองชนิดของเลือด…”

เหตุผลที่ว่าทำไมเลือดซึ่ง “ไหลออก” จึงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเรา เพราะข้อมูลซึ่งเป็นที่ทราบกันดีและเป็นที่ยอมรับกันในหมู่แพทย์และผู้ที่ทำการทดสอบทางการแพทย์และศึกษาวิจัยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กผ่านกล้องจุลทรรศน์ถือว่าเป็นเลือดมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรค ดังนั้นการทีคนหนึ่งดื่มเลือดจึงเสมือนกับการเขาดื่ม ฟาร์มเพาะเลี้ยงเพื่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ซึ่งเชื้อโรคสามารถเจริญเติบโตและแพร่ขยายได้อย่างรวดเร็ว จนอาจสร้างพิษร้าย ซึ่งส่งผลให้เชื้อโรคแพร่เข้าไปในร่างกายมนุษย์และอาจกลายเป็นโรคระบาดและเป็นอันตรายร้ายแรง

อาจมีผู้กล่าวว่าการปรุงเลือดก่อนรับประทานจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์เหล่านี้จนหมดสิ้น โดยพวกเขาหวังประโยชน์ทางโภชนาการจากเลือด คำตอบของเรานั้นถือว่าบางส่วนของสารพิษเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการต้มหรือผ่านความร้อน หรือทำให้เปลี่ยนไปในวิธีที่คล้ายคลึงกันแล้วจะกลายเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีบางอย่างที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ มันยังคงเป็นพิษแม้ว่าจะผ่านการต้มหรือผ่านความร้อน ซ้ำร้ายยังอาจทำให้เกิดอันตรายที่รุนแรงขึ้น

สำหรับประโยชน์ที่ผู้ดื่มเลือดคิดว่าจะได้รับจากการดื่มเลือดเนื่องจากเห็นว่ามีสารอาหารที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงนั้น ประโยชน์นี้ไม่มีอยู่จริงหากเราพิจารณาองค์ประกอบของเลือด เลือดเป็นสิ่งย่อยยาก ถึงขนาดว่าหากมีการกรอกเลือดลงกระเพาะมนุษย์ เขาจะอาเจียนออกมาทันที หรืออาจจะออกมากับอุจจาระของเขาโดยที่ไม่ถูกย่อยปรากฏในรูปของสารสีดำ เหตุผลที่ย่อยยากและกลายเป็นอุจจาระสีดำเพราะมีสารสีแดง(ฮีโมโกบิน)ซึ่งจะมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญ จากการที่เลือดไหลผ่านทางเดินอาหาร เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งมันจะเริ่มสลายและทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย มีการกล่าวว่าการปรุงจะช่วยทำลายส่วนประกอบของเลือดทำให้ง่ายแก่การย่อยและได้ประโยชน์คุณค่าทางโภชนาการ เราขอตอบว่า การต้มทำให้โปรตีนในเลือดเกิดการแข็งตัวและทำให้ย่อยยากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นอันตรายมากขึ้นและประโยชน์ลดลง

ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนการทดลองและการทดสอบนับเป็นร้อยๆครั้งในประเด็นเกี่ยวกับเลือด ทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าการกินเลือด ปรุงเลือดหรือต้มแล้วนำมาบริโภคเป็นการย่อยสิ่งที่เป็นพิษ จากข้อมูลทางวิทยาศาตร์ต่อไปนี้จะทำให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

1 – เลือดมีองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญสองอย่าง ได้แก่น้ำซึ่งมีอยู่ถึงร้อยละ 90 จากของเหลวซึ่งเรียกว่าพลาสมา ส่วนที่เหลือเป็นเซลล์เม็ดเลือดแดงและองค์ประกอบอื่นๆ คนที่ต้องการดื่มเลือดหรือปรุงและกินมันเพราะเขาต้องการที่จะบริโภคสิ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาจะต้องดื่มเลือดเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากโปรตีนในเลือดและธาตุเหล็กเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ควรจะเปิดโอกาสให้ตัวเองต้องเสี่ยงกับอันตรายและผลที่จะตามมา

เลือดเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่หลายคนเข้าใจ มันมีคุณค่าทางอาหารที่น้อย ดังนั้นการที่มุสลิมถูกห้ามจากการบริโภคเลือดจึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเสียโอกาสในการได้รับสารอาหารหลัก ๆ ที่เป็นประโยชน์
.
2 – อันตรายที่สำคัญอาจเป็นผลมาจากปริมาณโปรตีนในเลือดจำนวนเล็กน้อยผสมกับองค์ประกอบที่เป็นอันตรายและเป็นพิษ ซึ่งหมายความว่าการกินเข้าไปนั้นอาจเสี่ยงอย่างมากและทำให้เป็นอันตรายได้ อันตรายที่สำคัญได้แก่การที่เลือดเต็มไปด้วยแก็สพิษ ซึ่งได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ที่ไหลเวียนตามเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย

เพราะคนที่ดื่มเลือดได้นำเลือดจากสัตว์ที่ขณะนั้นมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มาก ซึ่งทำให้ร่างกายขาดอากาศหายใจ การที่ร่างกายขาดอากาศหายใจเนื่องจากการสะสมของแก็สในเลือด โดยอันตรายของมันคืออาจทำให้เสียชีวิตได้

ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนว่าการดื่มเลือดที่เต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นประจำจะนำผลร้ายสู่ร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณก๊าซนี้มีอยู่ในเลือดของสัตว์และความต้านทานของร่างกายของผู้ดื่มด้วย

ส่งที่กล่าวมาเป็นเพียงผลกระทบจากองค์ประกอบของเลือดที่คนได้ดื่มหรือรับประทานหลังจากปรุงแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีผลกระทบอื่น ๆ ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับหน้าที่ของเลือดในร่างกายของสัตว์ หน้าที่ของเลือดไม่สามารถทำงานได้ดีเว้นแต่เลือดจะอยู่ในสถานะของเหลวที่ไหลเวียนได้ หากเราเข้าใจกับผลเสียของการบริโภคเลือด นั่นน่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ประเทศต่างๆสั่งห้ามการบริโภคเลือดแม้ในประเทศที่ไม่ใช่มุสลิมก็ตาม

“พระองค์จะทรงประทานความรู้ให้แก่ผู้ที่พรองค์ทรงประสงค์และผู้ใดที่ได้รับความรู้ แน่นอนเขาก็ได้รับความความดีอันมากมายและไม่มีใครจะรำลึก นอกจากบรรดาผุ้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น” (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:269)

อัลลอฮฺทรงสอนท่านนบีมุฮัมมัดในสิ่งที่ท่านไม่รู้

“และอัลลอฮฺได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า และความเข้าใจในบทบัญญัติแห่งคัมภีร์นั้นด้วย และได้ทรงสอนเจ้าในสิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้มาก่อน และความกรุณาของอัลลอฮฺที่มีแก่เจ้านั้นใหญ่หลวงนัก” (อัล-นิสาอ์ 4:113)

พระองค์ทรงให้เกียรติกับโลกใบนี้ด้วยการมอบศาสนาที่เที่ยงแท้นี้และทรงชี้ทางมนุษย์สู่เส้นทางอันเที่ยงตรงพระองค์ตรัสว่า

“บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! แท้จริงศาสนทูตของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะแจกแจงแก่พวกเจ้า ซึ่งมากมายจากสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้จากคัมภีร์และเขาจะระงับไว้มากมายแท้จริงแสงสว่างจากอัลลอฮ์ และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว ด้วยคัมภีร์นั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแนะนำผู้ที่ปฏิบัติตามความพึงพระทัยของพระองค์ซึ่งบรรดาทางแห่งความปลอดภัยและจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดไปสู่แสงสว่างด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และจะทรงแนะนำพวกเขาสู่ทางอันเที่ยงตรง” (อัลมาอิดะฮฺ: 15-16)

…………………………………………………………….…………………………
ฝ่ายบริการวิชาการ ศวฮ. สำนักงานปัตตานี แปลและเรียบเรียง
ที่มา: Islamqa.info

Halal Tech News: Manasikana แอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ประกอบพิธิฮัจญ์และอุมเราะห์

ข่าว 3 มิติ ซึ่งเป็นสื่อกระแสหลักในไทย ได้รายงานข่าวและเกาะติดสถานการณ์ประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนี้ โดยมีพิธีกรอย่างคุณไอลดา สุโง๊ะ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้รายงานข่าว โดยพิธีฮัจญ์ปีนี้มีผู้แสวงบุญจากทั่วโลกประมาณ 2 ล้านกว่าคน จากรายงานข่าว 3 มิติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้นำเสนอเรื่องราวการใช้แอปพลิเคชันตัวหนึ่งที่ชื่อว่า MANASIKANA เพื่อเป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญในการประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ มาทำความรู้จักกับแอปพลิเคชันนี้กันครับ…

Manasikana คืออะไร?

Manasikana เป็นแอปพลิเคชันที่ทางกระทรวงฮัจญ์และอุมเราะห์ของประเทศซาอุดิอารเบียได้พัฒนาขึ้น เพื่อเป็น platform อำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญในพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ โดยคุณสมบัติพิเศษของแอปพลิเคชัน manasikana มีด้วยกัน 10 ข้อดังนี้

1. ค้นหาเส้นทางและสถานที่: ค้นหาเพื่อนๆที่ร่วมแสวงบุญและค้นหาเส้นทางเพื่อไปยังพวกเขา
2. บริการแจ้งเตือนเมื่อคุณอยู่นอกขอบเขต: ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณยังอยู่ในขอบเขตของมีนา อารอฟะห์ มุซดาลีฟะห์ หรือ ฮะรอม
3. บริการแผนที่ออฟไลน์: ค้นหาสถานที่สาธารณะที่น่าสนใจ เช่น มัสยิดที่ใกล้ที่สุดร้านอาหาร ห้องน้ำ ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ
4. บริการฉุกเฉิน: โทรบริการฉุกเฉินโดยเพียงแค่สัมผัสปุ่มสีแดงที่มองเห็นได้เสมอบนหน้าจอ
5. การแลกเปลี่ยนเงินตราและการแปลงสกุลเงิน: ค้นหาเส้นทางไปยังศูนย์แลกเปลี่ยนเงินตราที่ใกล้ที่สุด และรับอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นปัจจุบัน
6. บทดุอาอฺและทิศกิบลัต : เวลาละหมาดและทิศกิบลัตตามตำแหน่งของคุณ
7. การอัปเดตสภาพอากาศ: รับการแจ้งเตือนสภาพอากาศในมักกะฮ์ มาดีนะห์ และเจดดะห์
8. บริการข่าวสาร: รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับฮัจย์และอุมเราะห์จากทางกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
9. ทวีตเตอร์ฮัจย์และอุมเราะห์: เพื่อรับทวีตล่าสุดจากกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
10. บริการแปลและข้อความเป็นคำพูด: แปลคำหรือวลีใด ๆ จากภาษาต่างๆเป็นภาษาอาหรับ (ต้องใช้อินเทอร์เน็ต)

แอปพลิเคชันนี้รองรับการใช้งาน 9 ภาษา ได้แก่ ภาษาอาหรับ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อูรดู ตุรกี มาเลย์ อินโดนีเซีย และเบ็งกอล แต่ยังไม่มีภาษาไทย โดยรองรับผู้ใช้ทั้ง iOS และ Android ซึ่งสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแอปพลิเคชันได้ที่ https://manasikana.haj.gov.sa/

……………………………………………………………………………………………………………
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=-zg9V33LCVM

http://www.arabnews.com/node/1346671/saudi-arabia

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.hajj.manasikana